xs
xsm
sm
md
lg

ภารกิจเร่งด่วน ล้างบางล้างแค้น !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รัฐบาลหุ่นเชิดเร่งสปีดล้างบางล้างแค้น พลิกฟื้นอำนาจระบอบทักษิณยึดครองประเทศ จับตาคำสั่งเด้งปลัดยธ. – มท. – ผู้ว่าฯแบงก์ชาติ – ทูตไทยประจำกรุงลอนดอน “หัวเว่ย” ดี๊ด๊ารับบอร์ดใหม่ทีโอที – กสท “สุริยะใส” ชี้พฤติการณ์ลุแก่อำนาจเร็วเกินคาด ทำให้หลายฝ่ายกังวล เผยมวลชนพันธมิตรฯ กดดันแกนนำเคลื่อนไหวตอบโต้

หลังรัฐบาลหุ่นเชิดขึ้นครองอำนาจปฏิบัติการล้างบางล้างแค้นฝ่ายตรงข้ามก็ดำเนินไปอย่างเร่งรีบเพื่อโชว์ให้ “นายใหญ่” ผู้อยู่เบื้องหลังเห็นผลงานชิ้นโบว์แดง ชั่วระยะเวลาเพียงไม่กี่วันก่อนหน้าที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะบินกลับไทย ข้าราชการระดับสูงก็ถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่งถึง 4 คน ท่ามกลางคำอธิบายของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และพวก ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา

หากวิเคราะห์เป้าหมายการล้างบาง สางแค้นซึ่งอัดแน่นสุมอกมากว่าปีที่ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำของกลุ่มขั้วอำนาจเก่าที่หวนกลับคืนอำนาจอีกครั้ง เป้าหมายใหญ่ที่เร่งด่วนสุดคือ กลุ่มที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนแต่แรกจากการวางตัว นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของอดีตนายกฯ เป็นรองนายกรัฐมนตรีดูแลกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีที่พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวตกเป็นจำเลยและถูกกล่าวหา

นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม ดูแลคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทเอสซี แอสเซท คอร์ปอเรชั่น จำกัด จึงตกเป็นเหยื่อรายแรกที่ถูกโยกย้ายเซ่นสังเวยการหวนกลับคืนอำนาจของบรรดา “งูหลังหัก” ซึ่งกลับมาแว้งกัดคืน

นายสุนัย ถูกเด้งไปเป็นเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ปปท.) หน่วยงานที่ตั้งขึ้นใหม่เอี่ยมถอดด้ามไม่มีอะไรรองรับแม้แต่น้อย ก่อเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอย่างกว้างขวางและกลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศฟื้นคืนองค์กรเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านระบอบทักษิณอีกครั้ง จนรัฐบาลหุ่นเชิดต้องเบรกเกมไล่เชคบิลคนในสายยุติธรรม โดยเฉพาะ นายจรัล ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป้าหมายรายต่อไปเอาไว้ชั่วคราวก่อน

การที่ นายสุนัย ถูกเด้ง ออกจากดีเอสไอ ย่อมส่งผลต่อคดีเอสซี แอสเซทฯ อย่างแน่นอน และมีการคาดการณ์กันว่า เมื่อผลัดอำนาจแล้วมีแนวโน้มที่อัยการสูงสุดจะถูกแทรกแซงจนถึงขั้นไม่สั่งฟ้องคดีและตีกลับสำนวนมายังดีเอสไอ ถึงเวลานั้น พ.ต.ท. ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอ คงจะไม่กระตือรือล้นที่จะหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อให้มีการสั่งฟ้องใหม่แต่อย่างใด

ผลของการเด้ง นายสุนัย ยังจะมีผลต่อคดีสำคัญอื่นๆ ที่อยู่ในระหว่างการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่ดีเอสไอ เข้ามาดูแลคดีด้วย เช่น คดีฟอกเงินโครงการบ้านเอื้ออาทร เป็นโครงการสำคัญของรัฐบาลทักษิณ 2.คดีฟอกเงินที่ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้กับบริษัทในกลุ่มกฤษดามหานคร ซึ่งเกี่ยวพันกับลูกชายนักการเมืองใหญ่

นอกจากกระทรวงยุติธรรมแล้ว คดีของทักษิณที่ถูกกล่าวหาเกี่ยวพันทุจริต ที่อยู่ในการตรวจสอบของ คตส. ตามกระบวนการสำนวนคดีจะถูกส่งไปยังอัยการสูงสุด เพื่อทำสำนวนยื่นฟ้องต่อศาล เหตุนี้ สำนักงานอัยการสูงสุด จึงอีกเป้าหมายสำคัญในการเข้ามาแทรกแซง

ท่าทีของฝ่ายอัยการสูงสุดกับคตส.นั้น ส่อแสดงถึงอาการปีนเกลียวกันให้เห็นมาแล้วในคดีหวยบนดิน ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ตกเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี คดีนี้อัยการไม่สั่งฟ้อง ทางคตส.จึงอาศัยพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตั้งทนายฟ้องคดีต่อศาลเอง ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า คดีอื่นๆ ที่คตส.กล่าวหาอดีตนายกฯ จะเจอปัญหาแบบเดียวกันหรือไม่

เกมการล้างแค้น คตส.นั้น ดูเหมือนว่าฝ่ายทักษิณ จะรอให้มีการเปลี่ยนตัวผู้ที่จะมาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในช่วงประมาณกลางปีนี้ จากนั้นจึงจะยื่นตีความสถานะของ คตส.ซึ่งเกิดจากผลพวงของการรัฐประหารว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพื่อล้มล้างคดีทั้งหมด

ขณะเดียวกัน คงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า คณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) ชุดใหม่ที่จะมาแทน ชุดปัจจุบันที่จะหมดวาระลงในอีกไม่ช้านี้ จะมีผลต่อการเปลี่ยนตัวผู้พิพากษา รับผิดชอบคดีที่เกี่ยวข้องกับอดีตนายกฯ และครอบครัว หรือไม่

แน่นอนว่า การล้างบาง แทรกแซง กระบวนการยุติธรรม ณ เวลานี้เป็นเพียงบทเริ่มต้น

สำหรับกระบวนการล้างบางในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคดีความและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ก.พ. ที่ผ่านมา คือ การย้ายพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผบ.ตร. โดยนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และ รมว.กลาโหม สั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ และให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รอง ผบ.ตร.ขึ้นมารักษาการแทน อีกทั้ง นายสมัคร ยังมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงใน 3 กรณี เรื่องโครงการรถเช่า, การใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมกับผู้ใต้บังคับบัญชา และออกคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับพ.ต.อ.ในสังกัดกองบัญชาการสอบสวนกลางไม่ถูกต้องตามระเบียบฯ อีกด้วย

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ จึงเป็นผบ.ตร.ที่มาและไปพร้อมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) การพ้นจากตำแหน่งของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เปิดทางกลับสู่อำนาจผบ.ตร.ของ พล.ต.อ.เพียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่ถูกเด้งเข้ากรุให้ไปช่วยราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในยุคคมช.

หลังจากปลดหัวขบวนแล้ว การโยกย้ายในระดับรองๆ ลงไปต้องตามมาเป็นขบวน สะท้อนวัฒนธรรมยุคนายใครเป็นใหญ่

ขณะที่ฝ่ายทหารแม้จะเป็นผู้ที่นำกำลังเข้ารัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณโดยตรง แต่ท่าทีสยบยอมให้นายสมัคร ขึ้นเป็นรมว.กลาโหม บ่งบอกนัยสำคัญถึงการเจรจาว่าออกมาเป็นเช่นใด ดังนั้นการโยกย้ายนายทหารที่จะมีขึ้นในเดือน เม.ย. เวลานี้จึงยังดูเหมือนไม่มีปัญหา

ส่วนสายการปกครองนั้น วินาทีนี้ ทั่วทุกหนแห่งลือหึ่งไปด้วยกระแสข่าวการสั่งเด้ง โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ไม่รับประกันว่า จะมีการโยกย้ายฟ้าผ่าหรือไม่ ขณะที่มีกระแสข่าวผู้ว่าฯ เชียงราย ถูกสั่งเชือด และเตรียมโยกย้าย นายพงศ์โพยม วาศภูติ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พ้นจากตำแหน่ง สัญญาณนี้บรรดาผู้ว่าฯ ที่ทำตัวเป็นอุปสรรคต่อการหวนคืนอำนาจของขั้วทักษิณเมื่อคราวเลือกตั้งที่ผ่านมา เตรียมเก็บข้าวของได้

ไม่เพียงแต่ข้าราชการสายปกครองเท่านั้นที่ร้อนๆ หนาวๆ ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็เตรียมการโยกย้าย “เพื่อความเหมาะสม” ด้วยเช่นกัน โดยจะปรับเปลี่ยนตำแหน่งในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ขณะนี้กระแสข่าวจะมีการโยกย้ายนายวีรศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงฯ และนายกิตติ วสีนนท์ ทูตไทยประจำกรุงลอนดอน ซึ่งรายหลังนี้อาจเป็นเพราะผลงานการรับใช้อดีตผู้นำฯ ระหว่างพำนักที่กรุงลอนดอนไม่เป็นที่ประทับใจ

ส่วนฟากกระทรวงการคลัง ดูเหมือนว่า ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าฯแบงก์ชาติ จะอยู่ในบัญชีด้วย ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็ว แม้ว่ารายนี้เหตุผลหลักเป็นเพราะผลงานการสกัดค่าบาทที่ไม่ได้ผลมากกว่าก็ตาม

นอกเหนือจากการสับเปลี่ยนโยกย้ายข้าราชการเพื่อวางรากฐานอำนาจระบอบทักษิณอีกครั้ง เครื่องมือสำคัญที่จะสร้างความชอบธรรมให้กับทุกการกระทำ และสร้างความนิยมต่อประชาชนก็คือ สื่อ ด้วยเหตุนี้ การโยกย้ายผู้คุมสื่อและควบคุมแทรกแซงสื่อให้เป็นกระบอกเสียงสำคัญจึงต้องเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนไปพร้อมกัน

ทันทีที่ อดีตนายกฯ เหยียบผืนแผ่นดินไทย เมื่อวันที่ 28 ก.พ.นายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ให้การต้อนรับด้วยการสั่งเด้งนายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ ดูแลงานสถานีโทรทัศน์อาเซียนที่จะเปิดขึ้นมาใหม่ และให้นายเผชิญ ขำโพธิ์ รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ รักษาการแทน

การสั่งย้ายอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ที่ได้รับแต่งตั้งในยุครัฐประหาร เป็นเรื่องที่ไม่อยู่นอกเหนือความคาดหมายแม้ว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน นายจักรภพ จะยืนยันว่าไม่คิดจะย้ายอธิบดีคนดังกล่าว แต่ความจริงแล้ว นายจักรภพ เปลือยความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะควบคุมแทรกแซงสื่อตั้งแต่วินาทีแรกที่มีอำนาจ ภายใต้คำพูดสวยหรูว่าต้องการ “จัดระเบียบสื่อ” โดยเฉพาะสื่อของรัฐ และเน้นไปย้ำพร้อมๆ กับนายสมัคร สุนทรเวช ว่า เป้าหมายคือ ช่อง 11 ที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมประชาสัมพันธ์ หน่วยงานที่มีขอบเขตอำนาจควบคุมดูแลสื่ออย่างกว้างขวางอีกด้วย

การเข้ามาจัดการสื่อของนายจักรภพ นอกจากจะมีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลหุ่นเชิดที่ต้องการเร่งพลิกฟื้นอำนาจให้กับระบอบทักษิณแล้ว ยังเป็นการใช้อำนาจปิดปากสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและอดีตผู้นำอีกด้วย กรณีการสั่งถอด “มุมมองของเจิมศักดิ์” ของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ซึ่งเคยออกอากาศในช่วงเวลา 08.00-09.00 น.เป็นประจำทุกวันจันทร์-ศุกร์ ทางคลื่นวิทยุ วิสดอมเรดิโอ 105 เมกะเฮิรตช์ กรมประชาสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา เป็นเพียงหนังตัวอย่างนำร่องการเข้าควบคุมแทรกแซงสื่อซ้ำรอยยุคทักษิณครองเมือง

ไม่เพียงแต่การสั่งย้ายเพื่อสนองงานการเมืองเท่านั้น ในแง่ของการแสวงหาผลประโยชน์ ก็มีการโยกย้ายคนขัดขวาง ดังกรณีที่คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 26 ก.พ. ตามที่นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.กระทรวงสาธารณสุข (ส.ธ.) เสนอย้ายนพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) ผู้ที่มีบทบาทในการประกาศซีแอล ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ แล้วให้ นพ.ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมการแพทย์ มาเป็นเลขาฯ อย. ทั้งที่ นพ.ชาตรี อยู่ระหว่างถูกสอบวินัยร้ายแรงกรณีการจัดซื้อจัดจ้างคอมพิวเตอร์มูลค่า 900 ล้านบาท เป็นเพียงจุดเริ่ม

นอกจากนพ.ศิริวัฒน์ แล้ว เป้าหมายต่อไป คือ นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานคณะกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม (อภ.)

กล่าวสำหรับขุมทรัพย์ที่รัฐบาลหุ่นเชิดและอดีตซากไทยรักไทยจ้องตาเป็นมันก็คือ ตำแหน่งในบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจชั้นดี เช่น ทอท. ทีโอที, กสท ฯลฯ ซึ่งสัปดาห์นี้ นายมั่น พัทธโนทัย รมว.กระทรวงไอซีที กล่าวว่าจะได้รายชื่อบอร์ด ทีโอทีชุดใหม่ ส่วนบอร์ด กสท ได้รายชื่อครบแล้ว มีนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ เป็นประธาน ขณะนี้กำลังตรวจสอบคุณสมบัติ

สำหรับโครงการขนาดใหญ่ที่รอให้บอร์ดใหม่ทั้งทีโอทีและกสท พิจารณา คือ โครงการโทรศัพท์มือถือ 3จี โครงการบอร์ดแบนด์ ไอพี เน็ตเวิร์ก ของทีโอที โครงการขยายเครือข่ายสื่อสัญญาณด้วยเทคโนโลยี ASON และโครงการด้านการสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงของกสท รวมกันแล้วมากกว่าหมื่นล้านบาท

สิ่งที่คนในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นห่วงกันมากคือการกลับมามีอิทธิพลของเวนเดอร์สัญชาติจีนอย่าง ‘หัวเว่ย’ อีกครั้งเนื่องจากในช่วงระบอบทักษิณ ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจทั้ง 2 แห่งต่างสนองนโยบาย ประเคนงานให้หัวเว่ย อย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของผู้บริหารรัฐวิสหากิจในอดีตที่น่าจะได้รับความไว้วางใจอีกครั้งพร้อมกับการคืนชีพหัวเว่ยในฟากทีโอที อาจมีชื่อของ นายวาสุกรี กล้าไพรี นายสุวิทย์ สัตยารักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ทีโอที ส่วนด้าน กสท ชื่อของนายพิศาล จอโภชาอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ก็อาจเหนียวแน่นในตำแหน่งต่อไป

”บรรยากาศทางการเมืองในขณะนี้เริ่มส่อเค้าคล้ายๆ กับการเมืองยุคระบอบทักษิณเรืองอำนาจ มีการใช้อำนาจอย่างก้าวร้าว เอื้อประโยชน์พวกพ้องและเครือญาติ แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โยกย้ายข้าราชการโดยขาดหลักธรรมาภิบาลอย่างเห็นได้ชัด สถานการณ์แบบนี้กำลังนำสังคมการเมืองไทยไปสู่จุดวิกฤติอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะการเผชิญหน้า ซึ่งสวนทางกับนโยบายปรองดองสมานฉันท์ของรัฐบาล และสุดท้ายอาจกลายเป็นเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหารอีกครั้ง ความเปราะบางทางการเมืองในขณะนี้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด เพราะรัฐบาลใช้อำนาจแบบบดบี้ฝ่ายตรงกันข้ามและกวาดต้อนให้สยบยอม ไม่ว่าจะเป็นสื่อหรือข้าราชการประจำ

“ผ่านไปยังไม่ทัน 1 เดือนพอ ไม่น่าชื่อว่าแกนนำพันธมิตรฯ จะถูกกดดันเรียกร้องจากมวลชนมากที่เดียวเพื่อให้เคลื่อนไหวอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งๆ ที่แกนนำได้เคยยุติบทบาทไปแล้ว และเคารพผลการเลือกตั้ง และที่ผ่านมาไม่โต้ตอบใดๆ ต่อพฤติการณ์ของรัฐบาล เช่น การจัดตั้งรัฐบาล การแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีประวัติด่างพร้อย หรือมีบริวารออกมายั่วยุกล่าวหาท้าทายตลอดเวลา ซึ่งพันธมิตรฯ ก็ยอมรับได้ แม้ต้องกล้ำกลืนก็ตาม เพราะเป็นรัฐบาลที่มาตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ การประชุม 5 แกนนำในวันพุธที่ 5 มี.ค. หากจะมีการเคลื่อนไหวใดๆ ก็ต้องมีคำตอบและคำอธิบายที่ดีให้กับสังคม โดยเฉพาะมวลชนที่เคยต่อสู้กับพันธมิตรมา ซึ่งเท่าที่มีการสอบถามพันธมิตรฯ จังหวัดต่างๆ โดยทั่วไปพร้อมเคลื่อนไหวใหญ่ตลอดเวลา”นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ สรุปทิ้งท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น