ผู้จัดการรายวัน - EASTW เตรียมขยับขึ้นราคาค่าน้ำดิบอีก 10-12% จากเดิมเฉลี่ย 7.59 บาท/ลบ.ม. เพื่อสะท้อนต้นทุนที่ปรับขึ้นทั้งค่าพลังงานและค่าเสื่อมราคาจากการลงทุน รวมทั้งรื้อสัญญาขายน้ำกับลูกค้า โดยกำหนดปริมาณรับซื้อขั้นต่ำไว้เพื่อลดภาระการลงทุน หวั่นคลังคิดค่าเช่าท่ออิงอัตราเดียวกับปตท.จะทำให้ต้นทุนเพิ่มอีก เตือนคลังคิดรอบคอบเพราะเป็นภาระต่อผู้ใช้น้ำ มั่นใจปีนี้โกยรายได้ 2.5 พันล้านบาทโตต่อเนื่อง หลังมั่นใจมี.ค.ขายหุ้นธุรกิจผลิตท่อให้พันธมิตรได้
นายประพันธ์ อัศวอารี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EASTW เปิดเผยว่า บริษัทจะปรับโครงสร้างราคาค่าน้ำดิบใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 10-12% ของค่าน้ำดิบเฉลี่ยอยู่ 7.59 บาท/ลูกบาศก์เมตร เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและทำให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ใช้น้ำทุกกลุ่ม โดยจะเริ่มทยอยปรับค่าน้ำดิบใหม่กับลูกค้าตั้งแต่เม.ย.เป็นต้นไป
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายที่จะให้โครงสร้างต้นทุนขายไม่เกิน 40% ของยอดขาย แต่ไตรมาส 1/2551 (ต.ค.-ธ.ค.2550)โครงสร้างต้นทุนอยู่ที่ 38% ของรายได้ โดยปรับเพิ่มขึ้น 17% ส่วนใหญ่มาจากค่าพลังงาน และค่าเสื่อมราคาจากการขยายโครงการวางท่อน้ำดิบ ทำให้ต้องหามาตรการที่จะสร้างรายได้เพิ่มและลดต้นทุนภายในลง โดยปีนี้บริษัทรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 55% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 60%
สำหรับในช่วงที่ผ่านมา บริษัทคิดโครงสร้างอัตราค่าน้ำแถวบริเวณแหลมฉบังค่อนข้างต่ำ แต่ปัจจุบันความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณน้ำจากหนองค้อมีน้อย ทำให้ต้องจัดหาจากแหล่งอื่นส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นจนราคาขายต่ำกว่าต้นทุนถึง 30-40 สตางค์/ลบ.ม. ซึ่งการปรับขึ้นอัตราค่าน้ำในครั้งนี้ ลูกค้าในพื้นที่ดังกล่าวจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เพราะบริษัทต้องการจัดเก็บค่าน้ำมีฐานราคาใกล้เคียงกัน แต่จะทยอยจัดเก็บเพิ่มครั้งละ 25-50 สตางค์ เพราะไม่ต้องการให้ลูกค้าได้รับผลกระทบมากนัก
"บอร์ดบริษัทได้อนุมัติให้มีการปรับขึ้นอัตราค่าน้ำแล้ว แต่เราต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบและเตรียมตัวเป็น 120-180 วันก่อนที่จะปรับขึ้นจริง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัญญาซื้อขายน้ำดิบกับลูกค้าอยู่ 40 สัญญา"
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมปรับสัญญาซื้อขายน้ำดิบกับลูกค้าใหม่ โดยกำหนดปริมาณการรับซื้อขั้นต่ำไว้ หากลูกค้ารายใดซื้อน้ำดิบในปริมาณที่ต่ำกว่าข้อตกลงจะถูกปรับหรือจ่ายเต็มปริมาณ เพื่อลดภาระการลงทุน จากเดิมที่ลูกค้าหลายรายแจ้งบริษัทต้องการใช้น้ำในปริมาณที่สูง ทำให้บริษัทต้องลงทุนจัดหาน้ำสนองความต้องการใช้ แต่สุดท้ายลูกค้าใช้น้ำในปริมาณที่ต่ำกว่าแจ้งไว้มาก
นายประพันธ์ กล่าวต่อไปว่า บริษัทเตรียมลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก (มินิไฮโดร เพาเวอร์) ขนาด 500 กิโลวัตต์ ใช้เงินลงทุน 50 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากค่าไฟฟ้าเป็นค่าใช้จ่ายหลักคิดเป็น 30% ของต้นทุนหรือประมาณ 200 กว่าล้านบาท และยังเป็นธุรกิจใหม่ที่จะเสริมรายได้นอกเหนือจากธุรกิจน้ำดิบและน้ำประปา
เนื่องจากบริษัทมีระบบส่งท่อน้ำ ทำให้มีความเหมาะสมที่จะติดตั้งมินิไฮโดร เทอร์ไบด์บริเวณอ่างเก็บน้ำหนองค้อ จ.ชลบุรีแล้วนำมาปั่นเป็นกระแสไฟฟ้าถือเป็นโครงการนำร่อง คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2551 นอกจากนี้บริษัทยังดูลู่ทางสร้างโรงไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น โซล่าร์เซลล์ และโรงไฟฟ้าจากกังหันลม และขยะด้วย
ปัจจุบันบริษัทอ่างเก็บน้ำหลัก 3 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล อ่างเก็บน้ำดอกกราย และอ่างเก็บน้ำหนองค้อ ซึ่งมีปริมาณน้ำกักเก็บโดยรวม60%ของความจุอ่าง และมีแหล่งน้ำสำรองจากอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ อ่างเก็บน้ำหนองประแสร์ และสระเก็บน้ำของบริษัทฯเอง คิดเป็น 70 ล้านลบ.ม. หรือ 1/3 ของความต้องการใช้ของลูกค้า จึงมั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาน้ำขาดแคลนในภาคตะวันออกเหมือนปี 2548
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าปี 2551 จะมีรายได้รวม 2,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,374 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจน้ำดิบ รองลงมาคือ บริษัท ยูนิเวอร์แซล ยูทีลิตี้ส์ จำกัด (UU)ซึ่งดำเนินธุรกิจน้ำประปา โดยปีนี้คาดว่าจะยอดขายน้ำประปาประมาณ 75.6 ล้านลบ.ม. มีอัตราการเติบโต 46% โดยปีนี้ UU จะมีรายได้รวม 760 ล้านบาท กำไรสุทธิ 97 ล้านบาท ดีกว่าปีที่แล้วซึ่งมีรายได้รวม 680 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 82 ล้านบาท จัดว่าธุรกิจน้ำประปามีกำไรอย่างต่อเนื่อง
หวั่นคลังคิดค่าเช่าท่อตามสูตรปตท.
นางธิดารัชต์ ไกรประสิทธิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการเงินและบัญชี EASTW กล่าวว่า มีแนวโน้มกระทรวงการคลังจะพิจารณาจัดเก็บอัตราค่าเช่าท่อใหม่โดยอิงสูตรการคำนวณจากท่อก๊าซฯของบมจ.ปตท. ที่จัดเก็บ 5%ของรายได้ ทั้งที่เดิมบริษัทฯจ่ายค่าเช่าท่อให้กับกระทรวงการคลังในอัตรา 1%ของรายได้ โดยมีการทำสัญญาเช่าท่อล่วงหน้าไว้ 30 ปี หรือคิดเป็นค่าใช้จ่ายปีละ 15 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯเห็นว่าไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสัญญาเดิม
โดยยอมรับว่ามีท่อบางเส้นที่ยังไม่ได้มีการลงนามสัญญาอัตราค่าเช่ากับคลังไว้ แม้ว่าก่อนหน้าจะเคยเจรจาได้ข้อสรุปที่อัตราค่าเช่า 3% ของรายได้ ซึ่งเส้นท่อดังกล่าวมีโอกาสที่คลังอาจจะปรับขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียงสูตรค่าเช่าของบมจ.ปตท. แต่ทั้งนี้ก็อยากให้คลังพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะหากมีการจัดเก็บอัตราค่าเช่าท่อเพิ่ม จะส่งผลให้บริษัทฯต้องผลักภาระนี้ไปให้ผู้ใช้น้ำซึ่งส่วนใหญ่เป็นนิคมอุตสาหกรรม การประปาส่วนภูมิภาค และโรงงานต่างๆในแถบภาคตะวันออก
แม้ว่าบริษัทจะปรับขึ้นราคาค่าน้ำในอัตราเฉลี่ย 12% แต่ก็ไม่ได้มีการรวมส่วนเพิ่มของค่าเช่าท่อ หากคลังจะจัดเก็บเพิ่ม จะทำให้ต้นทุนค่าน้ำเพิ่มขึ้น 25 สตางค์/ลบ.ม. สุดท้ายบริษัทฯต้องผลักภาระนี้แก่ผู้ใช้น้ำ ทำให้ต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นด้วยปัจจุบัน บริษัทฯต้องเช่าท่อจากกระทรวงการคลัง ระยะทาง 100 กว่ากม. ซึ่งเป็นท่อเดิมที่กรมโยธาสร้างขึ้นมา ส่วนเส้นท่อที่เหลือส่วนใหญ่อีก 200 กม.เป็นการลงทุนจากบริษัทฯเองทั้งหมด
สำหรับแผนการลงทุน 3-5ปีข้างหน้า บริษัทฯจะใช้เงินประมาณ 4-5 พันล้านบาท ในธุรกิจประปา 2 พันล้านบาท ธุรกิจน้ำดิบ 2.6 พันล้านบาท และโรงไฟฟ้ามินิไฮโดรฯ 300 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทุนไม่น่าจะมีปัญหาเพราะบริษัทสามารถกู้แบงก์ได้อีก 1พันล้านบาท และอัตราหนี้สินต่อทุนแค่ 0.55 เท่า ทำให้สามารถก่อหนี้ได้เพิ่มอีก 2 พันล้านบาท ที่เหลือมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
นางธิดารัชต์ กล่าวถึงกรณีที่บมจ.ผลิตไฟฟ้า(เอ็กโก)เข้ามาถือหุ้นกว่า 18%นั้นเป็นเรื่องที่ดี โดยมีโอกาสที่บริษัทฯจะจับมือกับเอ็กโกเพื่อทำธุรกิจร่วมกันในอนาคต
มั่นใจขายหุ้นบ.ท่อได้มี.ค.นี้
นายประพันธ์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการดึงพันธมิตรใหม่เข้ามาถือหุ้นในบริษัท อีสเทอร์น โฮบาส ไพพ์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตท่อน้ำว่า ขณะนี้บอร์ดบริษัทได้เร่งรัดให้ดำเนินการ โดยอยู่ระหว่างการเจรจาขายหุ้นอีสเทอร์น โฮบาสฯลงจากเดิมที่บริษัทฯถือหุ้นอยู่ 50%เหลือ 24%ให้กับพันธมิตรในประเทศคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมี.ค.นี้ ขณะที่ผู้ถือหุ้นต่างชาติอีกรายที่ถืออยู่ 50%ก็ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงโดยขายหุ้นในพันธมิตรรายใหม่เช่นเดียวกัน การลดสัดส่วนการถือหุ้นในอีสเทอร์น โฮบาสฯนี้ เพื่อลดภาระการขาดทุน หลังจากที่บริษัทฯแบกภาระขาดทุนสะสมในบริษัทย่อยมาแล้ว 400 ล้านบาท เมื่อมีการขายหุ้นดังกล่าวไปจะทำให้การบันทึกขาดทุนสะสมลดลง
นายประพันธ์ อัศวอารี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EASTW เปิดเผยว่า บริษัทจะปรับโครงสร้างราคาค่าน้ำดิบใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 10-12% ของค่าน้ำดิบเฉลี่ยอยู่ 7.59 บาท/ลูกบาศก์เมตร เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและทำให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ใช้น้ำทุกกลุ่ม โดยจะเริ่มทยอยปรับค่าน้ำดิบใหม่กับลูกค้าตั้งแต่เม.ย.เป็นต้นไป
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายที่จะให้โครงสร้างต้นทุนขายไม่เกิน 40% ของยอดขาย แต่ไตรมาส 1/2551 (ต.ค.-ธ.ค.2550)โครงสร้างต้นทุนอยู่ที่ 38% ของรายได้ โดยปรับเพิ่มขึ้น 17% ส่วนใหญ่มาจากค่าพลังงาน และค่าเสื่อมราคาจากการขยายโครงการวางท่อน้ำดิบ ทำให้ต้องหามาตรการที่จะสร้างรายได้เพิ่มและลดต้นทุนภายในลง โดยปีนี้บริษัทรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 55% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 60%
สำหรับในช่วงที่ผ่านมา บริษัทคิดโครงสร้างอัตราค่าน้ำแถวบริเวณแหลมฉบังค่อนข้างต่ำ แต่ปัจจุบันความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณน้ำจากหนองค้อมีน้อย ทำให้ต้องจัดหาจากแหล่งอื่นส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นจนราคาขายต่ำกว่าต้นทุนถึง 30-40 สตางค์/ลบ.ม. ซึ่งการปรับขึ้นอัตราค่าน้ำในครั้งนี้ ลูกค้าในพื้นที่ดังกล่าวจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เพราะบริษัทต้องการจัดเก็บค่าน้ำมีฐานราคาใกล้เคียงกัน แต่จะทยอยจัดเก็บเพิ่มครั้งละ 25-50 สตางค์ เพราะไม่ต้องการให้ลูกค้าได้รับผลกระทบมากนัก
"บอร์ดบริษัทได้อนุมัติให้มีการปรับขึ้นอัตราค่าน้ำแล้ว แต่เราต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบและเตรียมตัวเป็น 120-180 วันก่อนที่จะปรับขึ้นจริง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัญญาซื้อขายน้ำดิบกับลูกค้าอยู่ 40 สัญญา"
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมปรับสัญญาซื้อขายน้ำดิบกับลูกค้าใหม่ โดยกำหนดปริมาณการรับซื้อขั้นต่ำไว้ หากลูกค้ารายใดซื้อน้ำดิบในปริมาณที่ต่ำกว่าข้อตกลงจะถูกปรับหรือจ่ายเต็มปริมาณ เพื่อลดภาระการลงทุน จากเดิมที่ลูกค้าหลายรายแจ้งบริษัทต้องการใช้น้ำในปริมาณที่สูง ทำให้บริษัทต้องลงทุนจัดหาน้ำสนองความต้องการใช้ แต่สุดท้ายลูกค้าใช้น้ำในปริมาณที่ต่ำกว่าแจ้งไว้มาก
นายประพันธ์ กล่าวต่อไปว่า บริษัทเตรียมลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก (มินิไฮโดร เพาเวอร์) ขนาด 500 กิโลวัตต์ ใช้เงินลงทุน 50 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากค่าไฟฟ้าเป็นค่าใช้จ่ายหลักคิดเป็น 30% ของต้นทุนหรือประมาณ 200 กว่าล้านบาท และยังเป็นธุรกิจใหม่ที่จะเสริมรายได้นอกเหนือจากธุรกิจน้ำดิบและน้ำประปา
เนื่องจากบริษัทมีระบบส่งท่อน้ำ ทำให้มีความเหมาะสมที่จะติดตั้งมินิไฮโดร เทอร์ไบด์บริเวณอ่างเก็บน้ำหนองค้อ จ.ชลบุรีแล้วนำมาปั่นเป็นกระแสไฟฟ้าถือเป็นโครงการนำร่อง คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2551 นอกจากนี้บริษัทยังดูลู่ทางสร้างโรงไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น โซล่าร์เซลล์ และโรงไฟฟ้าจากกังหันลม และขยะด้วย
ปัจจุบันบริษัทอ่างเก็บน้ำหลัก 3 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล อ่างเก็บน้ำดอกกราย และอ่างเก็บน้ำหนองค้อ ซึ่งมีปริมาณน้ำกักเก็บโดยรวม60%ของความจุอ่าง และมีแหล่งน้ำสำรองจากอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ อ่างเก็บน้ำหนองประแสร์ และสระเก็บน้ำของบริษัทฯเอง คิดเป็น 70 ล้านลบ.ม. หรือ 1/3 ของความต้องการใช้ของลูกค้า จึงมั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาน้ำขาดแคลนในภาคตะวันออกเหมือนปี 2548
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าปี 2551 จะมีรายได้รวม 2,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,374 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจน้ำดิบ รองลงมาคือ บริษัท ยูนิเวอร์แซล ยูทีลิตี้ส์ จำกัด (UU)ซึ่งดำเนินธุรกิจน้ำประปา โดยปีนี้คาดว่าจะยอดขายน้ำประปาประมาณ 75.6 ล้านลบ.ม. มีอัตราการเติบโต 46% โดยปีนี้ UU จะมีรายได้รวม 760 ล้านบาท กำไรสุทธิ 97 ล้านบาท ดีกว่าปีที่แล้วซึ่งมีรายได้รวม 680 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 82 ล้านบาท จัดว่าธุรกิจน้ำประปามีกำไรอย่างต่อเนื่อง
หวั่นคลังคิดค่าเช่าท่อตามสูตรปตท.
นางธิดารัชต์ ไกรประสิทธิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการเงินและบัญชี EASTW กล่าวว่า มีแนวโน้มกระทรวงการคลังจะพิจารณาจัดเก็บอัตราค่าเช่าท่อใหม่โดยอิงสูตรการคำนวณจากท่อก๊าซฯของบมจ.ปตท. ที่จัดเก็บ 5%ของรายได้ ทั้งที่เดิมบริษัทฯจ่ายค่าเช่าท่อให้กับกระทรวงการคลังในอัตรา 1%ของรายได้ โดยมีการทำสัญญาเช่าท่อล่วงหน้าไว้ 30 ปี หรือคิดเป็นค่าใช้จ่ายปีละ 15 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯเห็นว่าไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสัญญาเดิม
โดยยอมรับว่ามีท่อบางเส้นที่ยังไม่ได้มีการลงนามสัญญาอัตราค่าเช่ากับคลังไว้ แม้ว่าก่อนหน้าจะเคยเจรจาได้ข้อสรุปที่อัตราค่าเช่า 3% ของรายได้ ซึ่งเส้นท่อดังกล่าวมีโอกาสที่คลังอาจจะปรับขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียงสูตรค่าเช่าของบมจ.ปตท. แต่ทั้งนี้ก็อยากให้คลังพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะหากมีการจัดเก็บอัตราค่าเช่าท่อเพิ่ม จะส่งผลให้บริษัทฯต้องผลักภาระนี้ไปให้ผู้ใช้น้ำซึ่งส่วนใหญ่เป็นนิคมอุตสาหกรรม การประปาส่วนภูมิภาค และโรงงานต่างๆในแถบภาคตะวันออก
แม้ว่าบริษัทจะปรับขึ้นราคาค่าน้ำในอัตราเฉลี่ย 12% แต่ก็ไม่ได้มีการรวมส่วนเพิ่มของค่าเช่าท่อ หากคลังจะจัดเก็บเพิ่ม จะทำให้ต้นทุนค่าน้ำเพิ่มขึ้น 25 สตางค์/ลบ.ม. สุดท้ายบริษัทฯต้องผลักภาระนี้แก่ผู้ใช้น้ำ ทำให้ต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นด้วยปัจจุบัน บริษัทฯต้องเช่าท่อจากกระทรวงการคลัง ระยะทาง 100 กว่ากม. ซึ่งเป็นท่อเดิมที่กรมโยธาสร้างขึ้นมา ส่วนเส้นท่อที่เหลือส่วนใหญ่อีก 200 กม.เป็นการลงทุนจากบริษัทฯเองทั้งหมด
สำหรับแผนการลงทุน 3-5ปีข้างหน้า บริษัทฯจะใช้เงินประมาณ 4-5 พันล้านบาท ในธุรกิจประปา 2 พันล้านบาท ธุรกิจน้ำดิบ 2.6 พันล้านบาท และโรงไฟฟ้ามินิไฮโดรฯ 300 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทุนไม่น่าจะมีปัญหาเพราะบริษัทสามารถกู้แบงก์ได้อีก 1พันล้านบาท และอัตราหนี้สินต่อทุนแค่ 0.55 เท่า ทำให้สามารถก่อหนี้ได้เพิ่มอีก 2 พันล้านบาท ที่เหลือมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
นางธิดารัชต์ กล่าวถึงกรณีที่บมจ.ผลิตไฟฟ้า(เอ็กโก)เข้ามาถือหุ้นกว่า 18%นั้นเป็นเรื่องที่ดี โดยมีโอกาสที่บริษัทฯจะจับมือกับเอ็กโกเพื่อทำธุรกิจร่วมกันในอนาคต
มั่นใจขายหุ้นบ.ท่อได้มี.ค.นี้
นายประพันธ์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการดึงพันธมิตรใหม่เข้ามาถือหุ้นในบริษัท อีสเทอร์น โฮบาส ไพพ์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตท่อน้ำว่า ขณะนี้บอร์ดบริษัทได้เร่งรัดให้ดำเนินการ โดยอยู่ระหว่างการเจรจาขายหุ้นอีสเทอร์น โฮบาสฯลงจากเดิมที่บริษัทฯถือหุ้นอยู่ 50%เหลือ 24%ให้กับพันธมิตรในประเทศคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมี.ค.นี้ ขณะที่ผู้ถือหุ้นต่างชาติอีกรายที่ถืออยู่ 50%ก็ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงโดยขายหุ้นในพันธมิตรรายใหม่เช่นเดียวกัน การลดสัดส่วนการถือหุ้นในอีสเทอร์น โฮบาสฯนี้ เพื่อลดภาระการขาดทุน หลังจากที่บริษัทฯแบกภาระขาดทุนสะสมในบริษัทย่อยมาแล้ว 400 ล้านบาท เมื่อมีการขายหุ้นดังกล่าวไปจะทำให้การบันทึกขาดทุนสะสมลดลง