xs
xsm
sm
md
lg

ปรัชญากับการ “โกหก-ปกปิด-บิดเบือน-เชือนเฉย” ยุคสมัคร

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

‘The great enemy of the truth is very often not the lie, deliberate, contrived and dishonest, but the myth, persistent, persuasive and unrealistic’
Truth and Myth: President John F. Kennedy

ศัตรูตัวยงของสัจธรรม ในหลายๆ ครั้ง ก็มิใช่การโกหก ไม่ว่าจะจงใจ หลอกลวง หรือทุจริต แต่มันคือ “ความหลงเชื่อ” ที่ยั่งยืน หนักแน่น น่าเชื่อถือ และไม่จริง

จอห์น เอฟ เคนเนดี้ - อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ท่านผู้อ่านที่เคารพ เวรกรรมอะไรของผมหนอ จึงต้องมานั่งเขียนอยู่อย่างนี้ เรื่อง“โกหก ปกปิด บิดเบือน เชือนเฉย” ในวงการเมือง ผมเขียนมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยุคชาติชาย ยุค รสช. และยุค คมช. หรือก่อนนั้น หัวข้อก็อย่างเดียวกันนี่แหละ

ผมเริ่มช้าไปด้วยซ้ำสำหรับยุคสมัคร และไม่น่าจะต้องซ้ำๆ ซากๆ อีกเลย ถ้าหากสมัครเองไม่ดันไปให้สัมภาษณ์นักข่าวต่างประเทศ ซ้ำยังมาตอกย้ำในสภา และมีสมุนบริวาร เช่น เฉลิม และหมอสุรพงษ์ ออกมาขานรับกันเกรียว จนกระทั่งผู้คนอดรนทนไม่ได้ทยอยกันออกมาชี้หน้าว่า โกหก ปกปิด บิดเบือน แม้กระทั่งคนเดือนตุลา เช่น อดิศร เพียงเกษ ยังเหลืออด เป็นหัวเดียวกระเทียมลีบในพรรคพลังประชาชนที่ออกมาประณาม

ท่านผู้อ่านที่เคารพ หลายท่านคงจะได้ดูรายการของดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ที่สัมภาษณ์อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักประวัติศาสตร์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในคืนวันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้ใน ASTV แล้ว รวมทั้งได้ดูภาพวิดีทัศน์บางส่วนจากสารคดีของนายเทพชัย หย่อง เกี่ยวกับวันที่ 6 ตุลา ตลอดจนข้อมูลที่มาจากการสัมมนาในวันที่ 19 ที่ธรรมศาสตร์ อันเป็นการตอบโต้นายกฯ สมัครและบริวาร โดยแสดงข้อมูลข้อเท็จจริง และภาพของเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่นักศึกษาถูกเข่นฆ่าและเป็นเหยื่อของความโหดร้ายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในวัฒนธรรมไทย

ผมเองมีความรู้และมีข้อมูลเรื่องวันที่ 6 ตุลาคม 2519 พอสมควร เหตุการณ์สำคัญบางอย่างในโลกนี้เป็นประเภทที่ “สื่อไม่ได้รายงาน-นักวิชาการไม่ได้ศึกษา” และ “ผู้ที่ประสบมา” ไม่ต้องการพูด

บุคคลที่จะต้องเป็นเหยื่อสำคัญรายแรกได้ถึงแก่อนิจกรรมไปเสียก่อน และรายที่สองแทบจะเอาชีวิตไม่รอด หากพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ไม่ช่วยเหลือให้หลบหนีออกจากประเทศไทยไปญี่ปุ่นภายในไม่กี่ชั่วโมง พลเอกกฤษณ์ สีวะรา เตือนผมล่วงหน้ามานานทีเดียวเรื่อง 6 ตุลาคม เพียงแต่ว่ากำหนดวันแน่นอนไม่ได้ ส่วนพลโทวิทูรย์ ยะสวัสดิ์ นั้นขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ นักประวัติศาสตร์ควรไปสัมภาษณ์ว่าท่านทั้งสองพูดอะไรกับอาจารย์ป๋วยและผมบ้างในคืนสุดท้ายที่เราจากกั
นที่บ้านพลเอกประจวบ สุนทรางกูร ในซอยพาสนา ถนนเอกมัย

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ความจริงวันนี้ ผมอยากคุยกับท่านผู้อ่านเรื่องปรัชญาและจริยธรรมของนักการเมืองกับการโกหก มากกว่าเรื่องการโกหกของสมัคร สุนทรเวชและบริวาร อีกอย่างหนึ่ง ผมเชื่อเหมือนเคนเนดี้ว่าพิษร้ายและอันตรายของเมืองไทยอยู่ที่ “ความหลงเชื่อ” มากกว่า “การโกหก”

ชะรอยเป้าหมายการพูดของสมัครในสภาวันนั้น จะเป็นเครือข่ายใหญ่ของ “ความหลงเชื่อ” คือบรรดารากหญ้าของพรรคพลังประชาชน ที่ในชีวิตไม่มีโอกาสจะได้อ่าน ได้ยิน หรือได้เห็น สิ่งที่ดร.เจิมศักดิ์ และอาจารย์ชาญวิทย์ นำมาพูด สมัครจึงจงใจจะพูดกับคนเหล่านี้ เพราะเชื่อว่าบุคคลเหล่านี้ยังไงๆ ก็ต้องเชื่อที่สมัครบอกว่าไม่ได้เห็นและไม่ได้ยิน เห็นกับตาแต่ว่าตายคนเดียวเท่านั้น เพราะเขาก็ไม่เคยได้เห็นหรือได้ยินเหมือนกัน เรื่องอะไรจะไปเชื่อฝ่ายค้านหรือคนใส่ร้ายป้ายสี

ทั้ง “ความหลงเชื่อ” และ “การโกหก” ของนักการเมืองนี้เป็นสิ่งที่พวกเราจะต้องช่วยกันกำจัด มิฉะนั้นแล้วเมืองไทยจะพัฒนาหรือแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย การ “โกหก” ของภาครัฐนั้น บางกรณีก็เป็นการโกหกหน้าด้านๆ แต่ส่วนมากจะเป็นการโกหกแบบมีเทคนิค ศ.ดร.สมบัติ จันทรวงศ์ และคณะเคยทำวิจัยส่งมาให้ผมอ่านเล่มหนึ่ง เรื่องการเสนอหรือแสวงหาความจริงในระบบการเมืองไทย ผมจำรายละเอียดไม่ได้แล้ว แต่อยากจะแนะนำให้ท่านที่สนใจไปหาอ่าน

ทั้งๆ ที่การโกหกเป็นข้อห้ามอยู่ในศีลห้าของศาสนาพุทธ อิสลามหรือคริสต์ก็ห้ามเช่นเดียวกัน ในชีวิตสมัคร สุนทรเวชเช่นเดียวกับคนไทยส่วนใหญ่ที่สมาทานศีลห้าไม่รู้กี่พันครั้ง แต่ละคนก็พากันละเว้นโดยจงใจบ้างโดยพลั้งเผลอบ้างไม่รู้กี่พันครั้งเหมือนกัน

ต้องสารภาพก่อนว่า ผมไม่เคยศึกษาปรัชญาหรือจิตวิทยาว่าด้วยการโกหกของคนไทย แต่ผมมีความคุ้นเคยกับการโกหกของผู้มีอำนาจในสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง หากจะมองเผินๆจากภาษาหรือคำพูดที่ใช้กัน สังคมไทยแทบจะเห็นการโกหกเป็นเรื่องธรรมดา จึงมีคำพูดเกร่อกันไปหมดว่า โกหกพกลม โกหกตอแหล โกหกโกไหว้ โกหกลุ่นๆ โกหกดื้อๆ โกหกหน้าด้านๆ เป็นต้น

โกหกครั้งล่าสุดของสมัคร สุนทรเวช นี้ เป็นประเภทใดผมไม่ทราบ และไม่ทราบอีกเหมือนกันว่าลิ้นของสมัครตระหวัดถึงใบหูหรือไม่ ทำไมคนไทยจึงเปรียบเปรยว่านักการเมืองลิ้นต้องตระหวัดถึงใบหูก็ไม่รู้ ดูรูปลักษณ์แล้วสมัครน่าจะเป็นคนลิ้นสั้นมากกว่าลิ้นยาว กฎหมายอิสลามเขาเอาคนลักขโมยไปตัดข้อมือ คนโกหกจะต้องถูกตัดลิ้นหรือเปล่า? แต่ในทางพุทธเขาให้ระวังคนโกหก เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ไม่มีความชั่วอะไรที่คนโกหกจะทำไม่ได้ แปลว่าคนโกหกสามารถทำความชั่วได้ทุกอย่าง

ปรัชญาของตะวันออกทั้งจีนและอินเดีย ก็เน้นจริยธรรมและความซื่อสัตย์ของผู้ปกครองไว้เช่นเดียวกับปรัชญาตะวันตก แต่ปรัชญาตะวันตกตั้งแต่ Nichomacian ethics ของ Aristotle 2,300 ปีกว่ามาแล้ว ยังได้รับการศึกษาต่อเนื่องและเติมเต็มด้วยสารพัดศึกษาด้านรัฐศาสตร์ จริยศาสตร์ และปรัชญาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ในขณะที่ปรัชญาตะวันออกนานๆ จึงจะถูกเอาออกมาปัดฝุ่นสักครั้ง และการศึกษาดังกล่าวในเมืองไทยก็ยังล้าหลังไม่เห็นฝุ่นเขาอยู่เช่นเดิม แม้ว่าจำนวน Ph.D. ของเราจะเพิ่มขึ้นปีละหลายๆ โหลก็ตาม

ผมอยากจะแนะนำสมัคร และพวกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกพริกหยวก พริกขี้หนู? และพริกชี้ฟ้าในพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหลาย (เพราะนักโกหกที่ฉกาจฉกรรจ์จำนวนมากมีอดีตจากพรรคนี้เกือบทั้งสิ้น) ให้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่เขียนในสมัยสงครามเวียดนามชื่อว่า Lying: Moral Choice in Public and Private Life โดย Sissela Bok อาจารย์วิชาปรัชญาและภรรยาของ Direk Bok อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เธอเป็นลูกสาวของ Gunna Myrdal นักเศรษฐศาสตร์โนเบล ที่รอบรู้เรื่องเอเชียและอเมริกันเป็นยิ่งยวด เป็นผู้เขียนเรื่อง Asian Drama กับ American Dilemma ซึ่งขายดีระเบิดทั้งคู่ แม่ของ Sissela คือ Alva ก็ได้รับรางวัลโนเบลเช่นกัน แต่เป็นสาขาสันติภาพ

ในหนังสือเรื่อง ความโกหก : ทางเลือกแห่งจริยธรรมในชีวิตทางการและส่วนตัว Sissela Bok .ให้คำนิยามโกหกว่า ได้แก่ข้อความซึ่งผู้พูดรู้อยู่ว่าเป็นความเท็จ แต่ก็นำมาพูดให้ผู้ฟังเชื่อเพราะต้องการหลอกลวง Sissela ได้แสดงให้เห็นว่าการโกหกเล็กๆ น้อยๆ ที่หาความสำคัญมิได้ ได้กลายเป็นนิสัยสันดานของบุคคลได้อย่างไร และการหลอกลวงโดยการปิดปากเงียบหรือนิ่งเฉยเสีย ไม่ทำอะไรเลย ก็กลายเป็นอาสัตย์ได้ทำนองเดียวกัน เพราะติดนิสัยหลอกลวงเสียจนชิน คนโกหกจะสามารถโกหกเรื่องใหญ่ๆ และเสียหายได้ง่ายดายโดยไม่รู้สึกตัว

Sissela เป็นผู้นำหลักการ Principle of Veracity มาเผยแพร่ ได้แก่หลักที่เป็นมาตรการด้านจรรยาบรรณที่มืออาชีพในวงการต่างๆ จะต้องยึดมั่นในการบอกความจริงให้มากที่สุด จะยกเว้นก็ต่อเมื่อมีเหตุผลอย่างยิ่งยวด

Sissela ยืนยันว่าแท้ที่จริง โลกและความดีทั้งหลายในโลกนี้เกิดขึ้นได้เพราะความเชื่อของคนที่ซื่อสัตย์และรักความจริง ด้วยเหตุนี้แหละคนซื่อสัตย์จึงเปิดโอกาสให้คนหลอกลวงมาโกหกได้อย่างหน้าด้านๆ (เช่นคนที่ไปวัดสมาทานศีลห้าทุกวันในชนบทไทย?)

Sissela แนะนำให้จอมโกหกทั้งหลายสำรวจมโนธรรมของตนเอง เสร็จแล้วจึงถามผู้ที่ถูกโกหกว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง ถึงที่สุดแล้ว หากจะมีข้อแก้ตัว เหตุผลของการแก้ตัวจะต้องรับฟังได้ในหมู่ประชาชน

นักการเมืองโกหกต้องการให้ประชาชนเชื่อตน และนักการเมืองโกหกอยู่ได้เพราะความซื่อสัตย์ไร้เดียงสาของประชาชน แปลว่านักโกหกอาศัยระบบ โดยไม่ต้องทำคุณงามความดีตอบแทนระบบหรือผู้หลงเชื่ออย่างแท้จริงเลย

ทำอย่างไรโลกจึงจะดีขึ้นกว่านี้ได้ คำตอบก็คือทางเลือกและความรู้จักคิดของผู้ที่ถูกโกหก ผู้ที่ถูกหลอกลวงกดขี่ที่มีประสบการณ์ด้วยตนเอง จะต้องลุกขึ้นมาตอกหน้าว่า ข้าไม่ยอมแล้วเจ้าจอมโกหก ต่อไปนี้อย่ามาหลอกกันอีก an alternative perspective in which someone never finds a good reason for lying - the perspective of the lied to. As those with painful first-hand experience know, recipients of masterful lies rarely concede that there was any justification for the lie that was told to them

บังเอิญยุคสมัครเป็นยุคโลกาภิวัตน์ ที่มีการการสื่อสารปฏิวัติ โอกาสที่คนส่วนใหญ่จะถูกปิดหูปิดตาให้หลงเชื่ออย่างเดิมคงเหลืออยู่ไม่นาน และคติที่ว่า การกระทำย่อมเสียงดังกว่าคำพูดจะกลายเป็นความจริง การกระทำของรัฐบาลสมัยที่สมัครเรืองอำนาจบนเก้าอี้ มท.1 วางแผนและประกาศว่าจะขออยู่ปฏิรูปบ้านเมืองเป็นเวลา 12 ปี เอาเข้าจริงอยู่ได้ปีเดียว คราวนี้สมัครบอกว่าจะอยู่ให้ครบ 4 ปี หากใช้สูตรเดียวกันมาคำนวณ สมัครจะอยู่ได้นานเท่าใด

ไม่แน่ ถ้าสมัครพิสูจน์ได้ด้วยการกระทำว่า แท้ที่จริงเขาเป็นคนรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง ไม่เหมือนคนหรือพรรคที่เชิดเขาขึ้นมา หวังจะให้เขาใช้ปากฆ่าตัวตาย

“วันๆ ถ้าไม่ได้โกหก มันนอนไม่หลับ คนอย่างนี้ พวกเราอย่ากลัวว่ามันจะอยู่ได้นาน”

สาบานได้ว่า ผมมิได้แต่งประโยคนี้ขึ้นมาเองเลย.
กำลังโหลดความคิดเห็น