นักวิชาการเตือน ครม.เร่งเข็นกฎหมายค้าปลีกเร่งพิจารณา ควรเปิดโอกาสทุกฝ่ายมีส่วนร่วม แนะไม่ควรปิดกั้นการลงทุนต่างชาติ คุมเข้มสุดโต่ง แนะคำนึงถึงประโยชน์ผู้บริโภค-เปิดให้มีการแข่งขันเสรี
รศ.ดร.ไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์ นักวิจัยสถาบันวิจัยสังคมและเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ให้ความเห็นถึงกรณีที่กระทรวงพาณิชย์ เตรียมเร่งผลักดันกฎหมายค้าปลีกเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ว่า เรื่องนี้ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และควรเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณา ที่สำคัญ กฎหมายที่ออกมาไม่ควรปิดกั้นการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ หรือเป็นกฎหมายที่คุมเข้มสุดโต่ง จนทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นการลงทุน
นอกจากนี้ การพิจารณากฎหมายค้าปลีก ควรคำนึงถึงผลประโยชน์ผู้บริโภคด้วย เพราะหากเกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม สุดท้ายผู้ที่ได้รับประโยชน์ คือ ผู้บริโภค ไม่ใช่ปกป้องเพียงผลประโยชน์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือปิดกั้นการลงทุนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
รศ.ดร.ไพโรจน์ เสนอแนะว่า กรอบของกฎหมายอาจมีการเพิ่มเติมในรายละเอียดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายผังเมือง อาจมีการกำหนดว่าพื้นที่ไหนสามารถขยายสาขาได้ หรือไม่สามารถขยายสาขาเพิ่มเติมได้ ซึ่งอาจดูที่ความหนาแน่นของจำนวนประชากร ถ้าหากมีประชากรหนาแน่นก็อาจอนุญาตให้ขยายสาขาได้ เนื่องจากไม่กระทบกับความสามารถในการซื้อ
“เราคงต้องมาพิจารณาดูว่า พื้นที่ไหนสามารถขยายสาขา หรือเปิดใหม่ ได้หรือไม่ โดยคำนึงถึงจำนวนประชากรประกอบด้วย เพราะจำนวนประชากร มีส่วนสัมพันธ์กับดีมานด์ ถ้าประชากรน้อย ก็ไม่ควรให้ขยาย เพราะจะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการโชวห่วยในท้องถิ่น” รศ.ดร.ไพโรจน์ กล่าว
รศ.ดร.ไพโรจน์ กล่าวว่า ตามหลักการแล้วรัฐบาลควรเปิดให้มีการแข่งขันอย่างเสรี โดยที่มีกรอบกติการองรับ เพื่อป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบกับคนในประเทศ แต่ก็ไม่ใช่การปิดกั้นการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ และที่สำคัญ ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของผู้บริโภค
สำหรับการเปิดให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม จะทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อสินค้า ยกตัวอย่างเช่น เซเว่น อิเลฟเว่น ที่มีสาขากระจายอยู่เป็นจำนวนมาก ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภค
รศ.ดร.ไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์ นักวิจัยสถาบันวิจัยสังคมและเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ให้ความเห็นถึงกรณีที่กระทรวงพาณิชย์ เตรียมเร่งผลักดันกฎหมายค้าปลีกเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ว่า เรื่องนี้ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และควรเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณา ที่สำคัญ กฎหมายที่ออกมาไม่ควรปิดกั้นการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ หรือเป็นกฎหมายที่คุมเข้มสุดโต่ง จนทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นการลงทุน
นอกจากนี้ การพิจารณากฎหมายค้าปลีก ควรคำนึงถึงผลประโยชน์ผู้บริโภคด้วย เพราะหากเกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม สุดท้ายผู้ที่ได้รับประโยชน์ คือ ผู้บริโภค ไม่ใช่ปกป้องเพียงผลประโยชน์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือปิดกั้นการลงทุนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
รศ.ดร.ไพโรจน์ เสนอแนะว่า กรอบของกฎหมายอาจมีการเพิ่มเติมในรายละเอียดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายผังเมือง อาจมีการกำหนดว่าพื้นที่ไหนสามารถขยายสาขาได้ หรือไม่สามารถขยายสาขาเพิ่มเติมได้ ซึ่งอาจดูที่ความหนาแน่นของจำนวนประชากร ถ้าหากมีประชากรหนาแน่นก็อาจอนุญาตให้ขยายสาขาได้ เนื่องจากไม่กระทบกับความสามารถในการซื้อ
“เราคงต้องมาพิจารณาดูว่า พื้นที่ไหนสามารถขยายสาขา หรือเปิดใหม่ ได้หรือไม่ โดยคำนึงถึงจำนวนประชากรประกอบด้วย เพราะจำนวนประชากร มีส่วนสัมพันธ์กับดีมานด์ ถ้าประชากรน้อย ก็ไม่ควรให้ขยาย เพราะจะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการโชวห่วยในท้องถิ่น” รศ.ดร.ไพโรจน์ กล่าว
รศ.ดร.ไพโรจน์ กล่าวว่า ตามหลักการแล้วรัฐบาลควรเปิดให้มีการแข่งขันอย่างเสรี โดยที่มีกรอบกติการองรับ เพื่อป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบกับคนในประเทศ แต่ก็ไม่ใช่การปิดกั้นการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ และที่สำคัญ ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของผู้บริโภค
สำหรับการเปิดให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม จะทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อสินค้า ยกตัวอย่างเช่น เซเว่น อิเลฟเว่น ที่มีสาขากระจายอยู่เป็นจำนวนมาก ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภค