3 กกต.ถูกโทรฯขู่วางระเบิด หลังแจกใบแดง "ยงยุทธ" ต้องวิ่งประสานตำรวจดูแลความปลอดภัย "อภิชาต" ไม่หวั่นถูกขู่ ยันทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา คาด 4 เดือนศาลฎีกาพิจารณาคดีเสร็จ ปัดมีพลเอกล็อบบี้ให้แจกใบแดง "ทั่นยุทธ" ด้าน "สมชัย" ยันไม่ได้ให้ใบขาว "ยงยุทธ" แต่เสนอให้ดำเนินคดีอาญาฐานแจกเงิน กำนันที่เป็นเจ้าหน้าที่ของข้อหาตัดสินบน ซึ่งมีโทษแรงกว่าเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่าหลังจาก กกต.ลงมติให้ใบแดง นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภา ผู้แทนราษฎร ฐานทุจริตเลือกตั้งที่จ.เชียง- ราย ได้มีการโทรศัพท์ขู่วางระเบิดบ้านของ กกต. 3 ท่านที่มีมติให้ใบแดงนายยงยุทธ เพื่อความปลอดภัยเพราะไม่ทราบข่าวแค่ขู่หรือจะทำจริง กกต.จึงไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ประสานไปยัง สำนักงานตำรวจแห่ง ชาติ (สตช.) ขอให้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลรักษาความปลอดภัยกับ กกต.ทั้ง 5
"เราเองก็ย้ำมาตลอดว่าการพิจารณาเรื่องใดของ กกต.ก็ทำหน้าที่พิจารณา ตามหลักฐานมาตลอดไม่ได้มีธง ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้ง เรื่องของการให้ใบแดง ก็เป็นเพียงความเห็นของ กกต. ที่ว่าเรื่องนี้จะให้ใบเหลืองหรือใบแดงเท่านั้น ซึ่งขั้นตอนต่อไปผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถนำพยานหลักฐานเข้าไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ในศาลฎีกา ที่ถือว่าเป็นศาลสูงสุดของประเทศ และผมเชื่อว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องน่าจะได้รับความเป็นธรรมมากที่สุด การตัดสินของ กกต.ถือว่าทำตามหน้าที่ หากไม่ทำตรงนี้อาจถูกร้องเรียนว่าประพฤติโดยมิชอบและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้"
นายสุทธิพล กล่าวว่าก่อนหน้านี้หน่วยข่าวไม่ได้มีการแจ้งเตือนกกต.ว่าจะมีการลอบทำร้าย แต่มีคนโทรศัพท์เข้ามาที่สายด่วน 1171 โดยขู่ว่าจะวางระเบิด ซึ่งจากนี้คงจำเป็นต้องดูแลรักษาความปลอดภัยไม่เฉพาะแค่ กกต. ทั้ง 3 คน ที่ถูกขู่วางระเบิดบ้านเท่านั้น แต่ต้องดูแลความปลอดภัย กกต.ทั้ง 5 คน
นอกจากนี้ยังได้ประสานทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ให้มาช่วยดูแลรักษาอาคารศรีจุลทรัพย์ที่เป็นที่ตั้งสำนักงานกกต. ด้วย โดยได้เน้นเรื่องความปลอดภัยมาตั้งแต่การเลือกตั้ง แต่คิดว่าขณะนี้พ้นระยะเวลาที่จะมากดดัน ที่ กกต.แล้ว เพราะเรื่องทั้งหมดพ้นขั้นตอนของ กกต.แล้ว
"อภิชาต"ไม่สนถูกขู่วางระเบิด
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.กล่าวว่าการโทรศัพท์ขู่วางระเบิดไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริงจัง และไม่กลัวด้วย เพราะเป็นแค่โทรศัพท์ใครก็โทรฯมาได้ ส่วนตัวก็ไม่คิดจะขอความคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นพิเศษ แต่ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รอง ผบ.ตร.บอกว่าจะส่งตำรวจมาดูแลความปลอดภัยบริเวณบ้านพักให้ กกต.แต่ละคนเป็นระยะๆ และหวังว่าการตัดสินของ กกต.ประชาชนทุกคนจะเข้าใจไม่คิดทำร้ายอะไร กกต.
"ผมไม่กลัวว่าหลังจากตัดสินเรื่องนี้แล้วจะไม่ปลอดภัย เพราะตลอดชีวิต ที่เป็นผู้พิพากษามา 33 ปี ต้องตัดสินคดีจำนวนมาก พิพากษาประหารชีวิตไปก็มาก ดังนั้นเราต้องทำใจให้นิ่ง หากเราทำไปตามตรงและเป็นหน้าที่ของเรา เราก็ทำเพื่อความ ถูกต้อง โดยคงไม่ต้องขอความคุ้มครองจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพราะหาก กกต.ไม่มีความตรงไปตรงมาและกกต.สามารถกำหนดได้ สั่งได้ และเบี่ยงเบนได้ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมีองค์กรนี้ และภายหลังตัดสินสำนวนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจอะไร แต่เป็นหน้าที่ที่ก็ต้องทำ ซึ่งหลังจากนี้ฝ่ายสืบสวนสอบสวนฯและเป็นผู้รับผิดชอบทำสำนวนส่งศาลฎีกาฯ "
นายอภิชาต ยังกล่าวถึงมติกรณีของนายยงยุทธว่า มติที่ถูกต้องก็คือ 3 ต่อ 1 ต่อ 1 น่าจะถูกต้อง เพราะนางสดศรี สัตยธรรม งดออกเสียง โดยเรื่องนี้ก็ถือเป็นเหตุผล ส่วนตัวของแต่ละคน ดังนั้นจึงถือว่านางสดศรี ไม่ได้บอกว่า จะให้หรือไม่ให้มติอย่างใด อย่างหนึ่ง เนื่องจากต้องการให้รวมสำนวนที่ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีต ผอ.สำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ร้องเรียนเป็นสำนวนเดียวกัน ส่วนกกต.อีก 4 คนก็ได้ลงมติในเรื่องนี้
"ในการประชุมได้หารือกันว่า ควรสอบพยานปากสุดท้ายตามที่นายยงยุทธ ร้องขอหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดก็เห็นว่า เรื่องนี้ยืดเยื้อมามากและไม่จำเป็นต้องสอบ เพราะพยานหลักฐานชัดเจนอยู่แล้ว อีกทั้ง กกต.ได้ให้โอกาสสอบสวนเพิ่มเติมหลายครั้งแล้ว ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้สอบสวนเพิ่มเติมพยานปากสุดท้าย"
ยืนยันพิจารณาด้วยความเป็นกลาง
ส่วนที่ไม่ได้สอบพยานเพิ่มเติมตามที่ร้องขอก็ไม่คิดว่าจะเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ นายยงยุทธนำไปต่อสู้ในชั้นศาลได้ เพราะว่า พยานหลักฐานเพียงพอแล้ว จึงไม่จำเป็น ต้องสอบเพิ่มอีก และเวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว เนื่องจากเราต้องทำในเวลาที่จำกัด ดังนั้นเมื่อเรื่องไปถึงศาลอาจจะไปเพิ่มเติมในชั้นนั้นได้ แต่ต้องขออนุญาตศาล
"ผมมองด้วยสายตาของคนที่เคยเป็นศาลที่เคยวินิจฉัยพยานหลักฐานต่าง ๆ ยืนยันว่าทำด้วยความเป็นกลาง ตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว เพราะในชั้นกกต.เราไม่ได้ พิจารณาหลักฐานจนปราศจากข้อสงสัยเหมือนคดีอาญาที่พิจารณาในศาล ตามกฎหมายให้อำนาจ กกต.เพียงมีหลักฐาน อันควรเชื่อได้ว่า ดังนั้นจึงเป็นเรื่อง ที่จะไปพิสูจน์ในชั้นศาล เพราะในสำนวนได้บอกว่า มีการให้เงินแต่พยานจริง จนทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างไม่บริสุทธิ์ เที่ยงธรรม อีกทั้งยังปรากฎอีกว่า กำนัน ที่เป็นพยานมีการยืนยันอยู่หลายคนว่าได้รับเงินคนละ 2 หมื่นบาทจริงซึ่งยืนยันว่า จากพยานหลักฐานที่ปรากฎทุกอย่าง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ โดยกกต.ได้ทำ อย่างตรงไปตรงมาและไม่รู้สึกกดดัน อีกทั้งไม่มีใครมากำหนดหรือมาวางแผนให้กกต. ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ทำไปตามหน้าที่ที่เราต้องทำไป และไม่อยากให้เกิด ปัญหา อยากจะให้ทุกอย่างมันสงบเรียบร้อย"
นายอภิชาต กล่าวว่าไม่สามารถยืนยันได้ว่าหลักฐานต่างๆ ในสำนวน เป็นเท็จหรือไม่ แต่จากที่ได้พิจารณาตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ เห็นว่าควรเพิกถอน สิทธิเลือกตั้ง ส่วนวีซีดีนั้นดูแล้วก็เห็นว่าไม่จำเป็นต้องนำมาพิจารณา เพราะนายยงยุทธ ก็รับอยู่แล้วว่า มีการเดินทางมาพบกันจริง ดังนั้นเราจึงวินิจฉัยว่ามีการพบจริง และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือพยานบุคคล โดยหลังจากนี้กกต.ก็คงต้องเรียบเรียงคำวินิจฉัยกลางเพื่อส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา ส่วนการดำเนินคดีอาญาฐานนายยงยุทธ ติดสินบนเจ้าหน้าที่นั้นเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนฯ จะเป็นผู้ดำเนินการต่อไป
คาดศาลฎีกาพิจารณา 4 เดือน
"ในฐานะที่เคยเป็นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งในยุคบุกเบิก ศาลจะทำงาน ให้เร็ว คาดว่าน่าจะใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 4 เดือน ซึ่งภายหลังที่ศาลฎีการับคำร้องของกกต.นายยงยุทธจะต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ในทันที หากศาลยืนยันว่า เห็นว่าให้ใบแดงปกติ กกต.ก็จะต้องตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นสอบสวนว่าพรรค มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ เพราะจากที่ กกต.พิจารณาเบื้องต้นไม่ได้มองว่าเรื่องนี้จะต้องยุบพรรคหรือไม่ เรามองเพียงจำเป็นต้องเพิกถอนสิทธิหรือไม่"
นายอภิชาต แสดงความมั่นใจการทำงานของฝ่ายสืบสวนสอบสวน แม้นายสมชัย ที่ดูแลงานด้านนี้จะมีมติยกคำร้อง เพราะเมื่อทำแล้ว ก็ต้องส่งมาให้กกต. ตรวจ พิจารณาอีก จึงต้องทำให้ดี แต่ถ้านายยงยุทธขอให้นายสมชัยไปเป็นพยานในศาล เนื่องจากเป็นผู้ลงมติให้ใบขาวนั้นตนเห็นว่า หากจะอ้างกับศาลก็สามารถอ้างได้ทั้งนั้น แต่อยู่ที่ว่าศาลจะเห็นสมควรให้เรียกไปเป็นพยานหรือไม่ แต่ตามหลักแล้วสามารถอ้างได้
ปัดมีพลเอกมล็อบบี้ให้แจกใบแดง
ส่วนที่นายยงยุทธ ระบุว่าหลังการเลือกตั้งมีนายทหารยศพลเอก มาล็อบบนี้ให้ กกต.แจกใบแดงนายยงยุทธ และ ผู้สมัครพรรคไทยรักไทย ในการเลือกตั้ง นายอภิชาต ยืนยันว่าไม่มีการล็อบบี้เลย แม้กระทั่งข่าวที่ว่า ขอให้กกต.ลาออกเพื่อเกิดผล เปลี่ยนแปลงการเลือกตั้งนั้นก็ไม่เคยมีใครสั่ง ยืนยันว่าไม่มีใครสั่งผมได้ หรือมาพูดว่าให้ตนทำอย่างนั้น เรื่องนี้ยืนยันได้
นายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวว่าไม่มีใครโทรฯ ไปข่มขู่ที่บ้าน อย่างไรก็ตามการจะให้ตำรวจไปรักษาความปลอดภัยอย่างไรถ้าคนมันจะโดนก็ต้องโดน คนที่ขู่แสดงว่าสไม่ทำจริง ไม่ได้กลัว แต่อย่ามาทำกันเลยดีกว่า
ส่วนที่นายยงยุทธ ระบุว่ามีการจัดฉากเกิดขึ้นในกรณีทุจริต นายสุเมธ กล่าวว่า ไม่มีแน่นอน แต่กกต.ได้พิจารณาสำนวนฟังเฉพาะพยานเท่านั้น จะไปมีการจัดฉากได้อย่างไร เมือถามว่า นายยงยุทธ อ้างว่ามีนายพล 2 คนมาล็อบบี้กกต. ให้แจกใบแดงนายยงยุทธ ที่ผ่านมามีมาพบหรือไม่ นายสุเมธ กล่าวว่า จะมีพลเอกที่ไหน มีแค่ พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน อดีตประธานคมช. และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี มา 2 ครั้ง ผลัดกันมาคนละครั้งเท่านั้น
"ทั้ง 2 คนมีมาเยี่ยมตอนแรกๆ เท่านั้นเอง ไม่เคยมีใครมาล็อบบี้สำนวน นายยงยุทธ ด้วยซ้ำ และไม่เคยมีใครมากล่าวหาว่านายยงยุทธ ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ และโดยมารยาทแล้ว ก็ไม่ควรจะมีใครมาพูดกับเราแบบนั้น ยืนยันว่าไม่มีใครมาพูดแน่"
"สมชัย" ปฎิเสธยกคำร้อง"ยงยุทธ"
นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต. ด้านสืบสวน สอบสวนและวินิจฉัย ปฏิเสธ กรณีถูกระบุเป็นผู้ที่มีมติยกคำร้องกรณีทุจริตเลือกตั้งจ.เชียงราย ของนายยงยุทธ โดยกล่าวตนไม่ได้ให้ใบขาว นายยงยุทธ แต่ลงมติให้ไปแจ้งความดำเนินคดีอาญากับนายยงยุทธ และกำนันที่ถูกอ้างว่าเป็นผู้ที่รับเงิน ไม่ใช่เรื่องการให้ใบขาว หรือยกสำนวน เนื่องจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้านถือเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ กรณีนายยงยุทธ์จึงถือเป็นการติดสินบนเจ้าพนักงานของรัฐ ซึ่งเป็นความผิดทางอาญามากกว่า ซึ่งมีโทษมากกว่าความผิดเรื่องซื้อสิทธิ์ขายเสียง ต้องแจ้งความดำเนินคดีนายยงยุทธและกำนัน
"การคุยกันที่โรงแรมเอสซีปาร์คเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ยังเป็นเรื่องโต้เถียงกัน แต่ผมเห็นว่าพยานฝ่ายผู้ร้องคัดค้านน่าจะมีน้ำหนักมากกว่า เพราะช่วงเลือกตั้งจะไม่คุยเรื่องการเมืองมันไม่น่าจะเป็นไปได้ ผมคิดว่าการไปพบกันต้องมีค่าใช้จ่ายและต้องมีการให้เงิน เพราะการมาแบบนี้จะให้ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งไปและกลับมันออกจะผิดวิสัย และเชื่อว่านายยงยุทธ์ต้องมีส่วนรู้เห็นด้วย"
นายสมชัย กล่าวว่าแม้จะมีการพบปะกันจริงคุยเรื่องการเมืองจริงและจ่ายเงินจริง แต่ต้องปรับดูข้อกฎหมาย ตามมาตรา 53 ระบุว่าต้องมีการจูงใจผู้มีสิทธิ์ ให้ไปลงคะแนน แต่ตนเห็นว่า ณ ขณะนั้นยังไม่มีการลงสมัคร ยังไม่รู้ว่าได้หมายเลขอะไรหรือจะลงสมัครได้หรือไม่ บรรดากำนันเหล่านี้ล้วนแต่เป็นหัวคะแนนเก่าของ นายยงยุทธ์ หลังจากมีกฤษฎีกา 2-3วันแล้ว จึงมองว่าเหมือนเป็นการตั้งทีม เพื่อให้ไปช่วยหาเสียง อาจถือเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการหาเสียงเลือกตั้ง ก็เหมือน กรณีของคนอื่นๆ ที่มีทีมงานหาเสียง จึงน่าจะยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการแจกเงินซื้อเสียง
"การจูงใจเป็นการให้เงินจูงใจผู้มีสิทธิ์ไปเลือกเพื่อเห็นแก่เงินที่เอาไปให้ แต่การตั้งทีมไปทำงานเช่นไปแจกแผ่นพับโฆษณาหาเสียง ซึ่งปกติการหาเสียง ไปหาคนเดียวไม่ได้ ต้องมีทีมงาน แต่กรณีนี้กำนันเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็มีความผิดฐาน ทำให้เขาวางตัวไม่เป็นกลางหรือให้สินบนเจ้าพนักงาน ซึ่งมีโทษหนักยิ่งกว่าการซื้อสิทธิ์ ขายเสียง กำนันก็มีความผิดฐานรับสินบน ตนจึงเสนอให้ฟ้องเอาผิดทางอาญากับนายยงยุทธ์และกลุ่มกำนันดังกล่าว แต่เมื่อ กกต. 3 เสียงเห็นอีกอย่าง ตามหลักมติการแจ้งความดำเนินคดีต้องใช้เสียงส่วนใหญ่ แต่กรณีนี้เป็นความผิดอาญา แผ่นดินใครก็ได้ที่จะไปแจ้วความดำเนินคดี"
ผู้สื่อข่าวถามว่าในเมื่อให้แจ้งความดำเนินคดีทางอาญาแล้ว ถือว่านายยงยุทธ เข้าข่ายทำผิดกฎหมายเลือกตั้งและควรได้ใบแดงหรือไม่ นายสมชัย กล่าวว่า เพราะไม่เข้าข่ายมาตรา 53 พ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส.และส.ว. เรื่องการซื้อเสียง เพราะไม่ถึงขั้น นมีเจตนาจูงใจให้เขาลงคะแนน และที่สำคัญคือในระหว่างที่นายงยุทธกระทำผิด ยังไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง จึงไม่เข้าข่ายเรื่องการซื้อเสียง แม้พ.ร.บ.การเลือกตั้งจะประกาศใช้แล้วก็ตาม
สำหรับขั้นตอนต่อไป กกต.ต้องส่งคำวินิจฉัยไปที่ศาลฎีกาภายใน 2 สัปดาห์ หากศาลวินิจฉัยยืนตามมติ กกต. ก็นำไปสู่การตั้งคณะกรรมการสอบยุบพรรคพลังประชาชนตามมา
"อัศวิน"จัดตำรวจดูแลกกต.
พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. กล่าวว่ายังไม่ได้รับรายงานมีคนโทรฯ ขู่วางระเบิด 3 กกต. แต่หากตรวจสอบมีการโทรฯข่มขู่จริงก็ต้องดำเนินการติดตามจับกุมมาดำเนินคดีให้ได้ ตนจะ สั่งการไปยังตำรวจท้องทีี่่ที่เป็นบ้านพักของ 3 กกต.ดังกล่าว ไปดูแลคุ้มครองให้ความปลอดภัยอย่างเข้มงวด 24 ชั่วโมง
"ไม่ต้องเป็นห่วงในจุดนี้ตำรวจพร้อมดูแลอยู่แล้ว หากไม่เพียงพอก็สามารถ ร้องขอกำลังเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา เชื่อว่า คนที่ทำอย่างนั้นต้องเป็นพวกปั่นป่วน พวกโรคจิตอย่างแน่นอนคนดีๆ คงไม่มีใครไปทำเช่นนั้น"
"สุเทพ"ยันคดี"ยงยุทธ"ไม่เกี่ยวปชป.
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคปชป.ยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เกี่ยวข้องกับกรณีของนายยงยุทธ และคนร้องเรียนก็เป็นคนของพรรคอื่น แม้การทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนก็เป็นเรื่องของฝ่ายอื่นไม่เกี่ยวกับพรรคแต่ที่มักจะมีชื่อ นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนั้นก็เพราะนายถาวร เป็นคนที่ติดตามเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว
"ผมไม่เชื่อว่ามีใครจะไปจ้องล้มพรรคพลังประชาชน เพราะทุกอย่างเป็นไปตาม ข้อกฎหมายกรณีเช่นนี้พรรคพลังประชาชนจะถูกยุบได้ก็ต่อเมื่อศาลมีคำพิพากษา ว่า นายยงยุทธผิดจริงสมควรถูกใบแดงจริงตามมติของ กกต. ส่วนกกต.จะเห็นชอบตั้งอนุกรรมการ ไปสอบ สวนว่าสมควรจะฟ้องศาล ให้ยุบพรรคพลังประชาชน หรือไม่ก็มีกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว ดั้งนั้นการที่จะไปโยงว่าใครบงการ ไม่ได้"
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่าหลังจาก กกต.ลงมติให้ใบแดง นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภา ผู้แทนราษฎร ฐานทุจริตเลือกตั้งที่จ.เชียง- ราย ได้มีการโทรศัพท์ขู่วางระเบิดบ้านของ กกต. 3 ท่านที่มีมติให้ใบแดงนายยงยุทธ เพื่อความปลอดภัยเพราะไม่ทราบข่าวแค่ขู่หรือจะทำจริง กกต.จึงไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ประสานไปยัง สำนักงานตำรวจแห่ง ชาติ (สตช.) ขอให้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลรักษาความปลอดภัยกับ กกต.ทั้ง 5
"เราเองก็ย้ำมาตลอดว่าการพิจารณาเรื่องใดของ กกต.ก็ทำหน้าที่พิจารณา ตามหลักฐานมาตลอดไม่ได้มีธง ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้ง เรื่องของการให้ใบแดง ก็เป็นเพียงความเห็นของ กกต. ที่ว่าเรื่องนี้จะให้ใบเหลืองหรือใบแดงเท่านั้น ซึ่งขั้นตอนต่อไปผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถนำพยานหลักฐานเข้าไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ในศาลฎีกา ที่ถือว่าเป็นศาลสูงสุดของประเทศ และผมเชื่อว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องน่าจะได้รับความเป็นธรรมมากที่สุด การตัดสินของ กกต.ถือว่าทำตามหน้าที่ หากไม่ทำตรงนี้อาจถูกร้องเรียนว่าประพฤติโดยมิชอบและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้"
นายสุทธิพล กล่าวว่าก่อนหน้านี้หน่วยข่าวไม่ได้มีการแจ้งเตือนกกต.ว่าจะมีการลอบทำร้าย แต่มีคนโทรศัพท์เข้ามาที่สายด่วน 1171 โดยขู่ว่าจะวางระเบิด ซึ่งจากนี้คงจำเป็นต้องดูแลรักษาความปลอดภัยไม่เฉพาะแค่ กกต. ทั้ง 3 คน ที่ถูกขู่วางระเบิดบ้านเท่านั้น แต่ต้องดูแลความปลอดภัย กกต.ทั้ง 5 คน
นอกจากนี้ยังได้ประสานทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ให้มาช่วยดูแลรักษาอาคารศรีจุลทรัพย์ที่เป็นที่ตั้งสำนักงานกกต. ด้วย โดยได้เน้นเรื่องความปลอดภัยมาตั้งแต่การเลือกตั้ง แต่คิดว่าขณะนี้พ้นระยะเวลาที่จะมากดดัน ที่ กกต.แล้ว เพราะเรื่องทั้งหมดพ้นขั้นตอนของ กกต.แล้ว
"อภิชาต"ไม่สนถูกขู่วางระเบิด
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.กล่าวว่าการโทรศัพท์ขู่วางระเบิดไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริงจัง และไม่กลัวด้วย เพราะเป็นแค่โทรศัพท์ใครก็โทรฯมาได้ ส่วนตัวก็ไม่คิดจะขอความคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นพิเศษ แต่ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รอง ผบ.ตร.บอกว่าจะส่งตำรวจมาดูแลความปลอดภัยบริเวณบ้านพักให้ กกต.แต่ละคนเป็นระยะๆ และหวังว่าการตัดสินของ กกต.ประชาชนทุกคนจะเข้าใจไม่คิดทำร้ายอะไร กกต.
"ผมไม่กลัวว่าหลังจากตัดสินเรื่องนี้แล้วจะไม่ปลอดภัย เพราะตลอดชีวิต ที่เป็นผู้พิพากษามา 33 ปี ต้องตัดสินคดีจำนวนมาก พิพากษาประหารชีวิตไปก็มาก ดังนั้นเราต้องทำใจให้นิ่ง หากเราทำไปตามตรงและเป็นหน้าที่ของเรา เราก็ทำเพื่อความ ถูกต้อง โดยคงไม่ต้องขอความคุ้มครองจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพราะหาก กกต.ไม่มีความตรงไปตรงมาและกกต.สามารถกำหนดได้ สั่งได้ และเบี่ยงเบนได้ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมีองค์กรนี้ และภายหลังตัดสินสำนวนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจอะไร แต่เป็นหน้าที่ที่ก็ต้องทำ ซึ่งหลังจากนี้ฝ่ายสืบสวนสอบสวนฯและเป็นผู้รับผิดชอบทำสำนวนส่งศาลฎีกาฯ "
นายอภิชาต ยังกล่าวถึงมติกรณีของนายยงยุทธว่า มติที่ถูกต้องก็คือ 3 ต่อ 1 ต่อ 1 น่าจะถูกต้อง เพราะนางสดศรี สัตยธรรม งดออกเสียง โดยเรื่องนี้ก็ถือเป็นเหตุผล ส่วนตัวของแต่ละคน ดังนั้นจึงถือว่านางสดศรี ไม่ได้บอกว่า จะให้หรือไม่ให้มติอย่างใด อย่างหนึ่ง เนื่องจากต้องการให้รวมสำนวนที่ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีต ผอ.สำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ร้องเรียนเป็นสำนวนเดียวกัน ส่วนกกต.อีก 4 คนก็ได้ลงมติในเรื่องนี้
"ในการประชุมได้หารือกันว่า ควรสอบพยานปากสุดท้ายตามที่นายยงยุทธ ร้องขอหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดก็เห็นว่า เรื่องนี้ยืดเยื้อมามากและไม่จำเป็นต้องสอบ เพราะพยานหลักฐานชัดเจนอยู่แล้ว อีกทั้ง กกต.ได้ให้โอกาสสอบสวนเพิ่มเติมหลายครั้งแล้ว ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้สอบสวนเพิ่มเติมพยานปากสุดท้าย"
ยืนยันพิจารณาด้วยความเป็นกลาง
ส่วนที่ไม่ได้สอบพยานเพิ่มเติมตามที่ร้องขอก็ไม่คิดว่าจะเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ นายยงยุทธนำไปต่อสู้ในชั้นศาลได้ เพราะว่า พยานหลักฐานเพียงพอแล้ว จึงไม่จำเป็น ต้องสอบเพิ่มอีก และเวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว เนื่องจากเราต้องทำในเวลาที่จำกัด ดังนั้นเมื่อเรื่องไปถึงศาลอาจจะไปเพิ่มเติมในชั้นนั้นได้ แต่ต้องขออนุญาตศาล
"ผมมองด้วยสายตาของคนที่เคยเป็นศาลที่เคยวินิจฉัยพยานหลักฐานต่าง ๆ ยืนยันว่าทำด้วยความเป็นกลาง ตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว เพราะในชั้นกกต.เราไม่ได้ พิจารณาหลักฐานจนปราศจากข้อสงสัยเหมือนคดีอาญาที่พิจารณาในศาล ตามกฎหมายให้อำนาจ กกต.เพียงมีหลักฐาน อันควรเชื่อได้ว่า ดังนั้นจึงเป็นเรื่อง ที่จะไปพิสูจน์ในชั้นศาล เพราะในสำนวนได้บอกว่า มีการให้เงินแต่พยานจริง จนทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างไม่บริสุทธิ์ เที่ยงธรรม อีกทั้งยังปรากฎอีกว่า กำนัน ที่เป็นพยานมีการยืนยันอยู่หลายคนว่าได้รับเงินคนละ 2 หมื่นบาทจริงซึ่งยืนยันว่า จากพยานหลักฐานที่ปรากฎทุกอย่าง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ โดยกกต.ได้ทำ อย่างตรงไปตรงมาและไม่รู้สึกกดดัน อีกทั้งไม่มีใครมากำหนดหรือมาวางแผนให้กกต. ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ทำไปตามหน้าที่ที่เราต้องทำไป และไม่อยากให้เกิด ปัญหา อยากจะให้ทุกอย่างมันสงบเรียบร้อย"
นายอภิชาต กล่าวว่าไม่สามารถยืนยันได้ว่าหลักฐานต่างๆ ในสำนวน เป็นเท็จหรือไม่ แต่จากที่ได้พิจารณาตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ เห็นว่าควรเพิกถอน สิทธิเลือกตั้ง ส่วนวีซีดีนั้นดูแล้วก็เห็นว่าไม่จำเป็นต้องนำมาพิจารณา เพราะนายยงยุทธ ก็รับอยู่แล้วว่า มีการเดินทางมาพบกันจริง ดังนั้นเราจึงวินิจฉัยว่ามีการพบจริง และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือพยานบุคคล โดยหลังจากนี้กกต.ก็คงต้องเรียบเรียงคำวินิจฉัยกลางเพื่อส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา ส่วนการดำเนินคดีอาญาฐานนายยงยุทธ ติดสินบนเจ้าหน้าที่นั้นเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนฯ จะเป็นผู้ดำเนินการต่อไป
คาดศาลฎีกาพิจารณา 4 เดือน
"ในฐานะที่เคยเป็นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งในยุคบุกเบิก ศาลจะทำงาน ให้เร็ว คาดว่าน่าจะใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 4 เดือน ซึ่งภายหลังที่ศาลฎีการับคำร้องของกกต.นายยงยุทธจะต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ในทันที หากศาลยืนยันว่า เห็นว่าให้ใบแดงปกติ กกต.ก็จะต้องตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นสอบสวนว่าพรรค มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ เพราะจากที่ กกต.พิจารณาเบื้องต้นไม่ได้มองว่าเรื่องนี้จะต้องยุบพรรคหรือไม่ เรามองเพียงจำเป็นต้องเพิกถอนสิทธิหรือไม่"
นายอภิชาต แสดงความมั่นใจการทำงานของฝ่ายสืบสวนสอบสวน แม้นายสมชัย ที่ดูแลงานด้านนี้จะมีมติยกคำร้อง เพราะเมื่อทำแล้ว ก็ต้องส่งมาให้กกต. ตรวจ พิจารณาอีก จึงต้องทำให้ดี แต่ถ้านายยงยุทธขอให้นายสมชัยไปเป็นพยานในศาล เนื่องจากเป็นผู้ลงมติให้ใบขาวนั้นตนเห็นว่า หากจะอ้างกับศาลก็สามารถอ้างได้ทั้งนั้น แต่อยู่ที่ว่าศาลจะเห็นสมควรให้เรียกไปเป็นพยานหรือไม่ แต่ตามหลักแล้วสามารถอ้างได้
ปัดมีพลเอกมล็อบบี้ให้แจกใบแดง
ส่วนที่นายยงยุทธ ระบุว่าหลังการเลือกตั้งมีนายทหารยศพลเอก มาล็อบบนี้ให้ กกต.แจกใบแดงนายยงยุทธ และ ผู้สมัครพรรคไทยรักไทย ในการเลือกตั้ง นายอภิชาต ยืนยันว่าไม่มีการล็อบบี้เลย แม้กระทั่งข่าวที่ว่า ขอให้กกต.ลาออกเพื่อเกิดผล เปลี่ยนแปลงการเลือกตั้งนั้นก็ไม่เคยมีใครสั่ง ยืนยันว่าไม่มีใครสั่งผมได้ หรือมาพูดว่าให้ตนทำอย่างนั้น เรื่องนี้ยืนยันได้
นายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวว่าไม่มีใครโทรฯ ไปข่มขู่ที่บ้าน อย่างไรก็ตามการจะให้ตำรวจไปรักษาความปลอดภัยอย่างไรถ้าคนมันจะโดนก็ต้องโดน คนที่ขู่แสดงว่าสไม่ทำจริง ไม่ได้กลัว แต่อย่ามาทำกันเลยดีกว่า
ส่วนที่นายยงยุทธ ระบุว่ามีการจัดฉากเกิดขึ้นในกรณีทุจริต นายสุเมธ กล่าวว่า ไม่มีแน่นอน แต่กกต.ได้พิจารณาสำนวนฟังเฉพาะพยานเท่านั้น จะไปมีการจัดฉากได้อย่างไร เมือถามว่า นายยงยุทธ อ้างว่ามีนายพล 2 คนมาล็อบบี้กกต. ให้แจกใบแดงนายยงยุทธ ที่ผ่านมามีมาพบหรือไม่ นายสุเมธ กล่าวว่า จะมีพลเอกที่ไหน มีแค่ พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน อดีตประธานคมช. และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี มา 2 ครั้ง ผลัดกันมาคนละครั้งเท่านั้น
"ทั้ง 2 คนมีมาเยี่ยมตอนแรกๆ เท่านั้นเอง ไม่เคยมีใครมาล็อบบี้สำนวน นายยงยุทธ ด้วยซ้ำ และไม่เคยมีใครมากล่าวหาว่านายยงยุทธ ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ และโดยมารยาทแล้ว ก็ไม่ควรจะมีใครมาพูดกับเราแบบนั้น ยืนยันว่าไม่มีใครมาพูดแน่"
"สมชัย" ปฎิเสธยกคำร้อง"ยงยุทธ"
นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต. ด้านสืบสวน สอบสวนและวินิจฉัย ปฏิเสธ กรณีถูกระบุเป็นผู้ที่มีมติยกคำร้องกรณีทุจริตเลือกตั้งจ.เชียงราย ของนายยงยุทธ โดยกล่าวตนไม่ได้ให้ใบขาว นายยงยุทธ แต่ลงมติให้ไปแจ้งความดำเนินคดีอาญากับนายยงยุทธ และกำนันที่ถูกอ้างว่าเป็นผู้ที่รับเงิน ไม่ใช่เรื่องการให้ใบขาว หรือยกสำนวน เนื่องจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้านถือเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ กรณีนายยงยุทธ์จึงถือเป็นการติดสินบนเจ้าพนักงานของรัฐ ซึ่งเป็นความผิดทางอาญามากกว่า ซึ่งมีโทษมากกว่าความผิดเรื่องซื้อสิทธิ์ขายเสียง ต้องแจ้งความดำเนินคดีนายยงยุทธและกำนัน
"การคุยกันที่โรงแรมเอสซีปาร์คเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ยังเป็นเรื่องโต้เถียงกัน แต่ผมเห็นว่าพยานฝ่ายผู้ร้องคัดค้านน่าจะมีน้ำหนักมากกว่า เพราะช่วงเลือกตั้งจะไม่คุยเรื่องการเมืองมันไม่น่าจะเป็นไปได้ ผมคิดว่าการไปพบกันต้องมีค่าใช้จ่ายและต้องมีการให้เงิน เพราะการมาแบบนี้จะให้ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งไปและกลับมันออกจะผิดวิสัย และเชื่อว่านายยงยุทธ์ต้องมีส่วนรู้เห็นด้วย"
นายสมชัย กล่าวว่าแม้จะมีการพบปะกันจริงคุยเรื่องการเมืองจริงและจ่ายเงินจริง แต่ต้องปรับดูข้อกฎหมาย ตามมาตรา 53 ระบุว่าต้องมีการจูงใจผู้มีสิทธิ์ ให้ไปลงคะแนน แต่ตนเห็นว่า ณ ขณะนั้นยังไม่มีการลงสมัคร ยังไม่รู้ว่าได้หมายเลขอะไรหรือจะลงสมัครได้หรือไม่ บรรดากำนันเหล่านี้ล้วนแต่เป็นหัวคะแนนเก่าของ นายยงยุทธ์ หลังจากมีกฤษฎีกา 2-3วันแล้ว จึงมองว่าเหมือนเป็นการตั้งทีม เพื่อให้ไปช่วยหาเสียง อาจถือเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการหาเสียงเลือกตั้ง ก็เหมือน กรณีของคนอื่นๆ ที่มีทีมงานหาเสียง จึงน่าจะยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการแจกเงินซื้อเสียง
"การจูงใจเป็นการให้เงินจูงใจผู้มีสิทธิ์ไปเลือกเพื่อเห็นแก่เงินที่เอาไปให้ แต่การตั้งทีมไปทำงานเช่นไปแจกแผ่นพับโฆษณาหาเสียง ซึ่งปกติการหาเสียง ไปหาคนเดียวไม่ได้ ต้องมีทีมงาน แต่กรณีนี้กำนันเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็มีความผิดฐาน ทำให้เขาวางตัวไม่เป็นกลางหรือให้สินบนเจ้าพนักงาน ซึ่งมีโทษหนักยิ่งกว่าการซื้อสิทธิ์ ขายเสียง กำนันก็มีความผิดฐานรับสินบน ตนจึงเสนอให้ฟ้องเอาผิดทางอาญากับนายยงยุทธ์และกลุ่มกำนันดังกล่าว แต่เมื่อ กกต. 3 เสียงเห็นอีกอย่าง ตามหลักมติการแจ้งความดำเนินคดีต้องใช้เสียงส่วนใหญ่ แต่กรณีนี้เป็นความผิดอาญา แผ่นดินใครก็ได้ที่จะไปแจ้วความดำเนินคดี"
ผู้สื่อข่าวถามว่าในเมื่อให้แจ้งความดำเนินคดีทางอาญาแล้ว ถือว่านายยงยุทธ เข้าข่ายทำผิดกฎหมายเลือกตั้งและควรได้ใบแดงหรือไม่ นายสมชัย กล่าวว่า เพราะไม่เข้าข่ายมาตรา 53 พ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส.และส.ว. เรื่องการซื้อเสียง เพราะไม่ถึงขั้น นมีเจตนาจูงใจให้เขาลงคะแนน และที่สำคัญคือในระหว่างที่นายงยุทธกระทำผิด ยังไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง จึงไม่เข้าข่ายเรื่องการซื้อเสียง แม้พ.ร.บ.การเลือกตั้งจะประกาศใช้แล้วก็ตาม
สำหรับขั้นตอนต่อไป กกต.ต้องส่งคำวินิจฉัยไปที่ศาลฎีกาภายใน 2 สัปดาห์ หากศาลวินิจฉัยยืนตามมติ กกต. ก็นำไปสู่การตั้งคณะกรรมการสอบยุบพรรคพลังประชาชนตามมา
"อัศวิน"จัดตำรวจดูแลกกต.
พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. กล่าวว่ายังไม่ได้รับรายงานมีคนโทรฯ ขู่วางระเบิด 3 กกต. แต่หากตรวจสอบมีการโทรฯข่มขู่จริงก็ต้องดำเนินการติดตามจับกุมมาดำเนินคดีให้ได้ ตนจะ สั่งการไปยังตำรวจท้องทีี่่ที่เป็นบ้านพักของ 3 กกต.ดังกล่าว ไปดูแลคุ้มครองให้ความปลอดภัยอย่างเข้มงวด 24 ชั่วโมง
"ไม่ต้องเป็นห่วงในจุดนี้ตำรวจพร้อมดูแลอยู่แล้ว หากไม่เพียงพอก็สามารถ ร้องขอกำลังเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา เชื่อว่า คนที่ทำอย่างนั้นต้องเป็นพวกปั่นป่วน พวกโรคจิตอย่างแน่นอนคนดีๆ คงไม่มีใครไปทำเช่นนั้น"
"สุเทพ"ยันคดี"ยงยุทธ"ไม่เกี่ยวปชป.
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคปชป.ยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เกี่ยวข้องกับกรณีของนายยงยุทธ และคนร้องเรียนก็เป็นคนของพรรคอื่น แม้การทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนก็เป็นเรื่องของฝ่ายอื่นไม่เกี่ยวกับพรรคแต่ที่มักจะมีชื่อ นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนั้นก็เพราะนายถาวร เป็นคนที่ติดตามเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว
"ผมไม่เชื่อว่ามีใครจะไปจ้องล้มพรรคพลังประชาชน เพราะทุกอย่างเป็นไปตาม ข้อกฎหมายกรณีเช่นนี้พรรคพลังประชาชนจะถูกยุบได้ก็ต่อเมื่อศาลมีคำพิพากษา ว่า นายยงยุทธผิดจริงสมควรถูกใบแดงจริงตามมติของ กกต. ส่วนกกต.จะเห็นชอบตั้งอนุกรรมการ ไปสอบ สวนว่าสมควรจะฟ้องศาล ให้ยุบพรรคพลังประชาชน หรือไม่ก็มีกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว ดั้งนั้นการที่จะไปโยงว่าใครบงการ ไม่ได้"