xs
xsm
sm
md
lg

ภารกิจศักดิ์สิทธิ์กับบทเรียนการกู้ชาติทางจิตวิญญาณของศรี อรพินโธ (ตอนที่ 49)

เผยแพร่:   โดย: ดร.สุวินัย ภรณวลัย

49. ภารกิจศักดิ์สิทธิ์ของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน

พระผงสุริยัน-จันทรา รุ่นยามเฝ้าแผ่นดิน
(พ.ศ. 2550) ของ องค์จตุคามรามเทพ มีจุดเด่นที่พิเศษกว่าวัตถุมงคลที่ พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล และ องค์จตุคามรามเทพ เคยสร้างมาทั้งหมด ตรงที่ องค์จตุคามรามเทพ ได้สั่งให้ พล.ต.ท.สรรเพชญ เดินทางไปอินเดียเพื่อไปรวบรวมมวลสารศักดิ์สิทธิ์จากเทวาลัยศักดิ์สิทธิ์ทั่วอินเดียภาคใต้ฝั่งตะวันออกถึง 11 แห่ง เพื่อนำมาใช้จัดสร้างพระผงสุริยัน-จันทรา รุ่นยามเฝ้าแผ่นดินนี้

เทวาลัยศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 11 แห่งนั้นได้แก่

(1) เทวาลัยมีนากษีสุนทรเรศวร ที่เมืองมะทุไร

(2) เทวาลัยศรีรังคัม แผ่งเมืองติรูจิระปัลลิ

(3) เทวาลัยชมพูเกศวร แห่งเมืองติรูจิระปัลลิ

(4) เทวาลัยพฤหทิศวร แห่งเมืองตันชาวูร์

(5) เทวาลัยกะปาเลศวร แห่งเมืองมัทราส

(6) เทวาลัยอัฏฐลักษมี แห่งเมืองมัทราส

(7) เทวาลัยมหาพลิปุรัม แห่งเมืองมามัลละปุรัม

(8) เทวาลัยไกลาสนาถ แห่งเมืองกาญจีปุรัม

(9) เทวาลัยศรีเอกามพรนาถ แห่งเมืองกาญจีปุรัม

(10) เทวาลัยศรีเวงกะเตศวร แห่งเมืองติรุปติ

(11) เทวาลัยศรีกาลหัสติวิหาร แห่งเมืองศรีกาลหัสติ

นอกจากนี้ พล.ต.ท.สรรเพชญ ยังได้ไปเอามวลสารศักดิ์สิทธิ์จาก มหาสถูปแห่งอมราวดี กับ มหาสถูปนาคารชุน อีกด้วย อีกทั้งยังได้ไปเอามวลสารสำคัญๆ จากสถานที่ต่างๆ อีกมากมายเพื่อทำให้ พระผงสุริยัน-จันทรา หรือ พระผงจตุคามรามเทพ รุ่นยามเฝ้าแผ่นดิน นี้เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ เช่น ผงธูปจากด่านเจดีย์สามองค์ จังหวัดกาญจนบุรี ผงธูปจากปราสาทนครวัด ประเทศกัมพูชา และผงธูปจากมหาเจดีย์ชเวดากอง ประเทศพม่า

พิธีปลุกเสก พระผงสุริยัน-จันทรา รุ่นยามเฝ้าแผ่นดิน นี้ กระทำที่เสาหลักชัย เหนือภูเขาบ้านศิลา อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ในวันที่ 21 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 ขณะที่ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ก็ได้จดทะเบียนอย่างเป็นทางการแล้วในวันที่ 23 เดือนเมษายน พ.ศ. 2550 มี คำนูณ สิทธิสมาน เป็นประธานมูลนิธิฯ และ สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นที่ปรึกษามูลนิธิฯ โดย คณะกรรมการบริหารมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ประกอบด้วย

(1) นายสนธิ ลิ้มทองกุล ประธานคณะกรรมการ

(2) นายสามารถ มังสัง รองประธานคณะกรรมการ

(3) นายสุวินัย ภรณวลัย กรรมการ

(4) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กรรมการ

(5) นายอิทธิ อิทธิประชา กรรมการ

***

สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้ง มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เคยกล่าวไว้ในวันที่ 25 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2550 ผ่าน รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ของเขาทาง ASTV ว่า

“มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ไม่ใช่เรื่องราวของการที่จะทำให้ดัง หรือทำเพื่อความโด่งดังของคนใดคนหนึ่ง แต่มันเป็นเรื่องของ การรวมตัวของภาคประชาชน...”

“...วิธีเดียว ที่ท่านผู้ชมจะร่วมกับ พวกผม ได้ และทำให้ พลังของพวกเรา นั้น กลายเป็น พลังที่ศักดิ์สิทธิ์ ได้ ก็คือ การเข้ามาร่วมกันเป็น ยามเฝ้าแผ่นดิน กัน...”

“และเมื่อ พลังของขบวนการยามเฝ้าแผ่นดิน ของ พวกเรา มีมากขึ้น พวกเราจะใช้พลังอันนี้เป็นพลังในการเปลี่ยนแปลงชาติบ้านเมือง เพราะฉะนั้น พวกเราต้องสามัคคีกันเอาไว้ เพราะมีแต่ การเมืองภาคประชาชน เท่านั้นที่เป็น ความหวัง ให้แก่บ้านเมืองนี้ได้”

สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นบุคคลที่มีความคิดอ่านเหนือคนธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การมุ่งกระทำในสิ่งที่ผู้อื่นกระทำไม่ได้ จึงทำให้ชีวิตมีรสชาติสนุกสนาน” ถือว่าเป็นคติประจำใจของ สนธิ เสมอมา และ สนธิ ก็ได้ใช้ชีวิตของเขาตามคติประจำใจนี้อย่างสมใจไปแล้ว ในช่วงระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ. 2548 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 ในการลุกขึ้นมาต่อสู้กับระบอบทักษิณอย่างเอาเป็นเอาตาย อย่างที่คงมีแต่ “ผู้นำ” อย่างเขาคนเดียวเท่านั้นกระมังที่จะทำอย่างนั้นได้ในตอนนั้น

แต่เมื่อย่างเข้าสู่ พ.ศ. 2550 และยิ่งเวลาผ่านไปทุกที แม้แต่บุรุษเหล็กที่แข็งแกร่งและหนักแน่นอย่าง สนธิ ก็ยังอดทอดถอนใจอยู่บ่อยครั้งไม่ได้ สนธิ มักรำพึงกับตนเองในใจเสมอว่า

“ผู้คนในปัจจุบันนี้ ล้วนลืมตาพูดปดได้อย่างไม่ละอายฟ้าดิน” บ่อยครั้งทีเดียวที่ สนธิ ลอบทอดถอนใจว่า ผู้ที่ได้อำนาจไปแล้วอย่าง คมช. (คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) สุดท้ายไฉนกลับกลายเป็นเช่นนี้!

สนธิ
รู้สึกพลุ่งพล่านใจยิ่ง เขารู้ดีว่า จิตใจที่เปิดกว้างและเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจต่อพี่น้องร่วมชาติ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตัวเขาตัดสินใจก่อตั้ง มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ขึ้นมาเพื่อมิให้ ดอกผลแห่งการต่อสู้ ที่ตัวเขากับพี่น้องประชาชนเรือนแสนเรือนล้านร่วมกันต่อสู้กับระบอบทักษิณอย่างเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น ต้องถูกปล้นชัยชนะไปโดยพวกนักฉวยโอกาสที่ขึ้นมามีอำนาจและกลายเป็น “ขั้วอำนาจใหม่”

สนธิ ฝืนยิ้มในใจ ตัวเขาย่อมรู้แก่ใจดีว่า หนทางแห่งการบรรลุเป้าหมายอันสูงส่งของ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน นั้นทั้งยาวไกลและลำเค็ญยิ่งนัก แต่เขาตั้งใจไว้แล้วว่า เขาจะไม่มีวันย่อท้อเป็นอันขาด สนธิ กล่าวให้กำลังใจตนเองในใจว่า

“สนธิ เอย เจ้าต้องไม่สนใจว่า ผู้อื่นมองตัวเจ้าอย่างไร พูดถึงตัวเจ้าอย่างไร ขอเพียงเจ้ายึดมั่นต่อ อุดมการณ์ยามเฝ้าแผ่นดิน ของเจ้า ทุ่มเททุกอย่างเพื่อบรรลุ ภารกิจศักดิ์สิทธิ์ในการให้ปัญญาแก่ประชาชน อย่างสุดความสามารถ มีแต่ทำเช่นนี้จึงไม่เสียทีที่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนมอบหมายภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ให้แก่ตัวเจ้า!”

เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้ว สนธิ ก็ปลุกปลอบจิตใจของเขาให้เข้มแข็งขึ้น คนเราหากยังมีชีวิตอยู่ ยังมีลมหายใจอยู่ ก็ต้องดำรงอยู่อย่างเข้มแข็ง รับการท้าทายของยุคสมัย และของฟ้าดินอย่างไม่หยุดยั้ง

สนธิ
รู้ดีว่า ชีวิตคนเรามักเกิดเรื่องที่ไม่สมปรารถนาเสมอ การต่อสู้ที่ผ่านมาของเขาก็เช่นกัน มันมีทั้งสิ่งที่สมปรารถนา และไม่สมปรารถนา ชัยชนะที่ตัวเขาได้รับจากการต่อสู้กับระบอบทักษิณเมื่อปีที่แล้ว ในด้านหนึ่งกลับกลายเป็นการเพาะศัตรูรอบด้าน ถูกทอดทิ้งทั้งโดดเดี่ยวและไร้ที่พึ่ง

สิ่งที่ สนธิ พึ่งได้ในตอนนี้จึงมีแต่ ศรัทธาของประชาชนร่วมต่อสู้กับเขา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนทั้งหลายที่อยู่เคียงข้างเขาเสมอมาเท่านั้น

แม้แต่ สนธิ เองก็ต้องยอมรับว่า ความเป็นจริงที่เขากำลังเผชิญอยู่นี้ ช่างโหดร้ายและทำให้ปวดร้าวใจนัก สนธิ จึงต้องปลุกปลอบตนเองลุกขึ้นมาทำบางสิ่งบางอย่างอีก โดยกำหนด เป้าหมายใหม่ ให้แก่ตนเองจึงจะสามารถสลัดหลุดจากห้วงความปวดร้าวนี้ได้ และ เป้าหมายใหม่ ของเขาในยามนี้จะเป็นสิ่งอื่นไปไม่ได้นอกจากการขับเคลื่อน ขบวนการยามเฝ้าแผ่นดินที่มีมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินเป็นศูนย์กลางนี้ ให้มันกลายเป็น ยานอันยิ่งใหญ่ ที่จะขนพาเพื่อนร่วมชาติของเขาจำนวนเรือนแสนเรือนล้านให้ไปสู่ วิถีแห่งปัญญาและความรู้แจ้ง ให้จงได้

อันที่จริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนก็ได้พยายามสื่อสารอยู่ตลอดเวลากับคนทุกคนซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น “อณูของพระผู้เป็นเจ้า” หรือมี ศักยภาพของพุทธะ ดำรงอยู่ในตนเพียงแต่ยังไม่ได้ตระหนักถึงความจริงในข้อนี้เท่านั้น

แต่เพราะ “เครื่องรับ” ของผู้คนส่วนใหญ่อ่อนเกินไป ไม่อาจได้รับการสื่อสารจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนโดยตรงได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนจึงจำต้องสื่อสารผ่าน คนบางคน ที่เป็น “มังกรในหมู่มนุษย์” หรือเป็น คนที่ปราดเปรื่องที่สุดคนหนึ่ง ในบรรดาเพื่อนร่วมชาติของเขาเพื่อให้มาทำหน้าที่เป็น ผู้สื่อสาร ต่อไปยังพวกเขาทั้งหลายอีกทีหนึ่ง

สนธิ ลิ้มทองกุล คือ หนึ่งในบรรดา “บุคคลพิเศษ” เหล่านั้น ที่ได้รับมอบหมายจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนให้มารับหน้าที่เป็น ภารกิจศักดิ์สิทธิ์ นี้

ไม่ว่าจะมองจากแง่มุมใด คงเป็นการยากที่จะปฏิเสธว่า สนธิ ลิ้มทองกุล มิใช่ ผู้ยิ่งใหญ่ คนหนึ่งในยุคนี้ วิถีของเขา และ บทบาททางประวัติศาสตร์ของเขา คงจะเป็นที่กล่าวขาน เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ หรือถูกประณามหยามเหยียดโดยคนรุ่นเดียวกับตัวเขา และคนรุ่นหลังเขาไปอีกนานแสนนานอย่างแน่นอน

โลกนี้ช่างเต็มไปด้วยเสียงคลื่นต่างๆ นานา พวกปลาเล็กปลาน้อย ปลาซิวปลาสร้อยจะปล่อยตัวเองไปตามกระแสเริงร่า ร้องเพลง ระริกระรี้ไปตามกระแสคลื่นที่มีขึ้นมีลง

แต่จะมีใครบ้างที่รู้ซึ้งถึง หัวใจของน้ำ ที่อยู่ลึกใต้ทะเลหนึ่งร้อยเซียะนั้น!

จะมีใครบ้างที่ล่วงรู้ถึงความลึกล้ำของมัน!
กำลังโหลดความคิดเห็น