xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวตก! พรรคพลังประชาชนจะร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน (1)

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินจากทีวีของรัฐว่า พรรคพลังประชาชนจะเริ่มการร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน

เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ท่านผู้อ่านได้ฟังหรือไม่ ที่นายจักรภพ เพ็ญแข แถลงการณ์มาเยือนของรัฐมนตรีกระทรวงประชาสัมพันธ์จีน ซึ่งได้ประกาศวาระแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน อย่างจริงจัง ผ่านสองสะดมหลักคือ หนึ่ง รัฐบาล และสอง พรรค

หากท่านผู้อ่านสังเกต ก็จะเห็นว่าผมมิได้ใส่เครื่องหมายตกใจไว้ข้างหลังพรรคคอมมิวนิสต์ แต่หากใส่ไว้ข้างหลังคำว่า ข่าวตก!

ผมนึกไม่ถึง แต่เข้าใจว่าข่าวอย่างนี้ตกได้อย่างไร ไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญกับข่าวนี้เลย สื่อ นักวิชาการ ผู้ที่เคยผูกขาดความรักชาติจนเห็นคนอื่นๆ เป็นคนหนักแผ่นดิน พากันเงียบหมด

คนกลุ่มหลังนี้แหละ เป็นส่วนที่ทำให้จาตุรนต์ ฉายแสง พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ภูมิธรรม เวชยชัย รวมทั้ง เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ธีรยุทธ บุญมี เสกสรรค์ ประเสริฐกุล และนิสิตนักศึกษาอีกมากหนีเข้าป่าไปสู่อ้อมอกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

เหตุที่ผมตกใจการตกข่าวมากกว่าการประกาศความร่วมมือระหว่างพรรคพลังประชาชนกับพรรคคอมมิวนิสต์ อาจจะเป็นเพราะว่า ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับบุคคลนั้นผมพอจะรู้มานานแล้วเลยชิน อีกอย่างหนึ่ง ผมก็ไม่เคยเกลียดคอมมิวนิสต์ เคยคบกันเป็นมิตรและไปมาหาสู่กันเกือบทุกทวีป ในประเทศไทยคงจะหาคนที่เป็นเพื่อนคอมมิวนิสต์มากเท่าผมได้ยาก แต่คอมมิวนิสต์เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นยุโรป เอเชีย อเมริกา หรือแอฟริกา เขาต่างก็รู้เป็นอย่างดีว่าผมไม่ใช่และไม่ชอบเป็นคอมมิวนิสต์ ต่างกับพวกนักปราบ (คอมมิวนิสต์) หน้าโง่ในเมืองไทยที่ชอบหาความผมอย่างไม่ลดละ ก็กูเกลียดเผด็จการเข้ากระดูกดำ กูจะเป็นคอมมิวนิสต์ได้อย่างไร

ผมแนะนำให้พลเอกเกรียงศักดิ์รู้จักรักใคร่กับฟามวันดง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม

ผมเตือนฟามวันดงว่า อย่าเผลอช่วยให้ไทยกลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ หากไทยซึ่งมีขนาดใหญ่พอๆ กับเวียดนามกลายเป็นคอมมิวนิสต์ เวียดนามจะลำบาก เพราะจะมีคอมมิวนิสต์ชั้นเลวเป็นเพื่อนบ้าน

ผมเองชื่นชมและเคารพคอมมิวนิสต์ ที่เป็นอุดมการณ์แห่งเสรีภาพ ความยุติธรรม และเท่าเทียมกันของมนุษยชาติ แต่ในความเป็นจริงผมเกลียดกลัวขยะแขยงขบวนการคอมมิวนิสต์ที่สร้างและอาศัยพรรคเป็นเครื่องมือยึดและผูกขาดอำนาจ ทำลายเสรีภาพและชีวิตของคู่ต่อสู้หรือผู้ที่ไม่เห็นด้วยนับล้านๆ เผด็จการคอมมิวนิสต์สังหารมนุษย์มากยิ่งกว่านาซีของฮิตเลอร์เสียอีก ทั้งๆ ที่ปากประกาศความเป็นสากลนิยม ลึกๆ ใต้ผิวหนังของผู้นำพวกนี้ก็คือชาติของตนต้องใหญ่เหนือคนอื่น นี่ก็คือสาเหตุหนึ่งที่นิสิตนักศึกษาไทยที่แตกหนีเข้าป่าหลัง 6 ตุลาคม 2519 ต้องผิดหวังและสาปส่งพรรคคอมมิวนิสต์ไทยที่ตกอยู่ใต้อุ้งเท้าของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และสหายนำสายจีน จนกระทั่งไม่มีรูจมูกจะหายใจด้วยตนเอง

จนกระทั่งผมออกจากธรรมศาสตร์ในปี 2517 ผมสอนลูกศิษย์เสมอว่าไทยมีพรรคการเมืองอยู่ 2 พรรคครึ่ง คือ พรรคราชการ 1 พรรคคอมมิวนิสต์ 1 กับพรรคประชาธิปัตย์ครึ่ง (แก๊งเลือกตั้งอีกครึ่ง)

ไทยไม่มีวันเป็นประชาธิปไตยได้ หากไม่สามารถแก้ไขระบบพรรควิปลาสนี้ และพัฒนาพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาอย่างแท้จริง

หลังรัฐประหารปี 2490 อุปสรรคในการพัฒนาระบบพรรคการเมืองที่แท้จริงเกิดขึ้นเพราะส่วนผสมระหว่างอิทธิพลและผลประโยชน์ของอเมริกันในสงครามเย็น+โครงสร้างอำนาจนิยมผูกขาดภายใต้การนำของทหารและข้าราชการประจำ+ ความทรยศและทฤษฎีการเมืองจอมปลอมของนักวิชาการสอพลอ+ ความไม่รู้จักคิดและโรคหลงเชื่อของสังคมไทย

หลังพ.ศ. 2500 การครอบงำโดยทหารมีความศักดิ์สิทธิ์ แม้นจะมีพรรคอิสระที่ ชัย ชิดชอบ บิดาของเนวิน และ เลิศ ชินวัตร บิดาของทักษิณ ร่วมกันสังกัดก็เป็นอิสระแต่ชื่อ ตั้งแต่พฤษภาทมิฬ 2534 เป็นต้นมา การบังคับให้ตั้งพรรคการเมืองเสมือนบริษัทรับเหมาก่อสร้างทาง และการบังคับให้ ส.ส.สังกัดพรรค เพื่อป้องกัน ส.ส.ขายตัว และการเล็ดลอดเข้ามาของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำให้ระบบพรรคการเมืองไทยเป็นหมัน ตกอยู่ภายใต้อำนาจและเงินโดยสิ้นเชิง พรรคการเมืองที่เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดล้วนแต่เป็นแก๊งเลือกตั้งชั่วคราว ซื้อ-ขาย-เปลี่ยนหัว-ยุบ-รวมและล่มไปตามความรุ่งเรือง ล่มจมหรือเบื่อหน่ายของหัวหน้าพรรคในสมัยเลือกตั้งแต่ละคราว
รัฐธรรมนูญอภิชนนิยม+ธนานิยม 2540 กับ 2550 ได้ตอกย้ำความวิปลาสและโง่เขลาของระบบพรรคและการเมืองไทยอย่างกู่ไม่กลับ

มีการเปลี่ยนแปลง 2 อย่าง คือ ความพ่ายแพ้และหายตัวไปจากสายตาของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กับปรากฏการณ์ทุนนิยมสามานย์ที่เข้ามาสนับสนุนและครอบงำการรวมตัวของอำนาจใหม่ทางการเมืองไทย ระหว่างนักธุรกิจอภิมหาทุนกับทหารและข้าราชการนอกประจำการ

ปรากฏการณ์ทักษิณและพรรคไทยรักไทยคือตัวอย่างอันโดดเด่นและหนึ่งเดียวของการยึดและผูกขาดอำนาจของกลุ่มการเมืองใหม่ โดยอาศัยทั้งทุนและระบบราชการเป็นเครื่องมือเข้าไปขับไล่และครอบครองเจ้าพ่อและนักการเมืองท้องถิ่นระดับชาติได้อย่างเบ็ดเสร็จ ในปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ น้อยคนนักจะสนใจหรือรู้ว่า พลพรรคของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยที่ยังไม่สลายตัวสิ้นเชิงพากันไปทำอะไรอยู่ที่ไหน

ในเดือนพฤษภาคม 2549 ผมได้เขียนบทความ 5 ตอน เรื่อง ยุทธศาสตร์ฟินแลนด์:แผนเปลี่ยนการปกครองไทย? เพื่อเปรียบเทียบกับข่าวในสื่อตีพิมพ์และทีวีเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ ผมได้ระบุโดยชัดแจ้งว่าผมไม่ทราบว่าปฏิญญาฟินแลนด์เป็นเรื่องจริงหรือมีจริงหรือไม่ แต่ข้อที่กล่าวถึง 5 ข้อในปฏิญญาแลนด์นั้น บังเอิญตรงกับข้อสังเกตของผมเกี่ยวกับการบริหารของรัฐบาลทักษิณ ซึ่งผมเคยเขียนมาก่อนแล้วทั้งสิ้น 2 ใน 5 ข้อนั้น ก็คือ การทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นแต่เพียงสัญลักษณ์กับการเปลี่ยนให้ประเทศไทยมีระบบการเมืองพรรคเดียว ปรากฏว่า ผมถูกพรรคไทยรักไทยและพ.ต.ท.ทักษิณฟ้อง เรียกค่าเสียหายถึง 2 พันล้านบาท จนกระทั่งขณะนี้ก็ยังไม่ถอน อ้างว่าผมเป็นผู้เผยแพร่ปฏิญญาฟินแลนด์ ในขณะที่ผู้เผยแพร่ปฏิญญาฟินแลนด์ตัวจริงกลับไม่ถูกฟ้อง

มีผู้สันนิษฐานว่า ปฏิญญาฟินแลนด์เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการยึดอำนาจขับไล่รัฐบาลทักษิณ ผมไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ แต่ที่ควรทราบก็คือ ผมเห็นด้วยว่ารัฐบาลทักษิณขาดความชอบธรรม และประชาชนมีสิทธิขับไล่รัฐบาลตามทฤษฎีประชาธิปไตย ทฤษฎีสัญญาประชาคม รวมทั้งตามคำสอนของพระพุทธเจ้า และข้อหาสำคัญก็คือการฆ่าแกงประชาชนทั้งที่เป็นผู้บริสุทธิ์และผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นจำนวนหลายพันทั้งในภาคใต้และจังหวัดอื่นๆ โดยไม่คำนึงถึงกระบวนการยุติธรรม

ปัญหาจึงอยู่ที่คณะผู้ยึดอำนาจคือทหารทั้งหมดสามารถอ้างตนเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของประชาชนได้หรือไม่ ผมมีความเห็นว่าไม่ และผมได้เขียนบทความอีกหลายสิบบทตักเตือนและท้วงติงการกระทำของ คมช.ผมขอยกตัวอย่างเฉพาะ 4 บท ระหว่างวันที่ 21 กันยายน 2519 ถึงวันที่ 17 ตุลาคม 2519 (ใครจะชนะสงครามแย่งประชาชน: ระบอบทักษิณหรือประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข) ซึ่งผมสรุปว่าความล้มเหลวของการปฏิรูปอันเกิดจากการ “วิ่งเต้น-เล่นพวก-ทำอะไรลวกๆ-เละอย่างเป็นระบบ” ของ คมช.จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขพ่ายแพ้ระบบทักษิณในที่สุด

ผมคัดค้านการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ทุกรูปแบบ ด้วยเหตุผลเดียวกับข้อสังเกตของพระเจ้าอยู่หัวว่าการเลือกตั้งพรรคเดียวในวันที่ 2 เมษายน 2549 นั้นจะเป็นประชาธิปไตยได้หรือ ผมเห็นว่าในเนื้อหามิใช่ในสัญลักษณ์หรือตัวหนังสืออันเป็นเพียงกระพี้ การเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2549 ไม่มีทางจะเป็นการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยได้ เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งไม่สมประกอบ รัฐบาลรวมทั้ง กกต.ผู้จัดการเลือกตั้งไม่สมประกอบ พรรคการเมืองไม่สมประกอบ (คือพรรคการเมืองจริงๆ นอกจากพรรคประชาธิปัตย์ไม่มี) ที่มีอยู่และพร้อมจะกลับเข้ามาคือพรรคไทยรักไทย ซึ่งศาลพิพากษาว่าเป็นผู้ทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเท่านั้น

ผมพิมพ์หนังสือชื่อ “พระราชอำนาจจากพระโอษฐ์ในหลวง” กับ “เลือกตั้งน้ำเน่าเราจะพากันไปตาย” ออกเผยแพร่จำนวน 10,000 เล่ม รวมทั้งออกไปบรรยาย พูดในทีวี และมีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและ คมช.อีกหลายฉบับ คัดค้านการเลือกตั้ง ซึ่งผมเห็นว่าเป็นการทำลายหลักการประชาธิปไตยและกฎหมายอย่างโจ่งแจ้ง ผมได้ให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง การวิเคราะห์และคำนวณทางสถิติว่า ผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร และผลเสียที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ทุกอย่างไม่มีผิดจากที่ผมทำนายไว้

ผมพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่งชื่อ “ใครทำลายราชประชาสมาสัย คนนั้น ทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” จนกระทั่งบัดนี้หนังสือนั้นก็ยังออกไม่ได้ คนนั้นของผมมีสามหัว หัวหนึ่งคือรัฐบาล หัวหนึ่งคือ คมช. และอีกหัวหนึ่งคือ ระบอบทักษิณ แต่มีตัวอันเดียว (กัน)

ผมเชื่อว่า ขณะนี้เมืองไทยอยู่บนทางสองแพร่ง เราจะต้องพิสูจน์ว่าสังคมไทยมีปัญญาสมาธิและความกล้าหาญพอหรือไม่ นายสุเมธ กรรมการ กกต.ได้ออกมาแถลงว่า กกต.ไม่มีทางเลือกนอกจากจะเคารพกฎหมายที่ระบุว่า “ให้ถือว่า” สองพรรคการเมืองที่ผู้บริหารกระทำความผิดเป็นผู้กระทำความผิดด้วย กฎหมายมาตรานี้จะตามไปล่าพรรคพลังประชาชนในกรณีของนายยงยุทธเช่นเดียวกัน

แต่พรรคพลังประชาชนจะกลัวอะไร เพราะพรรคนี้มีพี่เลี้ยงใหญ่ระดับโลกถึง 2 คนแล้ว คนหนึ่งชื่อทักษิณ อีกคนหนึ่งชื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน

จริงอยู่ กระแสประชาธิปไตยโลก กวาดพรรคคอมมิวนิสต์ออกไปเป็นจำนวนมาก ยังคงเหลือคอมมิวนิสต์ระบบพรรคการเมืองเดียวอยู่เพียงจีน เกาหลีเหนือ มองโกเลีย เวียดนาม และลาวเท่านั้น

ก่อนการยึดอำนาจมีนักปราชญ์สำคัญของไทย 3 ท่านที่ชี้ให้เห็นภัยระบบการเมืองพรรคเดียว ที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทย นั่นก็คือ นายกราชบัณฑิตสภา ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ปรมาจารย์กฎหมายมหาชน ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ นายทหารอาชีพนักประชาธิปไตย พลเอกสายหยุด เกิดผล อดีต ผบ.สส.

การที่สังคมไทยไม่ยอมฟังเหตุผลของทั้งสามท่านเลยแม้แต่นิด น่าจะเป็นลางบอกเหตุสักอย่างหนึ่ง ดีหรือร้ายอยู่ที่คนชอบ

ฤาระบบการเมืองพรรคเดียวภายใต้ความสนับสนุนของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ยิ่งใหญ่ล้นพ้นด้วยประสบการณ์กำลังจะเกิดขึ้น

โปรดกลับไปฟังประกาศอันวีระอาจหาญของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ นายจักรภพ เพ็ญแข.
กำลังโหลดความคิดเห็น