xs
xsm
sm
md
lg

“หมัก”มอมเหล้าคนไทยแก้กม.อุ้มน้ำเมาวันนี้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กลุ่มธุรกิจเหล้าบุกทำเนียบรัฐบาล ชงนายกฯแก้กฎหมาย อ้างก่อปัญหาเพียบ ด้าน “หมักอบายมุข” รับปากกลุ่มธุรกิจขายสุรานำปัญหา ถก ครม.วันนี้ก่อนส่งเรื่องเข้าสภาแก้ ด้านศูนย์วิจัยปัญหาสุราชี้มาตรา 30 เหตุอันดับหนึ่งคนติดเหล้า เตือนนายกฯ คำนึงถึงประโยชน์ประชาชนมากกว่าภาคธุรกิจ ลั่นหากรัฐบาลมุ่งแต่เรื่องอบายมุข อยู่ไม่ครบเทอมแน่ เครือข่ายเยาวชนงดเหล้าฯ เดือดระดมพลกดดันทำเนียบฯวันนี้ ขณะที่นักวิชาการจี้"ไชยา" เร่งออกกฏกระทรวงคุมโฆษณาเหล้า
 
เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (10 มี.ค.) นางวิมลวรรณ  อุดมพร ประธานสมาพันธ์ช่วยภาครัฐลดปัญหาแอลกอฮอล์ และคณะรวม 8 คน เข้าพบนายสมัคร  สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ณ ห้องสีม่วง  ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อชี้แจงถึงปัญหาและผลกระทบอันเนื่องมาจากการประกาศบังคับใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 

โวย กม.เหล้าทำยุ่ง
 
จากนั้นนางวิมลวรรณและคณะ ได้ร่วมกันชี้แจงปัญหาผลกระทบอันเนื่องมาจากการประกาศบังคับใช้พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในหลายมาตรา  อาทิ มาตรา 30 ที่บัญญัติว่าห้ามมิให้ผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยวิธีการหรือลักษณะดังต่อไปนี้  (2) การเร่ขาย และ (5) โดยแจก แถม ให้หรือแลกเปลี่ยนกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือกับสินค้าอื่น หรือ การให้บริการอย่างอื่นแล้วแต่กรณี หรือแจกจ่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในลักษณะเป็นตัวอย่างของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือเป็นการจูงใจสาธารณชนให้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 
 
“บทบัญญัติดังกล่าวส่งผลกระทบเป็นอย่างมากกับผู้ผลิตไวน์ผลไม้โอทอป  เพราะไวน์โอทอปมีช่องทางการจำหน่ายหลักด้วยการออกงานแสดงสินค้าโอทอป ที่จัดว่าเป็นการเร่ขาย  อีกทั้งต้องให้ผู้บริโภคได้ชิมไวน์  มิฉะนั้นผู้บริโภคก็จะไม่ซื้อสินค้า  ซึ่งการชิมก็เข้าข่ายการแจกแถม และผู้ผลิตไวน์โอทอปไม่ได้มีต้นทุนการผลิตและปัจจัยอื่นที่สามารถส่งเสริมสินค้าของตนได้เหมือนผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่” สมาพันธ์ ระบุเหตุผลในการแก้ไขพ.ร.บ.
 
พร้อมกันนี้สมาพันธ์ฯได้นำเสนอนโยบายในการแก้ไขปัญหาสังคมและเยาวชนต่อภาครัฐ โดยมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจให้น้อยที่สุด อาทิ การนำเอาสภาพความเป็นจริงที่เหมาะสมกับสภาพธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม ภัตตาคาร สถานบันเทิง ร้านค้าปลีกในปัจจุบันมาเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับพื้นที่ขาย วัน และเวลา ตลอดจนการส่งเสริมการขายและโฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็นต้น 

“หมัก” สั่งนำเข้า ครม.ก่อนแก้ กม.
 
ทั้งนี้นายสมัครได้รับฟังผลกระทบเนื่องมาจากการประกาศบังคับใช้พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมในประเด็นต่างๆ ด้วยความสนใจ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เข้าใจในปัญหาของสมาพันธ์ฯ ที่ได้มาร้องทุกข์ ซึ่งในปัญหาข้อจำกัดต่างๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว จึงขอให้ทางสมาพันธ์ฯ ได้รวบรวมสรุปเป็นเอกสาร ระบุปัญหาข้อต่างๆ ในมาตรานั้นๆ ให้ชัดเจน แล้วนำส่งให้ภายในวันที่ 10 มี.ค. เพื่อจะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ (11 มี.ค)  เพื่อให้ครม.ได้รับทราบและพิจารณาในสิ่งที่ปฏิบัติไม่ได้ โดยจะส่งให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาเหตุผล  เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการขอแก้ไขกฎหมายในสภาฯ ต่อไป  
 
ในตอนท้ายนายสมัครกล่าวขอบคุณคณะสมาพันธ์ฯ ที่มาเข้าพบซึ่งเป็นเรื่องที่มีประโยชน์อย่างมากและขอบคุณภาคเอกชนที่ไว้วางใจให้คนที่มาจากการเลือกตั้งได้ตรวจสอบ ทั้งนี้เห็นว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องแง่กฎหมาย ที่มีการออกกฎหมายในสิ่งที่ปฏิบัติไม่ได้ แล้วทำให้สังคมเดือดร้อนจึงต้องมีการช่วยแก้ไขให้ปฏิบัติได้
    
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า  พล.ต.ท. วิเชียรโชติ  สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ระบุภายหลังการหารือว่า นายกรัฐมนตรีจะนำเรื่องนี้มาแถลงข่าวกับสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 11 มี.ค.นี้ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาพันธ์ช่วยภาครัฐลดปัญหาแอลกอฮอล์เป็นองค์กรที่สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาแอลกอฮอล์ ประกอบด้วย ผู้ประกอบการเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจแอลกอฮอล์ ได้แก่ บริษัทผู้ผลิตและผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้จัดจำหน่าย สมาคมผู้ค้าปลีกแห่งประเทศไทย ผู้ทำโฆษณาและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อาทิ สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย สมาคมโรงแรมแห่งประเทศไทย สมาคมภัตตาคารไทย สมาคมท่องเที่ยว ผู้ประกอบการสถานบันเทิง สมาคมกีฬา และอื่นๆ

จวกทบทวน ม.30 อันตราย !!!

นพ.บัณฑิต ศรไพศาล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวว่า เป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ เพราะมาตรา 30 เป็นมาตราอันดับ 1 ที่ส่งผลอย่างมากต่อผู้บริโภค เนื่องจากการลด แลก แจก แถมหรือการทดลองชิมสินค้านั้นมีผลอย่างสูงต่อการตัดสินใจ ซึ่งมีความสำคัญและส่งผลโดยตรงต่อผู้บริโภค

ในขณะที่มาตรา 32 นั้น จะเน้นไปในส่วนของการลดจำนวนผู้บริโภคหน้าใหม่
โดยผู้แทนบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อหนึ่งเคยบอกว่าการลดราคามีผลเยอะที่สุดในการเพิ่มยอดสินค้า ซึ่งหากมีการแก้กฎหมายเชื่อว่าจะส่งผลแย่อย่างมาก เพราะภาคธุรกิจเองจะได้รับแต่ยอดขายสินค้าอย่างเดียวโดยที่ไม่มองถึงสังคมว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไร การควบคุมกฎหมายต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็จะหย่อนยานลง

ทั้งนี้ ภาครัฐต้องถามตัวเองว่าจะยึดประโยชน์ฝ่ายไหนเป็นสำคัญระหว่างภาคสังคม ประชาชน หรือสนใจแต่ประโยชน์ของภาคเอกชน ธุรกิจมากกว่า เพราะรัฐบาลพูดอยู่เสมอว่ามาจาการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากจากประชาชน แล้วรัฐบาลเองจะดำเนินการเรื่องนี้เพื่อใคร ตอนนี้มีผลการวิจัยออกมามากมายถึงผลกระทบจากสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะคนที่ดื่มได้รับผลกระทบเพียง 40% ส่วนอีก 60% นั้นเป็นผลกระทบที่มีต่อผู้ที่ไม่ดื่ม

"หากเปรียบสังคมนี้เหมือนบ้าน นายกฯ เองก็เหมือนหัวหน้าครอบครัว ต้องออกกฎ คำสั่งต่างๆคุ้มครองไม่ให้ฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใดเสียเปรียบ อย่าเห็นประโยชน์ของธุรกิจมากกว่าประชาชน น่าจะมีการพัฒนาทั้งเรื่องของธุรกิจแต่ต้องไม่ละเมิดต่อหลักศีลธรรม อย่างรัฐบาล 2 ชุดที่ผ่านมาถือได้ว่าเอาธุรกิจนำหน้าคุณธรรมในสังคม ผลที่ออกมาจึงทำให้เป็นอยู่เหมือนทุกวันนี้ ที่จะมีทั้งเรื่องของหวย เรื่องของบ่อน ไหนจะเป็นเรื่องของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไปรัฐบาลก็น่าจะไม่ได้อยู่ในสังคมนี้ได้นาน"

"ภาคธุรกิจต้องทำหน้าที่ของตนเอง แต่สิ่งที่เขากำลังเรียกร้อง หรือต้องการนั้นเป็นสิ่งที่เกิดปัญหาอย่างใหญ่หลวงแก่สังคม นักการเมืองในประเทศต้องไม่พูดอย่างทำอย่าง นักการเมืองต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ต้องรู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ และให้ยึดถือคุณธรรมเป็นหลัก" นพ.บัณฑิต กล่าว

นพ.บัณฑิต กล่าวทิ้งท้ายว่า จากข้อมูลกรมสรรพสามิตได้รับเงินกว่า 7 หมื่นล้าน ซึ่งเป็นต้นทุน และกำไรที่ได้จากการขายสุรา แต่ผลที่รัฐต้องจ่ายให้กับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดื่มสุราของประชาชนทั้งด้านเศรษฐกิจ และปัญหาต่างๆ ทั้งอุบัติเหตุ การเจ็บป่วย พิการ และตาย จากเหตุของสุรานั้น รวมแล้วตกที่ 1.9 แสนล้านต่อปี ด้วยเหตุนี้จึงไม่เป็นการคุ้มกับการที่จะลงทุนกับเรื่องอบายมุขต่างๆ

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (10 มี.ค.) เวลาประมาณ 08.30 น.เครือข่ายเยาวชนงดเหล้าจะเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อแสดงพลังคัดค้านการแก้ไขกฎหมายเหล้าของรัฐบาลนายสมัครในครั้งนี้ด้วย โดยคาดว่าจะมีผู้ร่วมชุมนุมประมาณ 100 คน

จี้"ไชยา"เร่งออกกฎกระทรวงคุมโฆษณา

วันเดียวกันที่โรงแรมเอเชีย เครือข่ายนักวิชาการและภาคประชาชน จัดงานการประชุมเสนอแนวทางการกำหนดกฎกระทรวงว่าด้วยการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์ จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า พ.ร.บ.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้มีผลบังคับใช้แล้วในวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยเนื้อหาหลักของกฎหมายนี้คือการควบคุมการโฆษณา ประชาสัมพันธ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้น อยากให้มีการออกเป็นกฎกระทรวง ซึ่งต้องไม่ทำให้มาตรการควบคุมการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์อ่อนด้อยลงไปกว่าเดิม

ด้วยเหตุนี้ ทางเครือข่ายฯ จึงมีข้อเสนอกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่สำคัญต่อเด็ก เยาวชน และประชาชน ดังนี้ 1. การโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ใดๆ โดยผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทให้กระทำได้ในช่วงเวลา 24.00 - 05.00 น.เท่านั้น 2. การโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ใดๆ โดยผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทห้ามกระทำทางป้ายกลางแจ้งในรัศมี 500 เมตร รอบสถานศึกษา 3. การโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใดๆ ต้องมีคำเตือนที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการควบคุมผู้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

"การกำหนดมาตรการควบคุมต่างๆ ของทุกประเทศต้องเกิดขึ้นไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แย่ลง จึงหวังว่า รมว.สาธารณสุข จะเร่งดำเนินการทันที โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของเด็ก เยาวชน และประชาชนมากกว่า การมองถึงผลประโยชน์ของฝ่ายธุรกิจ และมองโลกด้วยความจริงตามข้อมูลที่มีการวิจัยออกมา ไม่ใช่ตัดสินใจด้วยอารมณ์กับความรู้สึกของตัวเอง" ดร.ปาริชาต กล่าว

ด้าน นายสงกรานต์ ภาคโชคดี เครือข่ายองค์กรงดเหล้า กล่าวว่า ในวันนี้ (11 มี.ค.)ทางเครือข่ายภาคประชาชน ตัวแทนเยาวชน นักเรียน นักศึกษา จะนำข้อเสนอทั้ง 3 ข้อ พร้อมด้วยข้อมูลผลการวิจัยทั้งหมดเข้ายื่นให้แก่นายไชยาต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น