ผู้จัดการรายวัน-"พาณิชย์"ไม่สนโลตัส เตรียมออกสัญญามาตรฐานข้าวถุง หลังกล่อมยักษ์ค้าปลีกรายอื่นให้ความร่วมมือสำเร็จ เตรียมจัดระเบียบการเรียกเก็บค่าแรกเข้า ค่ารีเบต ค่าส่งเสริมการขายอื่นๆ ใหม่ จากเดิมที่ยักษ์ค้าปลีกเรียกเก็บแพงสุดโหดตามใจชอบ คาดประกาศใช้ได้เร็วๆ นี้
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ได้หารือกับร้านค้าปลีกรายใหญ่ คือ คาร์ฟูร์ แมคโคร บิ๊กซี และเซเว่น อิเลฟเว่น เกี่ยวกับการที่กรมฯ จะออกระเบียบเงื่อนไขในการทำสัญญาการค้าอย่างเป็นธรรมสำหรับข้าวถุง (สัญญามาตรฐาน) ซึ่งทางร้านค้าปลีกที่ได้มาหารือครั้งนี้ ได้ยอมรับและเห็นด้วยที่จะให้มีการทำสัญญามาตรฐาน ซึ่งหลังจากนี้ กรมฯ จะไปจัดทำสัญญามาตรฐาน และจะหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ประกอบการข้าวถุง และร้านค้าปลีกอีกครั้ง ก่อนที่จะนำมาบังคับใช้
ทั้งนี้ ประเด็นหลักที่ได้มีการหารือกัน ก็คือ การคิดค่าธรรมเนียมแรกเข้า (เอนทราน ฟี) จะต้องเป็นไปตามความเป็นจริง ให้สอดคล้องกับจำนวนสาขา และต้องให้ระยะเวลาในการขายสินค้าไม่น้อยกว่า 1 ปี ยกเว้นมีปัญหาด้านยอดขาย แต่จะต้องมีการแจ้งล่วงหน้า หากจะมีการนำสินค้าออก ค่าส่วนลดเมื่อทำยอดขายตามเป้าหมาย (รีเบต) จะต้องมีอัตราที่ชัดเจน ยกเว้นหากทำยอดขายเกินจากที่กำหนด สามารถเรียกเก็บเพิ่มเติมได้ ค่าส่งเสริมการขายอื่นๆ ให้คิดตามรายการสินค้าที่นำไปส่งเสริมการขายจริง ไม่ใช่คิดเหมารวม ส่วนระยะเวลาในการจ่ายเงิน จะต้องไม่เกิน 30 วัน นานสุดไม่ควรเกิน 45 วัน
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการหารือครั้งนี้ เทสโก้ โลตัส ไม่ได้เข้าร่วมประชุม เพราะเป็นผู้คัดค้านการทำเอ็มโอยูข้าวถุงมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นร้านค้าปลีกรายใหญ่รายเดียว ที่มีปัญหากับผู้ประกอบการข้าวถุง โดยที่ผ่านมา ผู้ประกอบการข้าวถุง ได้ร้องเรียนว่าโลตัส มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ แพงมาก โดยเรียกเก็บค่าแรกเข้า 50,000-500,000 บาทต่อสินค้า ค่ารีเบต 1-6% และยังมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมอื่นๆ เช่น ค่าเมล์ สูงถึง 800,000 บาทต่อสินค้า ให้ขายสินค้าได้เพียง 3 เดือน ถ้ายอดไม่เดิน ก็เอาออก รวมทั้งมีการประวิงการชำระเงิน
แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการข้าวถุง กล่าวว่า ได้เสนอให้กรมการค้าภายในพิจารณานำหลักเกณฑ์ไปบรรจุในร่างเอ็มโอยู โดยค่าธรรมเนียมแรกเข้า สำหรับห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ (ไฮเปอร์มารเก็ต และแคช แอนด์ แคร์รี่ ) ไม่เกิน 3,000 บาทต่อ 1 สินค้าต่อสาขา ส่วนห้างซูเปอร์มาร์เก็ต เก็บไม่เกิน 500 บาทต่อ 1 สินค้าต่อสาขา และร้านสะดวกซื้อไม่เกิน 100 บาทต่อ 1 สินค้าต่อสาขา และต้องให้เวลาทดลองขายสินค้าไม่น้อยกว่า 1 ปี จากเดิม 3 เดือน ค่ารีเบต ให้เก็บไม่เกิน 1% ของยอดขายสุทธิ ระยะเวลาการชำระเงินไม่เกิน 30 วัน ส่วนค่าส่งเสริมการขายอื่นๆ เช่น ค่าเมล์ ค่าตั้งกองสินค้า ขอให้เก็บไม่เกิน 0.2% ของยอดขายสุทธิ ค่าเปิดสาขาใหม่ ค่าปรับปรุงห้าง ไม่เกิน 0.5% ต่อปี
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ได้หารือกับร้านค้าปลีกรายใหญ่ คือ คาร์ฟูร์ แมคโคร บิ๊กซี และเซเว่น อิเลฟเว่น เกี่ยวกับการที่กรมฯ จะออกระเบียบเงื่อนไขในการทำสัญญาการค้าอย่างเป็นธรรมสำหรับข้าวถุง (สัญญามาตรฐาน) ซึ่งทางร้านค้าปลีกที่ได้มาหารือครั้งนี้ ได้ยอมรับและเห็นด้วยที่จะให้มีการทำสัญญามาตรฐาน ซึ่งหลังจากนี้ กรมฯ จะไปจัดทำสัญญามาตรฐาน และจะหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ประกอบการข้าวถุง และร้านค้าปลีกอีกครั้ง ก่อนที่จะนำมาบังคับใช้
ทั้งนี้ ประเด็นหลักที่ได้มีการหารือกัน ก็คือ การคิดค่าธรรมเนียมแรกเข้า (เอนทราน ฟี) จะต้องเป็นไปตามความเป็นจริง ให้สอดคล้องกับจำนวนสาขา และต้องให้ระยะเวลาในการขายสินค้าไม่น้อยกว่า 1 ปี ยกเว้นมีปัญหาด้านยอดขาย แต่จะต้องมีการแจ้งล่วงหน้า หากจะมีการนำสินค้าออก ค่าส่วนลดเมื่อทำยอดขายตามเป้าหมาย (รีเบต) จะต้องมีอัตราที่ชัดเจน ยกเว้นหากทำยอดขายเกินจากที่กำหนด สามารถเรียกเก็บเพิ่มเติมได้ ค่าส่งเสริมการขายอื่นๆ ให้คิดตามรายการสินค้าที่นำไปส่งเสริมการขายจริง ไม่ใช่คิดเหมารวม ส่วนระยะเวลาในการจ่ายเงิน จะต้องไม่เกิน 30 วัน นานสุดไม่ควรเกิน 45 วัน
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการหารือครั้งนี้ เทสโก้ โลตัส ไม่ได้เข้าร่วมประชุม เพราะเป็นผู้คัดค้านการทำเอ็มโอยูข้าวถุงมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นร้านค้าปลีกรายใหญ่รายเดียว ที่มีปัญหากับผู้ประกอบการข้าวถุง โดยที่ผ่านมา ผู้ประกอบการข้าวถุง ได้ร้องเรียนว่าโลตัส มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ แพงมาก โดยเรียกเก็บค่าแรกเข้า 50,000-500,000 บาทต่อสินค้า ค่ารีเบต 1-6% และยังมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมอื่นๆ เช่น ค่าเมล์ สูงถึง 800,000 บาทต่อสินค้า ให้ขายสินค้าได้เพียง 3 เดือน ถ้ายอดไม่เดิน ก็เอาออก รวมทั้งมีการประวิงการชำระเงิน
แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการข้าวถุง กล่าวว่า ได้เสนอให้กรมการค้าภายในพิจารณานำหลักเกณฑ์ไปบรรจุในร่างเอ็มโอยู โดยค่าธรรมเนียมแรกเข้า สำหรับห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ (ไฮเปอร์มารเก็ต และแคช แอนด์ แคร์รี่ ) ไม่เกิน 3,000 บาทต่อ 1 สินค้าต่อสาขา ส่วนห้างซูเปอร์มาร์เก็ต เก็บไม่เกิน 500 บาทต่อ 1 สินค้าต่อสาขา และร้านสะดวกซื้อไม่เกิน 100 บาทต่อ 1 สินค้าต่อสาขา และต้องให้เวลาทดลองขายสินค้าไม่น้อยกว่า 1 ปี จากเดิม 3 เดือน ค่ารีเบต ให้เก็บไม่เกิน 1% ของยอดขายสุทธิ ระยะเวลาการชำระเงินไม่เกิน 30 วัน ส่วนค่าส่งเสริมการขายอื่นๆ เช่น ค่าเมล์ ค่าตั้งกองสินค้า ขอให้เก็บไม่เกิน 0.2% ของยอดขายสุทธิ ค่าเปิดสาขาใหม่ ค่าปรับปรุงห้าง ไม่เกิน 0.5% ต่อปี