ผู้จัดการรายวัน -มิ่งขวัญ” ปัดถกซีแอลยาแลกเปิดเอฟทีเอไทย-สหรัฐฯ ชี้รอ 3 กระทรวงฯ ตัดสินใจก่อน เผยเตรียมผุด 3 โปรเจ็กต์ใหญ่ นำรายได้เข้าไทย 7.5 แสนล้าน ระบุสินค้าดาวรุ่ง “สิ่งทอ-อัญมณี” ขณะที่อดีตที่ปรึกษาแม้ว “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” ปัดสหรัฐฯวิ่งล็อบบี้ถกซีแอลแลกเอฟทีเอ
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ กล่าวภายหลังการหารือกับนางบาร์บารา ไวเซล ผู้แทนการค้าประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแปซิฟิกของสหรัฐอเมริกา (ยูเอสทีอาร์) และนายอีริก จี. จอห์น เอกอัคราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลว่า ได้มีการหารือกันเรื่องซีแอลยาโดยได้แจ้งต่อสหรัฐฯ ทราบว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกัน 3 กระทรวง คือ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งในเรื่องนี้ทางสหรัฐฯ ยังไม่มีท่าทีชัดเจน เพราะทั้งไทยและสหรัฐฯ ยังไม่ได้มีการหารือที่ลงลึกไปในรายละเอียด แต่ได้แจ้งกับสหรัฐฯ ไปว่าตอนนี้ได้มีการแยกหารือกันอยู่ระหว่าง 3 ปลัดกระทรวง
สำหรับประเด็นการการเปิดเขตการค้าเสรี ไทยกับสหรัฐฯ (FTA-ไทย-สหรัฐ) นั้น ยังไม่ได้มีการหารือกันในเรื่องนี้ ทางสหรัฐฯเพียงเข้ามาแสดงความยินดีแก่ไทยเท่านั้น โดยทางรัฐบาลไทยให้คำมั่นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความสำคัญในภูมิภาคอาเซียนเนื่องจากเป็น “Get Way” ที่สำคัญทำให้หลายประเทศในภูมิภาคให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ขณะเดียวกัน มีประเด็นสำคัญ คือ ทางสหรัฐฯ มีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ, การส่งออกสินค้าระหว่างประเทศที่จะให้มีการค้าขายระหว่างกันให้มากขึ้น รวมไปถึงการดึงดูดนักลงทุนภาคเอกชนสหรัฐฯให้เข้ามาลงทุนในประเทศ ตัวอย่างเช่น บริษัทยานยนต์
ทั้งนี้ ได้มีการหารือกันเรื่องการค้าระหว่างประเทศ และ องค์การค้าระหว่างประเทศ (ดับเบิลยูทีโอ) โดยเน้นการหารือเรื่องกฎระเบียบทางการค้าต่างๆ ที่สำคัญ เช่น โครงสร้างภาษีศุลกากร เพราะเป็นสิ่งสำคัญในการค้าระหว่างประเทศ เพราะตลาดส่งออกสำคัญของไทย คือ สหรัฐฯ ที่มีความสำคัญมากที่สุด ซึ่งทางไทยมีแผนจะขยายการค้าให้เพิ่มสูงขึ้น
รมว.พาณิชย์ กล่าวอีกว่า ทางรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับปัญหาเรื่องปากท้องเพียงชั่วคราว เพราะเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการแก้ไข แต่โครงการสำคัญที่รัฐบาลจะเร่งดำเนินการภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยมีเป้าหมายหารายได้เข้าประเทศ คือ แผนกระตุ้นการส่งออกสินค้าสำคัญ 3 อย่าง คือ อัญมณี โดยจะผลักดันให้สามารถส่งออกให้ได้ 2.2-2.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12% สิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม และเสื้อผ้า จะผลักดันให้สามารถสร้างมูลค่าการส่งออกให้สูงถึง 2.5 แสนล้านบาท และสร้างมูลค่าการผลิตในประเทศ 2.5 แสนล้านบาท โดยทั้งหมดจะตั้งเป้าให้ได้ 5 แสนล้านบาท และกำลังเตรียมแผนการส่งออกสินค้าผัก และผลไม้เช่นกัน
ปัดสหรัฐฯ วิ่งล็อบบี้
ถกซีแอลแลกเอฟทีเอ
นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ อดีตที่ปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะคณะทำงานที่ปรึกษา นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าวภายหลังการเข้าพบของนางบาร์บารา ไวเซล ผู้แทนการค้าประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแปซิฟิกของสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) ว่า เป็นธรรมเนียมและประเพณีปฏิบัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติมาสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทางสหรัฐฯจะส่งผู้แทนเข้าพบ ซึ่งถือว่าเป็นการเข้าพบหารือกันตามปกติ ก่อนจะมีการหารือด้านการค้าและด้านอื่นๆต่อไป และ ทางฝ่ายไทยก็ขอร้องให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาดีขึ้นๆ จะได้ลำบากน้อยลง
“สหรัฐฯ ต้องการอยากจะมาทำความรู้จักใหม่กับทีมงานใหม่ของไทยเท่านั้น และไม่ได้มีการพูดคุยเรื่อง ซีแอล (การใช้สิทธิภายใต้ยา ที่มีสิทธิบัตร) หรือเอฟทีเอ ระหว่าประเทศไทยกับสหรัฐฯ แต่การเข้าพบคราวนี้ตามพิธีการ คือ เป็นเพียงมาเยี่ยม ทำความรู้จักกับทีมงานใหม่ของฝ่ายไทย เสร็จแล้วถึงจะตามมาด้วยเรื่องอื่นๆ ซึ่งคณะของสหรัฐฯที่เข้าพบครั้งนี้เป็นทีมงานระดับผู้แทนการค้าเอเชีย” นายพันศักดิ์กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันเดียวกันนี้คณะผู้แทนการค้าสหรัฐฯจะเข้าพบหารือกับนาย ศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับนโยบายด้านการดูแลทรัพย์สินทางปัญญา และ การปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ รวมไปถึงท่าทีการเปิดเขตการค้าเสรี ไทย-สหรัฐฯ
สำหรับวาระงานเดิมนั้นคณะผู้แทนการค้าสหรัฐฯ จะเข้าพบ นพ.สุรพงษ์ ที่ห้องทำงานตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาลในเวลา 10.15 น. โดยการเข้าพบครั้งนี้ ไม่มีการเปิดเผยจากรัฐบาลแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ภายหลังนางบาร์บารา ไวเซล ผู้แทนการค้าประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกของสหรัฐฯ เข้าพบปลัดกระทรวงพาณิชย์ แล้วจะนำข้อมูลไปรายงานต่อนางซูซาน ซี. ชวาบ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) ที่จะเข้าพบกับนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในเร็วๆนี้
รายงานข่าวแจ้งว่าในวันนี้ เอกอัคราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ยังจะเข้าพบนายมิ่งขวัญ ที่ทำเนียบรัฐบาล ในเวลา 14.00 น.ด้วย
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ กล่าวภายหลังการหารือกับนางบาร์บารา ไวเซล ผู้แทนการค้าประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแปซิฟิกของสหรัฐอเมริกา (ยูเอสทีอาร์) และนายอีริก จี. จอห์น เอกอัคราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลว่า ได้มีการหารือกันเรื่องซีแอลยาโดยได้แจ้งต่อสหรัฐฯ ทราบว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกัน 3 กระทรวง คือ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งในเรื่องนี้ทางสหรัฐฯ ยังไม่มีท่าทีชัดเจน เพราะทั้งไทยและสหรัฐฯ ยังไม่ได้มีการหารือที่ลงลึกไปในรายละเอียด แต่ได้แจ้งกับสหรัฐฯ ไปว่าตอนนี้ได้มีการแยกหารือกันอยู่ระหว่าง 3 ปลัดกระทรวง
สำหรับประเด็นการการเปิดเขตการค้าเสรี ไทยกับสหรัฐฯ (FTA-ไทย-สหรัฐ) นั้น ยังไม่ได้มีการหารือกันในเรื่องนี้ ทางสหรัฐฯเพียงเข้ามาแสดงความยินดีแก่ไทยเท่านั้น โดยทางรัฐบาลไทยให้คำมั่นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความสำคัญในภูมิภาคอาเซียนเนื่องจากเป็น “Get Way” ที่สำคัญทำให้หลายประเทศในภูมิภาคให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ขณะเดียวกัน มีประเด็นสำคัญ คือ ทางสหรัฐฯ มีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ, การส่งออกสินค้าระหว่างประเทศที่จะให้มีการค้าขายระหว่างกันให้มากขึ้น รวมไปถึงการดึงดูดนักลงทุนภาคเอกชนสหรัฐฯให้เข้ามาลงทุนในประเทศ ตัวอย่างเช่น บริษัทยานยนต์
ทั้งนี้ ได้มีการหารือกันเรื่องการค้าระหว่างประเทศ และ องค์การค้าระหว่างประเทศ (ดับเบิลยูทีโอ) โดยเน้นการหารือเรื่องกฎระเบียบทางการค้าต่างๆ ที่สำคัญ เช่น โครงสร้างภาษีศุลกากร เพราะเป็นสิ่งสำคัญในการค้าระหว่างประเทศ เพราะตลาดส่งออกสำคัญของไทย คือ สหรัฐฯ ที่มีความสำคัญมากที่สุด ซึ่งทางไทยมีแผนจะขยายการค้าให้เพิ่มสูงขึ้น
รมว.พาณิชย์ กล่าวอีกว่า ทางรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับปัญหาเรื่องปากท้องเพียงชั่วคราว เพราะเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการแก้ไข แต่โครงการสำคัญที่รัฐบาลจะเร่งดำเนินการภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยมีเป้าหมายหารายได้เข้าประเทศ คือ แผนกระตุ้นการส่งออกสินค้าสำคัญ 3 อย่าง คือ อัญมณี โดยจะผลักดันให้สามารถส่งออกให้ได้ 2.2-2.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12% สิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม และเสื้อผ้า จะผลักดันให้สามารถสร้างมูลค่าการส่งออกให้สูงถึง 2.5 แสนล้านบาท และสร้างมูลค่าการผลิตในประเทศ 2.5 แสนล้านบาท โดยทั้งหมดจะตั้งเป้าให้ได้ 5 แสนล้านบาท และกำลังเตรียมแผนการส่งออกสินค้าผัก และผลไม้เช่นกัน
ปัดสหรัฐฯ วิ่งล็อบบี้
ถกซีแอลแลกเอฟทีเอ
นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ อดีตที่ปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะคณะทำงานที่ปรึกษา นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าวภายหลังการเข้าพบของนางบาร์บารา ไวเซล ผู้แทนการค้าประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแปซิฟิกของสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) ว่า เป็นธรรมเนียมและประเพณีปฏิบัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติมาสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทางสหรัฐฯจะส่งผู้แทนเข้าพบ ซึ่งถือว่าเป็นการเข้าพบหารือกันตามปกติ ก่อนจะมีการหารือด้านการค้าและด้านอื่นๆต่อไป และ ทางฝ่ายไทยก็ขอร้องให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาดีขึ้นๆ จะได้ลำบากน้อยลง
“สหรัฐฯ ต้องการอยากจะมาทำความรู้จักใหม่กับทีมงานใหม่ของไทยเท่านั้น และไม่ได้มีการพูดคุยเรื่อง ซีแอล (การใช้สิทธิภายใต้ยา ที่มีสิทธิบัตร) หรือเอฟทีเอ ระหว่าประเทศไทยกับสหรัฐฯ แต่การเข้าพบคราวนี้ตามพิธีการ คือ เป็นเพียงมาเยี่ยม ทำความรู้จักกับทีมงานใหม่ของฝ่ายไทย เสร็จแล้วถึงจะตามมาด้วยเรื่องอื่นๆ ซึ่งคณะของสหรัฐฯที่เข้าพบครั้งนี้เป็นทีมงานระดับผู้แทนการค้าเอเชีย” นายพันศักดิ์กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันเดียวกันนี้คณะผู้แทนการค้าสหรัฐฯจะเข้าพบหารือกับนาย ศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับนโยบายด้านการดูแลทรัพย์สินทางปัญญา และ การปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ รวมไปถึงท่าทีการเปิดเขตการค้าเสรี ไทย-สหรัฐฯ
สำหรับวาระงานเดิมนั้นคณะผู้แทนการค้าสหรัฐฯ จะเข้าพบ นพ.สุรพงษ์ ที่ห้องทำงานตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาลในเวลา 10.15 น. โดยการเข้าพบครั้งนี้ ไม่มีการเปิดเผยจากรัฐบาลแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ภายหลังนางบาร์บารา ไวเซล ผู้แทนการค้าประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกของสหรัฐฯ เข้าพบปลัดกระทรวงพาณิชย์ แล้วจะนำข้อมูลไปรายงานต่อนางซูซาน ซี. ชวาบ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) ที่จะเข้าพบกับนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในเร็วๆนี้
รายงานข่าวแจ้งว่าในวันนี้ เอกอัคราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ยังจะเข้าพบนายมิ่งขวัญ ที่ทำเนียบรัฐบาล ในเวลา 14.00 น.ด้วย