และแล้วรัฐบาลใหม่(ชุดปัจจุบัน)ของเราก็ประกาศแนวคิดที่จะผลักดันโครงการขนส่งมวลชน หรือที่หลายๆท่านเรียกว่ารถไฟฟ้าขึ้นมาจนได้ นับได้ว่าเป็นข่าวเด่นที่สนับสนุนกิจกรรมทางด้านอสังหาฯข่าวหนึ่ง
สำหรับต้นปี 2551 ก็ว่าได้ พลันที่ข่าวรถไฟฟ้า 9 เส้นทางออกมา ทั้งนักธุรกิจพัฒนาที่ดิน และไม่ได้พัฒนาที่ดินต่างก็ออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้กันพอสมควร ที่แน่ๆก็คือเกิดการคาดหมายว่า ที่ดินในย่านที่อยู่ในโครงการจะมีราคาเพิ่มขึ้น และยิ่งโครงการขนส่งมวลชนในสายใด มีความชัดเจนมากกว่า ราคาที่ดินในย่านนั้นก็น่าจะปรับตัวขึ้นมากกว่า (ทั้งๆที่จริงๆหลายทำเลมีการปรับตัวในเรื่องของราคาที่ดินอยู่พอควรแล้ว) จึงเกิดคำถามที่ชวนสงสัยว่า ต้นทุนที่ดินที่เพิ่มขึ้นนั้น สะท้อนขีดความสามารถในการลงทุนที่แท้จริงของผู้ประกอบการหรือเปล่า โดยเฉพาะโครงการพัฒนาอสังหาฯประเภทที่อยู่อาศัย สุดท้ายก็ไม่ต่างไปจากหลายๆโครงการที่มีการปั่นราคาโดยนักการเมือง (และบริวาร) ยุคแล้วยุคเล่าจนทำให้ที่ดินมีราคาสูงเกินไปกว่าที่จะพัฒนาโครงการต่างๆได้
ทั้งนี้ ยังไม่นับข่าวลือข่าวลวงอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุวรรณภูมิ หรือ เมืองใหม่นครนายก เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันก็มีข่าวออกมาแล้วว่า ผลของความชัดเจนในโครงการเหล่านี้ ทำให้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นเฉลี่ย 30%-40% อย่างไรก็ดี ยังมีนักลงทุนประเภทพัฒนาที่อยู่อาศัยหลายๆท่าน ยังมีความเห็นที่แตกต่างจากที่กล่าวมาแล้วอยู่บ้าง โดยเชื่อว่าการมีรถไฟฟ้าผ่านโครงการที่อยู่อาศัย อาจจะไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจกับผู้บริโภคมากนัก โดยเชื่อว่าระบบรถไฟฟ้าเป็นปัจจัยรองที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจ เหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์กันในรายละเอียดว่าในความเป็นจริงแล้ว แต่ละเส้นทางที่เป็นคิดจากท่านนายกรัฐมนตรีจะเป็นจริงเป็นจังมากน้อยเพียงไร อย่างไรก็ดี ผู้เขียนก็ยังมีความเชื่อและมั่นใจว่ายังไงๆ ราคาที่ดินก็ต้องปรับตัวสูงขึ้น หากบริเวณนั้นๆมีรถไฟฟ้าผ่านหรือเฉียดเข้าไปในย่านเหล่านั้น
สำหรับเส้นทางรถไฟฟ้าทั้ง 9 เส้นทาง ถ้าจะว่าไปแล้วสายที่เป็นสีสรรของวงการและเชื่อว่าจะมีผลต่อตลาดอสังหาฯในอนาคตคงไม่พ้นเส้นทางสายสีม่วง (บางใหญ่-ดาวคะนอง) ระยะทางประมาณ 35 กิโลเมตร ซึ่งสายนี้ เป็นสายที่เชื่อมจากกรุงเทพตอนเหนือกับกรุงเทพตอนใต้ และคาดว่าจะใช้เส้นทางลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงใกล้สะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ด้วยเส้นทางที่ผ่านจุดที่พักอาศัยไม่ว่าจะเป็นย่านบางบัวทอง บางซื่อ บางกระบือ ศรีย่าน ผ่านมายังย่านส่วนราชการเก่าและกลางใจเมืองในช่วงบางลำภู ไปจนถึงย่านที่อยู่อาศัยของฝั่งธนบุรี และที่สำคัญโครงการนี้ในส่วนต้นก็ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในชุดที่แล้วไปแล้ว
นอกจากนี้ สายที่น่าสนใจและคาดว่าจะกระทบต่อราคาอสังหาฯในอนาคตอีกเส้นทางหนึ่งก็คือ สายศาลายา-มีนบุรี ซึ่งเป็นการรวมสายสีแดง น้ำตาล และส้มมาเชื่อมต่อกัน นับเป็นเส้นทางที่ยาวที่สุดในบรรดา 9 เส้นทางที่ว่านี้ คือประมาณ 51 กิโลเมตร และเป็นการเชื่อมผ่านกรุงเทพตะวันออกไปยังกรุงเทพตะวันตกที่ผ่านย่านที่อยู่อาศัยทั้งย่านมีนบุรีและพุทธมณฑล ก็นับได้ว่าน่าจะทำให้ตลาดอสังหาฯในย่านเหล่านี้คึกคักขึ้นมาได้ไม่น้อย และที่เป็นความจริงแท้แน่นอนก็คือ ผลประโยชน์จากการเพิ่มราคาที่ดินอันเนื่องจากโครงการเหล่านี้ คงไม่พ้นมือของนักการเมืองไทยทั้งที่ถูกเว้นวรรคและไม่เว้นวรรคเป็นแน่แท้ ดังนั้นหากท่านไม่แน่จริงก็ไม่ควรแห่ตามไปซื้อที่ดินในย่านเหล่านี้ โดยที่ท่านคิดว่ามันปรับตัวเกินไปกว่าความเป็นไปได้ที่จะคุ้มทุนต่อการขึ้นโครงการ
โดยนายไพรัช มณฑาพันธุ์
กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท 15 ที่ปรึกษาธุรกิจ จำกัด
E-Mail ; pairat.m@fifteenbiz.com
สำหรับต้นปี 2551 ก็ว่าได้ พลันที่ข่าวรถไฟฟ้า 9 เส้นทางออกมา ทั้งนักธุรกิจพัฒนาที่ดิน และไม่ได้พัฒนาที่ดินต่างก็ออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้กันพอสมควร ที่แน่ๆก็คือเกิดการคาดหมายว่า ที่ดินในย่านที่อยู่ในโครงการจะมีราคาเพิ่มขึ้น และยิ่งโครงการขนส่งมวลชนในสายใด มีความชัดเจนมากกว่า ราคาที่ดินในย่านนั้นก็น่าจะปรับตัวขึ้นมากกว่า (ทั้งๆที่จริงๆหลายทำเลมีการปรับตัวในเรื่องของราคาที่ดินอยู่พอควรแล้ว) จึงเกิดคำถามที่ชวนสงสัยว่า ต้นทุนที่ดินที่เพิ่มขึ้นนั้น สะท้อนขีดความสามารถในการลงทุนที่แท้จริงของผู้ประกอบการหรือเปล่า โดยเฉพาะโครงการพัฒนาอสังหาฯประเภทที่อยู่อาศัย สุดท้ายก็ไม่ต่างไปจากหลายๆโครงการที่มีการปั่นราคาโดยนักการเมือง (และบริวาร) ยุคแล้วยุคเล่าจนทำให้ที่ดินมีราคาสูงเกินไปกว่าที่จะพัฒนาโครงการต่างๆได้
ทั้งนี้ ยังไม่นับข่าวลือข่าวลวงอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุวรรณภูมิ หรือ เมืองใหม่นครนายก เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันก็มีข่าวออกมาแล้วว่า ผลของความชัดเจนในโครงการเหล่านี้ ทำให้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นเฉลี่ย 30%-40% อย่างไรก็ดี ยังมีนักลงทุนประเภทพัฒนาที่อยู่อาศัยหลายๆท่าน ยังมีความเห็นที่แตกต่างจากที่กล่าวมาแล้วอยู่บ้าง โดยเชื่อว่าการมีรถไฟฟ้าผ่านโครงการที่อยู่อาศัย อาจจะไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจกับผู้บริโภคมากนัก โดยเชื่อว่าระบบรถไฟฟ้าเป็นปัจจัยรองที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจ เหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์กันในรายละเอียดว่าในความเป็นจริงแล้ว แต่ละเส้นทางที่เป็นคิดจากท่านนายกรัฐมนตรีจะเป็นจริงเป็นจังมากน้อยเพียงไร อย่างไรก็ดี ผู้เขียนก็ยังมีความเชื่อและมั่นใจว่ายังไงๆ ราคาที่ดินก็ต้องปรับตัวสูงขึ้น หากบริเวณนั้นๆมีรถไฟฟ้าผ่านหรือเฉียดเข้าไปในย่านเหล่านั้น
สำหรับเส้นทางรถไฟฟ้าทั้ง 9 เส้นทาง ถ้าจะว่าไปแล้วสายที่เป็นสีสรรของวงการและเชื่อว่าจะมีผลต่อตลาดอสังหาฯในอนาคตคงไม่พ้นเส้นทางสายสีม่วง (บางใหญ่-ดาวคะนอง) ระยะทางประมาณ 35 กิโลเมตร ซึ่งสายนี้ เป็นสายที่เชื่อมจากกรุงเทพตอนเหนือกับกรุงเทพตอนใต้ และคาดว่าจะใช้เส้นทางลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงใกล้สะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ด้วยเส้นทางที่ผ่านจุดที่พักอาศัยไม่ว่าจะเป็นย่านบางบัวทอง บางซื่อ บางกระบือ ศรีย่าน ผ่านมายังย่านส่วนราชการเก่าและกลางใจเมืองในช่วงบางลำภู ไปจนถึงย่านที่อยู่อาศัยของฝั่งธนบุรี และที่สำคัญโครงการนี้ในส่วนต้นก็ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในชุดที่แล้วไปแล้ว
นอกจากนี้ สายที่น่าสนใจและคาดว่าจะกระทบต่อราคาอสังหาฯในอนาคตอีกเส้นทางหนึ่งก็คือ สายศาลายา-มีนบุรี ซึ่งเป็นการรวมสายสีแดง น้ำตาล และส้มมาเชื่อมต่อกัน นับเป็นเส้นทางที่ยาวที่สุดในบรรดา 9 เส้นทางที่ว่านี้ คือประมาณ 51 กิโลเมตร และเป็นการเชื่อมผ่านกรุงเทพตะวันออกไปยังกรุงเทพตะวันตกที่ผ่านย่านที่อยู่อาศัยทั้งย่านมีนบุรีและพุทธมณฑล ก็นับได้ว่าน่าจะทำให้ตลาดอสังหาฯในย่านเหล่านี้คึกคักขึ้นมาได้ไม่น้อย และที่เป็นความจริงแท้แน่นอนก็คือ ผลประโยชน์จากการเพิ่มราคาที่ดินอันเนื่องจากโครงการเหล่านี้ คงไม่พ้นมือของนักการเมืองไทยทั้งที่ถูกเว้นวรรคและไม่เว้นวรรคเป็นแน่แท้ ดังนั้นหากท่านไม่แน่จริงก็ไม่ควรแห่ตามไปซื้อที่ดินในย่านเหล่านี้ โดยที่ท่านคิดว่ามันปรับตัวเกินไปกว่าความเป็นไปได้ที่จะคุ้มทุนต่อการขึ้นโครงการ
โดยนายไพรัช มณฑาพันธุ์
กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท 15 ที่ปรึกษาธุรกิจ จำกัด
E-Mail ; pairat.m@fifteenbiz.com
