ผู้จัดการรายวัน - โอสถสภา ชูแนวรบป้องกันทุกด้าน อัด 4 กลยุทธ์ สกัดไทยเบฟโค่นบัลลังก์ชูกำลัง จ่อคิวปั้นแบรนด์ใหม่หรือส่งไฟท์ติ้งแบรนด์รักษาตำแน่งผู้นำ พร้อมจัดโครงสร้างราคาใหม่ ลั่นโอกาสคาราบาวแดง-แรงเยอร์ หั่นราคา 7-8 บาท หืดขึ้นคอ สิ้นปีรายได้รวมโอสถสภาโต 5% กวาด 1.9 หมื่นล้านบาท
นายธัชรินทร์ โอสถานุเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังเอ็ม -150 ลิโพ และฉลาม เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ซื้อกิจการเครื่องดื่มชูกำลังแรงเยอร์ และขณะเดียวกันกำลังจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของเครื่องดื่มชูกำลังคาราบาวแดง บริษัทฯคงต้องดูท่าทีของคู่แข่งไปสักระยะหนึ่งว่าจะเป็นอย่างไร
สำหรับแนวทางทำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังของบริษัทฯในปีนี้เน้นการป้องกันตัวเองทุกด้าน เพื่อรักษาความเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 55% จากตลาดรวมมูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น เอ็ม-150 มีแชร์ประมาณ 45% ลิโพ 10%
โดยชู 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.การออกสินค้าใหม่หรือนำสินค้าแบรนด์ฉลามมาเป็นไฟท์ติ้งแบรนด์สกัดคู่แข่ง 2.การจัดโครงสร้างราคาใหม่ 3.การสร้างความสัมพันธ์ร้านค้าและลูกค้าให้มากขึ้น และ 4.การใช้พรีเซ็นเตอร์คนรุ่นใหม่ เพื่อขยายฐานกลุ่มวัยรุ่น โดยใช้งบตลาด 300 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การกระจายสินค้าของบริษัทฯก็ไม่ได้ด้อยกว่าแต่อย่างใด
นายธัชรินทร์กล่าวต่อว่า การที่บริษัทไทยเบฟฯเข้ามาซื้อทั้งสองยี่ห้อนั้นยังไม่รู้ถึงวัตถุประสงค์ในครั้งนี้แน่ชัดว่าต้องการอะไร แต่เชื่อว่ากลยุทธ์การตัดราคาเหลือ 7-8 บาท ไม่มีอย่างแน่นอน เพราะด้วยต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ราคาที่ขาย 10 บาท ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว โดยขณะนี้สิ่งที่บริษัทฯให้ความสำคัญและเป็นเรื่องเร่งด่วน คือ การลดต้นทุนค่าขนส่ง ซึ่งในระหว่างนี้กำลังศึกษาการนำก๊าซเอ็นจีวีมาใช้ทดแทน แต่ต้องรอความพร้อมของบริษัทฯก่อน
นอกจากนี้บริษัทฯยังได้ปรับโครงสร้างการกระจายสินค้าใหม่ จากเดิมที่เป็นผู้จัดจำหน่ายเองมาเป็น 3 ระบบ คือ จัดจำหน่ายเอง, บริษัทรับจัดจำหน่าย และตัวแทนจำหน่ายมารับสินค้าเอง
ล่าสุดยังมีการปรับระบบการทำงานขององค์ให้มีความทันสมัยมากขึ้น และได้ปรับเปลี่ยนโลโก้ใหม่ ซึ่งเป็นการปรับในรอบ 117 ปี เพื่อให้ภาพลักษณ์โอสถสภามีความทันสมัย หลังจากที่ผ่านมาภาพลักษณ์สายตาผู้บริโภคมองว่าเป็นองค์กรเก่าแก่
สำหรับแนวโน้มตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง 1.4 หมื่นล้านบาท ปีนี้มีอัตราการเติบโต 2-3% หลังจากที่บริษัทไทยเบฟฯ เข้ามาทำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังคาดว่าจะสร้างสีสันและความคึกคัก แต่ล่าสุดคณะกรรมการอาหารและยาหรืออย. ห้ามเครื่องดื่มชูกำลังจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายโดยการชิงโชค ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2551 นี้เป็นต้นไป คาดว่าจะส่งผลให้สภาพตลาดจะลดความร้อนแรงลงและมีอัตราการเติบโตลดลง สำหรับกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังของบริษัทโอสถสภาตั้งเป้ามีรายได้เติบโต 5%
ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ ซึ่งปัจจุบันมีด้วยกัน 2 แบรนด์ ได้แก่ แฮงก์เครื่องดื่มแก้อาการเมาค้าง และเปปทีน ปีนี้จะมีการรีลอนช์ใหม่แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ส่วนเปปทีนวางงบการตลาด 60 ล้านบาท มุ่งเน้นให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ในการทำตลาด เพื่อสร้างรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งหลังจากเปิดตัวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
นายธัชรินทร์กล่าวว่า ผลประกอบการปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ 1.9 หมื่นล้านบาท มีอัตราการเติบโต 5% จากในปีที่ผ่านมีรายได้ 1.8 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังและฟังก์ชันนัลดริงก์ 45% กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 35% และกลุ่มยา 5% และรายได้จากการส่งออก 15%
นายธัชรินทร์ โอสถานุเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังเอ็ม -150 ลิโพ และฉลาม เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ซื้อกิจการเครื่องดื่มชูกำลังแรงเยอร์ และขณะเดียวกันกำลังจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของเครื่องดื่มชูกำลังคาราบาวแดง บริษัทฯคงต้องดูท่าทีของคู่แข่งไปสักระยะหนึ่งว่าจะเป็นอย่างไร
สำหรับแนวทางทำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังของบริษัทฯในปีนี้เน้นการป้องกันตัวเองทุกด้าน เพื่อรักษาความเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 55% จากตลาดรวมมูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น เอ็ม-150 มีแชร์ประมาณ 45% ลิโพ 10%
โดยชู 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.การออกสินค้าใหม่หรือนำสินค้าแบรนด์ฉลามมาเป็นไฟท์ติ้งแบรนด์สกัดคู่แข่ง 2.การจัดโครงสร้างราคาใหม่ 3.การสร้างความสัมพันธ์ร้านค้าและลูกค้าให้มากขึ้น และ 4.การใช้พรีเซ็นเตอร์คนรุ่นใหม่ เพื่อขยายฐานกลุ่มวัยรุ่น โดยใช้งบตลาด 300 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การกระจายสินค้าของบริษัทฯก็ไม่ได้ด้อยกว่าแต่อย่างใด
นายธัชรินทร์กล่าวต่อว่า การที่บริษัทไทยเบฟฯเข้ามาซื้อทั้งสองยี่ห้อนั้นยังไม่รู้ถึงวัตถุประสงค์ในครั้งนี้แน่ชัดว่าต้องการอะไร แต่เชื่อว่ากลยุทธ์การตัดราคาเหลือ 7-8 บาท ไม่มีอย่างแน่นอน เพราะด้วยต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ราคาที่ขาย 10 บาท ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว โดยขณะนี้สิ่งที่บริษัทฯให้ความสำคัญและเป็นเรื่องเร่งด่วน คือ การลดต้นทุนค่าขนส่ง ซึ่งในระหว่างนี้กำลังศึกษาการนำก๊าซเอ็นจีวีมาใช้ทดแทน แต่ต้องรอความพร้อมของบริษัทฯก่อน
นอกจากนี้บริษัทฯยังได้ปรับโครงสร้างการกระจายสินค้าใหม่ จากเดิมที่เป็นผู้จัดจำหน่ายเองมาเป็น 3 ระบบ คือ จัดจำหน่ายเอง, บริษัทรับจัดจำหน่าย และตัวแทนจำหน่ายมารับสินค้าเอง
ล่าสุดยังมีการปรับระบบการทำงานขององค์ให้มีความทันสมัยมากขึ้น และได้ปรับเปลี่ยนโลโก้ใหม่ ซึ่งเป็นการปรับในรอบ 117 ปี เพื่อให้ภาพลักษณ์โอสถสภามีความทันสมัย หลังจากที่ผ่านมาภาพลักษณ์สายตาผู้บริโภคมองว่าเป็นองค์กรเก่าแก่
สำหรับแนวโน้มตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง 1.4 หมื่นล้านบาท ปีนี้มีอัตราการเติบโต 2-3% หลังจากที่บริษัทไทยเบฟฯ เข้ามาทำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังคาดว่าจะสร้างสีสันและความคึกคัก แต่ล่าสุดคณะกรรมการอาหารและยาหรืออย. ห้ามเครื่องดื่มชูกำลังจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายโดยการชิงโชค ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2551 นี้เป็นต้นไป คาดว่าจะส่งผลให้สภาพตลาดจะลดความร้อนแรงลงและมีอัตราการเติบโตลดลง สำหรับกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังของบริษัทโอสถสภาตั้งเป้ามีรายได้เติบโต 5%
ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ ซึ่งปัจจุบันมีด้วยกัน 2 แบรนด์ ได้แก่ แฮงก์เครื่องดื่มแก้อาการเมาค้าง และเปปทีน ปีนี้จะมีการรีลอนช์ใหม่แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ส่วนเปปทีนวางงบการตลาด 60 ล้านบาท มุ่งเน้นให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ในการทำตลาด เพื่อสร้างรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งหลังจากเปิดตัวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
นายธัชรินทร์กล่าวว่า ผลประกอบการปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ 1.9 หมื่นล้านบาท มีอัตราการเติบโต 5% จากในปีที่ผ่านมีรายได้ 1.8 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังและฟังก์ชันนัลดริงก์ 45% กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 35% และกลุ่มยา 5% และรายได้จากการส่งออก 15%