ความป่วยคราวนี้แม้จะหนักหนาสาหัสนักแต่ก็กล่าวได้ว่าน่าจะผ่านพ้นวิกฤตมาได้แล้ว พอที่จะมีกำลังวังชาที่จะสร้างสรรค์บทความนำเสนอท่านผู้อ่านเพื่อสนองพระเดชพระคุณสืบไปได้บ้างแล้ว
ในวันนี้จะขอแนะนำต่อจากตอนที่ 2 ซึ่งเป็นเรื่องของภูตเหลือง คือเรื่องของภูตร้อน ซึ่งต้องถือว่าภูตทั้งสองตัวนี้เป็นอุ้งหัตถ์แห่งมัจจุราชที่ทำหน้าที่คร่าเอาชีวิตของคนเป็นโรคตับที่ฉกาจฉกรรจ์ จึงต้องทำความรู้จักกันให้ดี และต้องรู้วิธีกำจัดมันด้วย
ที่เรียกว่า “ภูตร้อน” ก็เพราะเป็นอาการของไฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาภูตรูปสี่ แต่ภูตตัวนี้ไม่ได้มีหน้าที่หลอกหลอนอย่างเดียว หากเอาเรื่องเอาราวกันถึงเป็นถึงตายกันจริงๆ ด้วย
จัดเป็นภูตคู่แฝดกับภูตเหลือง เพราะต่างก็เนื่องเป็นเหตุเป็นปัจจัย เป็นตัวเพิ่มกำลังให้แก่กัน ตัวใดมีกำลังมากก็จะเพิ่มกำลังให้อีกตัวหนึ่งด้วย และถ้าตัวใดมีกำลังลดน้อยถอยลงก็จะไปลดถอนทอนกำลังของอีกตัวหนึ่งเช่นเดียวกัน
เพราะผลจากน้ำดีซ่านกระจัดกระจายไปในกายนี้ จึงทำให้การอักเสบขยายตัวไปจากบริเวณตับ ไปทั่วทุกหนทุกแห่ง น้ำดีสีแห่งภูตเหลืองไปถึงไหน ความอักเสบและภูตร้อนก็ไปถึงนั่น แต่ต้นตอจริงๆ นั้นก็คือการอักเสบที่ตับนั่นเอง
ซึ่งอาจอักเสบจากโรคมะเร็งตับก็ดี จากเชื้อไวรัสตับก็ดี หรือจากพิษที่ตับได้รับไม่ว่าพิษจากยาหรือสุราก็ดี ภูตเหลืองไปถึงไหนความร้อนก็ไปถึงนั่น ภูตร้อนก็คือความร้อนจากการอักเสบก็ติดสอยห้อยตามไปทำลายล้างทุกหนทุกแห่งถึงนั่นด้วย
ไปถึงตาๆ ก็ร้อน ไปถึงจมูกๆ ก็ร้อน ถึงหน้าๆ ก็ร้อน ถึงส่วนไหนของร่างกายก็ร้อนส่วนนั้น ยิ่งบริเวณซอกหนีบต่างๆ จะยิ่งร้อนเป็นทวีคูณ หนักๆ เข้าจะนั่งจะนอนตรงไหนก็ร้อนไปหมด
ตั้งแต่จมูกไปจนถึงทรวงอกหากถูกภูตร้อนเหยียบแล้วคอจะแห้ง ปากจะขม มีอาการคลื่นเหียนเหมือนสตรีแพ้ท้องอยากจะอ้วกเสียเต็มประดา ทำให้เบื่ออาหาร ทำให้กินไม่ได้ ทำให้ไม่อยากกินอะไรแม้กระทั่งน้ำ
ต่ำจากทรวงอกลงไปก็ร้อนจนแน่นไปหมด ลงไปถึงใต้สะดือก็ร้อนลงไปถึงกระเพาะปัสสาวะและทางเดินปัสสาวะ สิริรวมแล้วภูตร้อนจะเหยียบย่ำตั้งแต่หัวจรดเท้าหรือตั้งแต่เท้าจรดขึ้นมาถึงหัว
ทำให้กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ซูบผอม น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ปรากฏการณ์ภูตร้อนไม่ว่าเป็นโรคตับแบบไหนก็ตามจะเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น
หากปล่อยให้ภูตร้อนเหยียบย่ำทำลายก็คงจะตายอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องหาทางกำจัดภูตร้อนให้ได้โดยไว กำจัดเสียก่อนที่จะสิ้นไร้กำลังต่อสู้
วิธีการกำจัดภูตร้อนในทางการแพทย์นั้นมีอยู่แต่ความรู้ไม่พอที่จะเขียน ทั้งมิได้มีความเชื่อและศรัทธาว่าจะได้ผลจริง โดยเฉพาะคือความรังเกียจผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น ที่หนักหนาคือในภาวะเช่นนั้นตับอ่อนแอมากอยู่แล้ว อะไรๆ ก็จะแพ้ไปหมด แทบจะไม่สามารถรองรับอะไรได้อีกแล้ว หากยาตกไปถึงตับ ผิว์โชคดีก็รอดตายไป หากโชคร้ายก็คงตายเลย
คนเป็นโรคตับเกิดอาการตับวายเพราะผลกระทบจากยาที่ไปซ้ำเติมในยามที่ตับอ่อนแออย่างนี้ ดังนั้นวิธีใช้ยาเพื่อกำจัดภูตร้อนจึงมีโทษมหันต์แฝงฝังอยู่ จึงต้องใคร่ครวญให้จงดีและสำหรับผู้ที่มีสติตั้งมั่นแล้วก็คงจะไม่หลงใหลฝักใฝ่ตั้งความหวังว่ายาแบบนั้นเป็นหนทางวิเศษแต่ทางเดียวที่จะกำจัดภูตร้อนได้
สิ่งที่จะแนะนำในวันนี้เป็นแบบวิธีชุดหนึ่งในการต่อสู้และในการกำจัดภูตร้อน หากกำจัดภูตร้อนได้สำเร็จก็ขอให้มั่นใจเถิดว่าถึงตับจะอักเสบด้วยประการใดๆ ก็คงรอดตายได้
ความรู้จากตำรากับความรู้แจ้งและความรู้จากประสบการณ์และการปฏิบัติตนในท่ามกลางความเป็นจริงนั้นต่างก็เป็นประโยชน์ ขอเพียงได้สันทัดในการสังเกตและในการนำมาใช้ก็จะเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านอย่าได้สงสัยเลย ข้อแนะนำสำหรับการต่อสู้และการกำจัดภูตร้อนในประการสำคัญมีดังต่อไปนี้
ประการแรก ดังที่ได้พรรณนามาแล้วว่าภูตเหลืองกับภูตร้อนนั้นเป็นภูตคู่แฝด มีกำลังกล้าหรืออ่อนกำลังก็จะเป็นไปด้วยกัน เป็นเหตุเป็นปัจจัยของกันและกัน และตรงนี้เป็นนัยสำคัญยิ่งที่ต้องจัดการก่อน คือต้องกำจัดหรือแก้ไขการอักเสบให้ได้ผลที่สุดก่อน ดังที่ได้พรรณนามาแล้วเรื่องการกำจัดภูตเหลือง
ดังนั้นการกำจัดภูตเหลืองจึงเป็นมาตรการเอกและเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการสำคัญในการกำจัดภูตร้อนด้วย
ประการที่สอง อันตรายของภูตร้อนคือทำให้เบื่ออาหารและกินไม่ได้ หรือกินได้ก็อาเจียนหรือแน่นไม่สบาย ซึ่งเป็นวิถีแห่งความตายโดยแท้ เพราะกายนี้ดำรงอยู่และดำเนินไปก็ด้วยอาหาร ขาดอาหารก็ตาย อาหารเป็นพิษก็ตาย จึงต้องทำให้ไม่ขาดอาหาร และต้องทำให้อาหารไม่เป็นพิษด้วย ที่สำคัญคือต้องทำให้กินอาหารได้
อาหารอ่อนและมีมันน้อยที่สุดจะเป็นอาหารที่เหมาะสมที่สุด ควรเว้นอาหารจำพวกเนื้อให้มากที่สุด เพราะไปเพิ่มภาระแก่ตับและน้ำดี ตลอดจนกระเพาะอาหาร เริ่มต้นด้วยการกินโจ๊กจะเป็นการดีที่สุด พอฟื้นขึ้นมาสักหน่อยหนึ่งก็พึงกินข้าวต้มเป็นพื้น เพราะเป็นอาหารจำพวกย่อยง่าย ไม่เป็นภาระแก่ตับ ไม่แน่น ไม่เฟ้อมากเกินไป
กับข้าวก็ควรเป็นพวกผัก ปลา เป็นหลัก เว้นเนื้อ นม ไข่ให้มากที่สุด เพราะนั่นเป็นอาหารของยักษ์และภูตต่างๆ เป็นอาหารโปรดของทั้งภูตเหลืองและภูตร้อน หากจะกินอาหารจำพวกผักหญ้าซึ่งเป็นอาหารของผู้ทรงศีล ร่างกายก็อ่อนแอเกินไป จะขาดเครื่องบำรุงกำลัง จึงคงต้องเป็นอาหารจำพวกผัก ปลา ซึ่งเป็นอาหารของมนุษย์โดยแท้
อาหารนั้นก็มีทั้งอาหารที่ทำให้เกิดความร้อนและทำให้เกิดความเย็น หรือนัยหนึ่งก็คือมีทั้งอาหารประเภทหยางและประเภทหยิน สำหรับคนเป็นโรคตับต้องพยายามลดอาหารประเภทหยางและพยายามกินอาหารประเภทหยิน อาหารอะไรเป็นประเภทหยาง อะไรเป็นประเภทหยิน ไปตรวจค้นดูได้ไม่ยากไม่ลำบาก
หากจะพูดแบบภาษานักเคมีก็พูดได้ว่าอาหารจำพวกหยางมักจะมีความเป็นกรดหรือทำให้เกิดกรด หรือแปรเปลี่ยนเป็นกรดได้โดยง่าย ส่วนอาหารจำพวกหยินจะมีความเป็นด่างหรือทำให้เกิดด่าง หรือกลายเป็นด่าง
เพราะภูตร้อนนั้นมีลักษณะเป็นไฟกรด หรือเป็นน้ำกรด หรือเป็นกรด หากเพิ่มสิ่งที่เป็นกรดเข้าไปก็จะยิ่งเพิ่มความรุนแรง ยิ่งเพิ่มความร้อนแรง เพิ่มสมรรถนะในการทำลายแล้วไปส่งเสริมภูตเหลืองให้มีฤทธิ์เดชมากขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงเติมความเป็นกรดเข้าไปอีกไม่ได้เป็นอันขาด ทดลองดูก็ได้ว่าจะเกิดความร้อนเป็นทางตั้งแต่กระเพาะอาหารขึ้นมาและลงไป พอปัสสาวะก็ยิ่งร้อน ยิ่งแสบ ยิ่งร้าว
การที่ต้องกินอาหารที่เป็นหยินซึ่งมีลักษณะเป็นด่างก็เพราะกฎธรรมชาติทางเคมีนั้นด่างจะสามารถทำให้กรดแปรเปลี่ยนสภาพไป ในภาษาทางเคมีเรียกว่าปฏิกริยาทางเคมีระหว่างกรดกับด่าง ทำให้เป็นเกลือกับน้ำ
นั่นคือความเป็นกรดก็หมดไป ความเป็นด่างก็หมดไป กลายเป็นเกลือกับน้ำมาเข้าแทนที่ เท่ากับได้ถอนเชื้อภูตร้อน กำจัดภูตร้อนไปได้เป็นส่วนๆ เมื่อทำต่อเนื่องแล้วภูตร้อนก็ไม่มีอาหารกิน แล้วจะเอาความร้อนที่ไหนมาเป็นพลังงานทำลายล้าง
พวกนักวิชาการพลังงานมีคำกล่าวอยู่คำหนึ่งว่า “Heat Kill Energy” อันมีความหมายว่าความร้อนทำลายพลังงาน โดยนัยนี้หากมีภูตร้อนอยู่ในกายก็จะทำลายพลังงานจนไม่เหลือหรอแล้วตายไปในที่สุด ดังนั้นเมื่อทำลายตัวทำลายพลังงานคือภูตร้อนแล้ว อาหารที่กินเข้าไปก็จะเป็นปัจจัยยังชีวิตนี้ให้ดำเนินต่อไปได้ตามพระพุทธภาษิตอันมีมาในพระสูตรนั้นแล้ว
เกลือกับน้ำซึ่งเป็นผลิตผลของปฏิกิริยาระหว่างกรดกับด่างเป็นคนละส่วนกับการย่อยอาหาร และการสังเคราะห์อาหารของร่างกาย ซึ่งย่อมบังเกิดประโยชน์ตามปกติที่ได้รับอาหาร แต่ต้องระวังเรื่องเกลือกับน้ำให้ดี
เกลือมีผลกระทบต่อไต ดังนั้นคนที่เป็นโรคตับและกินอาหารจำพวกหยินจึงต้องลดอาหารที่มีความเค็มให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ไปเพิ่มภาระแก่ไต เพราะถ้าภาระเพิ่มมากๆ ไตก็วายแล้วตายได้เหมือนกัน เช่นเดียวกับน้ำ ซึ่งมีเพิ่มมากขึ้นก็ต้องเริ่มควบคุมการดื่มน้ำ แม้ว่าจะต้องเป็นไปในทางมากแต่ต้องไม่มากเกินไปเพราะอาจตายได้เหมือนกัน
ดังนั้นทุกวันจึงต้องหมั่นกดตามเนื้อตัวแข้งขาดูว่ามีรอยบุ๋มแล้วหายไปโดยเร็วหรือไม่ เพราะตรงนี้คือสัญญาณบอกเหตุว่ามีน้ำในเนื้อตัวมากเกินไปหรือยัง เพราะหากน้ำมาก เกลือมาก จนไตทำงานไม่ไหวก็จะทำให้เกิดอาการบวม กดแล้วไม่ค่อยยุบ ซึ่งเป็นสิ่งที่สังเกตได้ง่าย วัดได้ด้วยตนเอง
ถ้าบวมกดแล้วไม่ค่อยยุบก็ต้องรีบไปหาหมอ เขาก็จะให้ยาเพื่อแก้ปัญหานี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไร แต่ต้องรู้ต้องเข้าใจว่านี่มีมาแต่เหตุเพราะเกลือกับน้ำมากเกินไป และไตทำงานหนักเกินไป แล้วเรื่องอะไรจะไปเสียค่ายาหรือกินยาให้เมื่อยคอ เราก็ควบคุมตนเสียเองโดยการกินของเค็มแต่น้อยที่สุด ควบคุมการดื่มน้ำอย่าให้มากเกินไป แค่นี้ก็สบายแฮแล้ว
ทำอย่างนี้ไปสักพักร่างกายก็จะค่อยๆ ฟื้นตัว แต่ปัญหาอยู่ตรงที่สองสถาน สถานหนึ่งคือเบื่ออาหาร ไม่อยากกิน ซึ่งต้องฝืนด้วยความมีสติว่าอยากตายหรือไม่ เพราะถ้าไม่กินก็ตาย จึงต้องฝืนกิน กินๆ เข้าไปเถิด ชีวิตข้างหน้ายังมีเรื่องสนุกสนานอีกตั้งเยอะ ทำไมจะต้องรีบตายด้วยเล่า?
สถานสอง กินแล้วจะแน่น อืด เรอ ในขณะที่เคลื่อนไหวออกกำลังกายไม่ได้ ดีไม่ดีก็อยากจะอ้วกหรืออาเจียน ที่เกิดอาการเช่นนี้ก็เพราะภูตเหลืองกับภูตร้อนรุมเล่นงานนั่นเอง นี่แหละเขาเรียกว่าพยาธิหรือความเจ็บป่วย เมื่อเจ็บป่วยแล้วจะให้มันสบายอย่างไรได้ ก็ต้องทนกันบ้าง ต้องต่อสู้กันบ้าง มิฉะนั้นจะเรียกว่าไม่สบายได้อย่างไร
รวมความก็คือในเบื้องต้นก็จะต้องทนทุกข์ทรมานกับความแน่น ความอืด ความเรอ และความไม่สบายหลังการกินอาหารบ้างและก่อนการกินอาหารบ้างเป็นธรรมดา แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ชั่วคราวเท่านั้น เพราะถ้ากินได้รับรองว่าไม่เกิน 3 วันความเบื่ออาหารก็จะหมดไปเอง นี่เป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติชนิดหนึ่ง
วิธีแก้ไขง่ายๆ ก็คือการทำให้ผายลม แต่เมื่อออกกำลังกายไม่ได้ก็ยุ่งยากลำบากสักหน่อย ยิ่งกินหยูกกินยาอะไรไม่ได้ก็ยิ่งลำบากเพิ่มเข้าไปอีก แต่ก็พอมีข้อแนะนำดังนี้
(1) ต้องใช้วิธีหายใจเข้าช่วย พยายามหายใจลึกๆ หายใจเข้าจากปลายจมูกลงลึกไปถึงบริเวณสะดือ หรืออย่างน้อยก็ต้องเหนือกว่าสะดือไม่ต่ำกว่า 2 นิ้ว เพื่อนำอากาศหรือลมปราณอันบริสุทธิ์เข้าไปกดหรือดันหรือนวด ทำให้อาการแน่น อืด เฟ้อ เรอนั้นหายไป ซึ่งสังเกตได้จากการผายลม
ในอานาปานสติขั้นกายานุปัสสนาสติปัฏฐานขั้นที่ 2 ที่ให้มีสติกำหนดรู้การหายใจยาวจะมีประโยชน์ยิ่งในการขับลม ลองทำดูเถิดก็จะเห็นผลเป็นที่ประจักษ์ ครู่เดียวเท่านั้นก็จะผายลมปู้ดป้าดหรือไม่ก็จะเรอจนโล่งอกโล่งท้อง มีความสบายมากขึ้น
(2) เมื่อกะว่าอาหารย่อยเสร็จหรือเกือบเสร็จแล้ว คือหลังจากกินอาหารราว 3-4 ชั่วโมง หากยังมีความอืด แน่น เฟ้อ เรออยู่ ก็ลองคุกเข่าคว่ำหน้าลง เอาหน้าผากจรดพื้น ยกก้นให้สูงที่สุด ก็จะทำให้ลมเคลื่อนออกไปเป็นการผายลมตามหลักพละศาสตร์ธรรมดาๆ นั่นเอง โดยไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากมายนัก
ประการที่สาม การกำจัดภูตร้อนโดยตรง ซึ่งด้วยวิธีการหายใจและด้วยการคุกเข่าคว่ำหน้าลงนั้น ให้ลองสังเกตดูเถิดว่าเมื่อผายลมออกมาก อาการอืด แน่น เฟ้อ เรอก็จะบรรเทาลง อุณหภูมิในกายที่ร้อนจัดๆ ก็จะบรรเทาเบาบางลงด้วย แต่นั่นไม่ถึงที่สุดดอก มันยังมีความร้อนหรือที่ทางการแพทย์เรียกว่าไข้อ่อนๆ ดำรงอยู่ เพราะนั่นเป็นผลของการอักเสบ และเป็นการแสดงฤทธิ์เดชของภูตร้อน
แล้วอะไรเล่าจึงจะกำจัดภูตร้อนได้? ก็ต้องบอกว่าภูตก็คือผี ผีก็คือภูต ผีนั้นน่ะกลัวพระธรรม ไม่ได้กลัวหยูกยาเลย และพระธรรมในเรื่องนี้ก็มีอยู่เฉพาะแล้ว
ในบทว่าด้วยโพชฌงค์ ถัดจากสติสัมโพชฌงค์คือธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ คือการพิจารณาความเป็นจริงที่เป็นไปว่ามีความร้อนเกิดขึ้น ต้องระงับดับร้อนนั้นเสีย แล้วจะดับอย่างไร?
ทั้งยังปรากฏความมีมาในอานาปานสติสูตรขั้นกายานุปัสสนาสติปัฏฐานขั้นที่ 2 และขั้นที่ 3 ประกอบเข้ากันอย่างครบชุดสมบูรณ์อีกด้วย
ขั้นที่ 2 คือมีสติกำหนดการหายใจยาว เมื่อบรรลุแล้วก็จะก้าวสู่ขั้นที่ 3 คือมีสติ กำหนดรู้กองลมทั้งปวงว่าร่างกาย จิตใจ และลมปราณสัมพันธ์กันอย่างไร ส่งผลต่อกันอย่างไร
นี่คือพระธรรม อุ้งหัตถ์แห่งพระพุทธคุณและพระธรรมคุณนี่แหละที่จะกำจัดภูตร้อนได้ชะงัด
ก็ขอบอกความลับแห่งธรรมชาติไว้ ณ ที่นี้ว่าการกำหนดลมหายใจยาวลึกลงไปถึงสะดือนั้นจะระงับดับร้อนได้ภายในไม่เกิน 2 นาที ใครทำก็ได้ ทำเมื่อใดก็ได้ผลเมื่อนั้น นอนบนที่นอนร้อนจัดอยู่ดีๆ นี่แหละ พอกำหนดลมหายใจยาวแค่นาที 2 นาทีความร้อนนั้นก็หายไป ความร้อนในร่างกายที่ภูตร้อนเที่ยวเหยียบย่ำกระแทกกระทั้นอยู่นั้นจะสลายหายไปภายในประมาณ 2 นาทีที่กำหนดลมหายใจยาว
ไม่ว่าจะเป็นคนในลัทธิศาสนาไหนๆ หรือเพศวัยใดๆ ก็ตาม เมื่อปฏิบัติแล้วก็จะได้ผลอย่างเดียวกัน และผลที่ส่งสะท้อนลึกเข้าไปก็คือการทำลายภูตร้อน การทำลายการอักเสบทั้งมวล ทดลองดูเอาเองเถิดก็จะเห็นจริง คนเป็นโรคตับจึงอาจจัดว่าเป็นคนมีบุญก็ได้ เพราะจะสามารถสัมผัสกับอานุภาพของพระธรรมชัดเจนแจ่มแจ้งนัก
ในขณะที่กำหนดลมหายใจยาว เห็นความร้อนดับไปๆๆ ความเย็นเข้าแทนที่เป็นลำดับๆ ไป อาการอักเสบก็จะค่อยๆ ผ่อนคลายหายไปเป็นลำดับๆ การพิจารณาเห็นอยู่เช่นนั้น เจริญอยู่เช่นนั้น ย่อมได้ชื่อว่าเป็นการเจริญธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์
เมื่อเห็นผลจริงของพระธรรมในการกำจัดภูตร้อนก็ยิ่งเพิ่มความเพียรเพื่อทำให้ความไข้เร่งคลายหายไป การเจริญอยู่เช่นนี้ย่อมได้ชื่อว่าเป็นการเจริญวิริยะสัมโพชฌงค์
วิริยะสัมโพชฌงค์ที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมให้ผลมาก ภูตร้อนถูกกำจัดไปเป็นลำดับ ความสบายกาย สบายใจเกิดขึ้นเป็นลำดับ เห็นถึงความจริงแห่งพระธรรมเหมือนได้นั่งอยู่เบื้องหน้าพระตถาคตเจ้า ความปีติจนน้ำตาแทบหลั่งไหลก็จะเกิดขึ้น นี่เรียกว่าปีติสัมโพชฌงค์เป็นอันเจริญแล้ว
โพชฌงค์จะเจริญเป็นลำดับๆ ไปจนครบทั้งเจ็ดองค์ แล้วมีผลทำให้ไข้หนักสร่างหายดังที่ปรากฏความในพระสูตรและในพระปริตรนั้น.
ในวันนี้จะขอแนะนำต่อจากตอนที่ 2 ซึ่งเป็นเรื่องของภูตเหลือง คือเรื่องของภูตร้อน ซึ่งต้องถือว่าภูตทั้งสองตัวนี้เป็นอุ้งหัตถ์แห่งมัจจุราชที่ทำหน้าที่คร่าเอาชีวิตของคนเป็นโรคตับที่ฉกาจฉกรรจ์ จึงต้องทำความรู้จักกันให้ดี และต้องรู้วิธีกำจัดมันด้วย
ที่เรียกว่า “ภูตร้อน” ก็เพราะเป็นอาการของไฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาภูตรูปสี่ แต่ภูตตัวนี้ไม่ได้มีหน้าที่หลอกหลอนอย่างเดียว หากเอาเรื่องเอาราวกันถึงเป็นถึงตายกันจริงๆ ด้วย
จัดเป็นภูตคู่แฝดกับภูตเหลือง เพราะต่างก็เนื่องเป็นเหตุเป็นปัจจัย เป็นตัวเพิ่มกำลังให้แก่กัน ตัวใดมีกำลังมากก็จะเพิ่มกำลังให้อีกตัวหนึ่งด้วย และถ้าตัวใดมีกำลังลดน้อยถอยลงก็จะไปลดถอนทอนกำลังของอีกตัวหนึ่งเช่นเดียวกัน
เพราะผลจากน้ำดีซ่านกระจัดกระจายไปในกายนี้ จึงทำให้การอักเสบขยายตัวไปจากบริเวณตับ ไปทั่วทุกหนทุกแห่ง น้ำดีสีแห่งภูตเหลืองไปถึงไหน ความอักเสบและภูตร้อนก็ไปถึงนั่น แต่ต้นตอจริงๆ นั้นก็คือการอักเสบที่ตับนั่นเอง
ซึ่งอาจอักเสบจากโรคมะเร็งตับก็ดี จากเชื้อไวรัสตับก็ดี หรือจากพิษที่ตับได้รับไม่ว่าพิษจากยาหรือสุราก็ดี ภูตเหลืองไปถึงไหนความร้อนก็ไปถึงนั่น ภูตร้อนก็คือความร้อนจากการอักเสบก็ติดสอยห้อยตามไปทำลายล้างทุกหนทุกแห่งถึงนั่นด้วย
ไปถึงตาๆ ก็ร้อน ไปถึงจมูกๆ ก็ร้อน ถึงหน้าๆ ก็ร้อน ถึงส่วนไหนของร่างกายก็ร้อนส่วนนั้น ยิ่งบริเวณซอกหนีบต่างๆ จะยิ่งร้อนเป็นทวีคูณ หนักๆ เข้าจะนั่งจะนอนตรงไหนก็ร้อนไปหมด
ตั้งแต่จมูกไปจนถึงทรวงอกหากถูกภูตร้อนเหยียบแล้วคอจะแห้ง ปากจะขม มีอาการคลื่นเหียนเหมือนสตรีแพ้ท้องอยากจะอ้วกเสียเต็มประดา ทำให้เบื่ออาหาร ทำให้กินไม่ได้ ทำให้ไม่อยากกินอะไรแม้กระทั่งน้ำ
ต่ำจากทรวงอกลงไปก็ร้อนจนแน่นไปหมด ลงไปถึงใต้สะดือก็ร้อนลงไปถึงกระเพาะปัสสาวะและทางเดินปัสสาวะ สิริรวมแล้วภูตร้อนจะเหยียบย่ำตั้งแต่หัวจรดเท้าหรือตั้งแต่เท้าจรดขึ้นมาถึงหัว
ทำให้กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ซูบผอม น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ปรากฏการณ์ภูตร้อนไม่ว่าเป็นโรคตับแบบไหนก็ตามจะเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น
หากปล่อยให้ภูตร้อนเหยียบย่ำทำลายก็คงจะตายอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องหาทางกำจัดภูตร้อนให้ได้โดยไว กำจัดเสียก่อนที่จะสิ้นไร้กำลังต่อสู้
วิธีการกำจัดภูตร้อนในทางการแพทย์นั้นมีอยู่แต่ความรู้ไม่พอที่จะเขียน ทั้งมิได้มีความเชื่อและศรัทธาว่าจะได้ผลจริง โดยเฉพาะคือความรังเกียจผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น ที่หนักหนาคือในภาวะเช่นนั้นตับอ่อนแอมากอยู่แล้ว อะไรๆ ก็จะแพ้ไปหมด แทบจะไม่สามารถรองรับอะไรได้อีกแล้ว หากยาตกไปถึงตับ ผิว์โชคดีก็รอดตายไป หากโชคร้ายก็คงตายเลย
คนเป็นโรคตับเกิดอาการตับวายเพราะผลกระทบจากยาที่ไปซ้ำเติมในยามที่ตับอ่อนแออย่างนี้ ดังนั้นวิธีใช้ยาเพื่อกำจัดภูตร้อนจึงมีโทษมหันต์แฝงฝังอยู่ จึงต้องใคร่ครวญให้จงดีและสำหรับผู้ที่มีสติตั้งมั่นแล้วก็คงจะไม่หลงใหลฝักใฝ่ตั้งความหวังว่ายาแบบนั้นเป็นหนทางวิเศษแต่ทางเดียวที่จะกำจัดภูตร้อนได้
สิ่งที่จะแนะนำในวันนี้เป็นแบบวิธีชุดหนึ่งในการต่อสู้และในการกำจัดภูตร้อน หากกำจัดภูตร้อนได้สำเร็จก็ขอให้มั่นใจเถิดว่าถึงตับจะอักเสบด้วยประการใดๆ ก็คงรอดตายได้
ความรู้จากตำรากับความรู้แจ้งและความรู้จากประสบการณ์และการปฏิบัติตนในท่ามกลางความเป็นจริงนั้นต่างก็เป็นประโยชน์ ขอเพียงได้สันทัดในการสังเกตและในการนำมาใช้ก็จะเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านอย่าได้สงสัยเลย ข้อแนะนำสำหรับการต่อสู้และการกำจัดภูตร้อนในประการสำคัญมีดังต่อไปนี้
ประการแรก ดังที่ได้พรรณนามาแล้วว่าภูตเหลืองกับภูตร้อนนั้นเป็นภูตคู่แฝด มีกำลังกล้าหรืออ่อนกำลังก็จะเป็นไปด้วยกัน เป็นเหตุเป็นปัจจัยของกันและกัน และตรงนี้เป็นนัยสำคัญยิ่งที่ต้องจัดการก่อน คือต้องกำจัดหรือแก้ไขการอักเสบให้ได้ผลที่สุดก่อน ดังที่ได้พรรณนามาแล้วเรื่องการกำจัดภูตเหลือง
ดังนั้นการกำจัดภูตเหลืองจึงเป็นมาตรการเอกและเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการสำคัญในการกำจัดภูตร้อนด้วย
ประการที่สอง อันตรายของภูตร้อนคือทำให้เบื่ออาหารและกินไม่ได้ หรือกินได้ก็อาเจียนหรือแน่นไม่สบาย ซึ่งเป็นวิถีแห่งความตายโดยแท้ เพราะกายนี้ดำรงอยู่และดำเนินไปก็ด้วยอาหาร ขาดอาหารก็ตาย อาหารเป็นพิษก็ตาย จึงต้องทำให้ไม่ขาดอาหาร และต้องทำให้อาหารไม่เป็นพิษด้วย ที่สำคัญคือต้องทำให้กินอาหารได้
อาหารอ่อนและมีมันน้อยที่สุดจะเป็นอาหารที่เหมาะสมที่สุด ควรเว้นอาหารจำพวกเนื้อให้มากที่สุด เพราะไปเพิ่มภาระแก่ตับและน้ำดี ตลอดจนกระเพาะอาหาร เริ่มต้นด้วยการกินโจ๊กจะเป็นการดีที่สุด พอฟื้นขึ้นมาสักหน่อยหนึ่งก็พึงกินข้าวต้มเป็นพื้น เพราะเป็นอาหารจำพวกย่อยง่าย ไม่เป็นภาระแก่ตับ ไม่แน่น ไม่เฟ้อมากเกินไป
กับข้าวก็ควรเป็นพวกผัก ปลา เป็นหลัก เว้นเนื้อ นม ไข่ให้มากที่สุด เพราะนั่นเป็นอาหารของยักษ์และภูตต่างๆ เป็นอาหารโปรดของทั้งภูตเหลืองและภูตร้อน หากจะกินอาหารจำพวกผักหญ้าซึ่งเป็นอาหารของผู้ทรงศีล ร่างกายก็อ่อนแอเกินไป จะขาดเครื่องบำรุงกำลัง จึงคงต้องเป็นอาหารจำพวกผัก ปลา ซึ่งเป็นอาหารของมนุษย์โดยแท้
อาหารนั้นก็มีทั้งอาหารที่ทำให้เกิดความร้อนและทำให้เกิดความเย็น หรือนัยหนึ่งก็คือมีทั้งอาหารประเภทหยางและประเภทหยิน สำหรับคนเป็นโรคตับต้องพยายามลดอาหารประเภทหยางและพยายามกินอาหารประเภทหยิน อาหารอะไรเป็นประเภทหยาง อะไรเป็นประเภทหยิน ไปตรวจค้นดูได้ไม่ยากไม่ลำบาก
หากจะพูดแบบภาษานักเคมีก็พูดได้ว่าอาหารจำพวกหยางมักจะมีความเป็นกรดหรือทำให้เกิดกรด หรือแปรเปลี่ยนเป็นกรดได้โดยง่าย ส่วนอาหารจำพวกหยินจะมีความเป็นด่างหรือทำให้เกิดด่าง หรือกลายเป็นด่าง
เพราะภูตร้อนนั้นมีลักษณะเป็นไฟกรด หรือเป็นน้ำกรด หรือเป็นกรด หากเพิ่มสิ่งที่เป็นกรดเข้าไปก็จะยิ่งเพิ่มความรุนแรง ยิ่งเพิ่มความร้อนแรง เพิ่มสมรรถนะในการทำลายแล้วไปส่งเสริมภูตเหลืองให้มีฤทธิ์เดชมากขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงเติมความเป็นกรดเข้าไปอีกไม่ได้เป็นอันขาด ทดลองดูก็ได้ว่าจะเกิดความร้อนเป็นทางตั้งแต่กระเพาะอาหารขึ้นมาและลงไป พอปัสสาวะก็ยิ่งร้อน ยิ่งแสบ ยิ่งร้าว
การที่ต้องกินอาหารที่เป็นหยินซึ่งมีลักษณะเป็นด่างก็เพราะกฎธรรมชาติทางเคมีนั้นด่างจะสามารถทำให้กรดแปรเปลี่ยนสภาพไป ในภาษาทางเคมีเรียกว่าปฏิกริยาทางเคมีระหว่างกรดกับด่าง ทำให้เป็นเกลือกับน้ำ
นั่นคือความเป็นกรดก็หมดไป ความเป็นด่างก็หมดไป กลายเป็นเกลือกับน้ำมาเข้าแทนที่ เท่ากับได้ถอนเชื้อภูตร้อน กำจัดภูตร้อนไปได้เป็นส่วนๆ เมื่อทำต่อเนื่องแล้วภูตร้อนก็ไม่มีอาหารกิน แล้วจะเอาความร้อนที่ไหนมาเป็นพลังงานทำลายล้าง
พวกนักวิชาการพลังงานมีคำกล่าวอยู่คำหนึ่งว่า “Heat Kill Energy” อันมีความหมายว่าความร้อนทำลายพลังงาน โดยนัยนี้หากมีภูตร้อนอยู่ในกายก็จะทำลายพลังงานจนไม่เหลือหรอแล้วตายไปในที่สุด ดังนั้นเมื่อทำลายตัวทำลายพลังงานคือภูตร้อนแล้ว อาหารที่กินเข้าไปก็จะเป็นปัจจัยยังชีวิตนี้ให้ดำเนินต่อไปได้ตามพระพุทธภาษิตอันมีมาในพระสูตรนั้นแล้ว
เกลือกับน้ำซึ่งเป็นผลิตผลของปฏิกิริยาระหว่างกรดกับด่างเป็นคนละส่วนกับการย่อยอาหาร และการสังเคราะห์อาหารของร่างกาย ซึ่งย่อมบังเกิดประโยชน์ตามปกติที่ได้รับอาหาร แต่ต้องระวังเรื่องเกลือกับน้ำให้ดี
เกลือมีผลกระทบต่อไต ดังนั้นคนที่เป็นโรคตับและกินอาหารจำพวกหยินจึงต้องลดอาหารที่มีความเค็มให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ไปเพิ่มภาระแก่ไต เพราะถ้าภาระเพิ่มมากๆ ไตก็วายแล้วตายได้เหมือนกัน เช่นเดียวกับน้ำ ซึ่งมีเพิ่มมากขึ้นก็ต้องเริ่มควบคุมการดื่มน้ำ แม้ว่าจะต้องเป็นไปในทางมากแต่ต้องไม่มากเกินไปเพราะอาจตายได้เหมือนกัน
ดังนั้นทุกวันจึงต้องหมั่นกดตามเนื้อตัวแข้งขาดูว่ามีรอยบุ๋มแล้วหายไปโดยเร็วหรือไม่ เพราะตรงนี้คือสัญญาณบอกเหตุว่ามีน้ำในเนื้อตัวมากเกินไปหรือยัง เพราะหากน้ำมาก เกลือมาก จนไตทำงานไม่ไหวก็จะทำให้เกิดอาการบวม กดแล้วไม่ค่อยยุบ ซึ่งเป็นสิ่งที่สังเกตได้ง่าย วัดได้ด้วยตนเอง
ถ้าบวมกดแล้วไม่ค่อยยุบก็ต้องรีบไปหาหมอ เขาก็จะให้ยาเพื่อแก้ปัญหานี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไร แต่ต้องรู้ต้องเข้าใจว่านี่มีมาแต่เหตุเพราะเกลือกับน้ำมากเกินไป และไตทำงานหนักเกินไป แล้วเรื่องอะไรจะไปเสียค่ายาหรือกินยาให้เมื่อยคอ เราก็ควบคุมตนเสียเองโดยการกินของเค็มแต่น้อยที่สุด ควบคุมการดื่มน้ำอย่าให้มากเกินไป แค่นี้ก็สบายแฮแล้ว
ทำอย่างนี้ไปสักพักร่างกายก็จะค่อยๆ ฟื้นตัว แต่ปัญหาอยู่ตรงที่สองสถาน สถานหนึ่งคือเบื่ออาหาร ไม่อยากกิน ซึ่งต้องฝืนด้วยความมีสติว่าอยากตายหรือไม่ เพราะถ้าไม่กินก็ตาย จึงต้องฝืนกิน กินๆ เข้าไปเถิด ชีวิตข้างหน้ายังมีเรื่องสนุกสนานอีกตั้งเยอะ ทำไมจะต้องรีบตายด้วยเล่า?
สถานสอง กินแล้วจะแน่น อืด เรอ ในขณะที่เคลื่อนไหวออกกำลังกายไม่ได้ ดีไม่ดีก็อยากจะอ้วกหรืออาเจียน ที่เกิดอาการเช่นนี้ก็เพราะภูตเหลืองกับภูตร้อนรุมเล่นงานนั่นเอง นี่แหละเขาเรียกว่าพยาธิหรือความเจ็บป่วย เมื่อเจ็บป่วยแล้วจะให้มันสบายอย่างไรได้ ก็ต้องทนกันบ้าง ต้องต่อสู้กันบ้าง มิฉะนั้นจะเรียกว่าไม่สบายได้อย่างไร
รวมความก็คือในเบื้องต้นก็จะต้องทนทุกข์ทรมานกับความแน่น ความอืด ความเรอ และความไม่สบายหลังการกินอาหารบ้างและก่อนการกินอาหารบ้างเป็นธรรมดา แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ชั่วคราวเท่านั้น เพราะถ้ากินได้รับรองว่าไม่เกิน 3 วันความเบื่ออาหารก็จะหมดไปเอง นี่เป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติชนิดหนึ่ง
วิธีแก้ไขง่ายๆ ก็คือการทำให้ผายลม แต่เมื่อออกกำลังกายไม่ได้ก็ยุ่งยากลำบากสักหน่อย ยิ่งกินหยูกกินยาอะไรไม่ได้ก็ยิ่งลำบากเพิ่มเข้าไปอีก แต่ก็พอมีข้อแนะนำดังนี้
(1) ต้องใช้วิธีหายใจเข้าช่วย พยายามหายใจลึกๆ หายใจเข้าจากปลายจมูกลงลึกไปถึงบริเวณสะดือ หรืออย่างน้อยก็ต้องเหนือกว่าสะดือไม่ต่ำกว่า 2 นิ้ว เพื่อนำอากาศหรือลมปราณอันบริสุทธิ์เข้าไปกดหรือดันหรือนวด ทำให้อาการแน่น อืด เฟ้อ เรอนั้นหายไป ซึ่งสังเกตได้จากการผายลม
ในอานาปานสติขั้นกายานุปัสสนาสติปัฏฐานขั้นที่ 2 ที่ให้มีสติกำหนดรู้การหายใจยาวจะมีประโยชน์ยิ่งในการขับลม ลองทำดูเถิดก็จะเห็นผลเป็นที่ประจักษ์ ครู่เดียวเท่านั้นก็จะผายลมปู้ดป้าดหรือไม่ก็จะเรอจนโล่งอกโล่งท้อง มีความสบายมากขึ้น
(2) เมื่อกะว่าอาหารย่อยเสร็จหรือเกือบเสร็จแล้ว คือหลังจากกินอาหารราว 3-4 ชั่วโมง หากยังมีความอืด แน่น เฟ้อ เรออยู่ ก็ลองคุกเข่าคว่ำหน้าลง เอาหน้าผากจรดพื้น ยกก้นให้สูงที่สุด ก็จะทำให้ลมเคลื่อนออกไปเป็นการผายลมตามหลักพละศาสตร์ธรรมดาๆ นั่นเอง โดยไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากมายนัก
ประการที่สาม การกำจัดภูตร้อนโดยตรง ซึ่งด้วยวิธีการหายใจและด้วยการคุกเข่าคว่ำหน้าลงนั้น ให้ลองสังเกตดูเถิดว่าเมื่อผายลมออกมาก อาการอืด แน่น เฟ้อ เรอก็จะบรรเทาลง อุณหภูมิในกายที่ร้อนจัดๆ ก็จะบรรเทาเบาบางลงด้วย แต่นั่นไม่ถึงที่สุดดอก มันยังมีความร้อนหรือที่ทางการแพทย์เรียกว่าไข้อ่อนๆ ดำรงอยู่ เพราะนั่นเป็นผลของการอักเสบ และเป็นการแสดงฤทธิ์เดชของภูตร้อน
แล้วอะไรเล่าจึงจะกำจัดภูตร้อนได้? ก็ต้องบอกว่าภูตก็คือผี ผีก็คือภูต ผีนั้นน่ะกลัวพระธรรม ไม่ได้กลัวหยูกยาเลย และพระธรรมในเรื่องนี้ก็มีอยู่เฉพาะแล้ว
ในบทว่าด้วยโพชฌงค์ ถัดจากสติสัมโพชฌงค์คือธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ คือการพิจารณาความเป็นจริงที่เป็นไปว่ามีความร้อนเกิดขึ้น ต้องระงับดับร้อนนั้นเสีย แล้วจะดับอย่างไร?
ทั้งยังปรากฏความมีมาในอานาปานสติสูตรขั้นกายานุปัสสนาสติปัฏฐานขั้นที่ 2 และขั้นที่ 3 ประกอบเข้ากันอย่างครบชุดสมบูรณ์อีกด้วย
ขั้นที่ 2 คือมีสติกำหนดการหายใจยาว เมื่อบรรลุแล้วก็จะก้าวสู่ขั้นที่ 3 คือมีสติ กำหนดรู้กองลมทั้งปวงว่าร่างกาย จิตใจ และลมปราณสัมพันธ์กันอย่างไร ส่งผลต่อกันอย่างไร
นี่คือพระธรรม อุ้งหัตถ์แห่งพระพุทธคุณและพระธรรมคุณนี่แหละที่จะกำจัดภูตร้อนได้ชะงัด
ก็ขอบอกความลับแห่งธรรมชาติไว้ ณ ที่นี้ว่าการกำหนดลมหายใจยาวลึกลงไปถึงสะดือนั้นจะระงับดับร้อนได้ภายในไม่เกิน 2 นาที ใครทำก็ได้ ทำเมื่อใดก็ได้ผลเมื่อนั้น นอนบนที่นอนร้อนจัดอยู่ดีๆ นี่แหละ พอกำหนดลมหายใจยาวแค่นาที 2 นาทีความร้อนนั้นก็หายไป ความร้อนในร่างกายที่ภูตร้อนเที่ยวเหยียบย่ำกระแทกกระทั้นอยู่นั้นจะสลายหายไปภายในประมาณ 2 นาทีที่กำหนดลมหายใจยาว
ไม่ว่าจะเป็นคนในลัทธิศาสนาไหนๆ หรือเพศวัยใดๆ ก็ตาม เมื่อปฏิบัติแล้วก็จะได้ผลอย่างเดียวกัน และผลที่ส่งสะท้อนลึกเข้าไปก็คือการทำลายภูตร้อน การทำลายการอักเสบทั้งมวล ทดลองดูเอาเองเถิดก็จะเห็นจริง คนเป็นโรคตับจึงอาจจัดว่าเป็นคนมีบุญก็ได้ เพราะจะสามารถสัมผัสกับอานุภาพของพระธรรมชัดเจนแจ่มแจ้งนัก
ในขณะที่กำหนดลมหายใจยาว เห็นความร้อนดับไปๆๆ ความเย็นเข้าแทนที่เป็นลำดับๆ ไป อาการอักเสบก็จะค่อยๆ ผ่อนคลายหายไปเป็นลำดับๆ การพิจารณาเห็นอยู่เช่นนั้น เจริญอยู่เช่นนั้น ย่อมได้ชื่อว่าเป็นการเจริญธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์
เมื่อเห็นผลจริงของพระธรรมในการกำจัดภูตร้อนก็ยิ่งเพิ่มความเพียรเพื่อทำให้ความไข้เร่งคลายหายไป การเจริญอยู่เช่นนี้ย่อมได้ชื่อว่าเป็นการเจริญวิริยะสัมโพชฌงค์
วิริยะสัมโพชฌงค์ที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมให้ผลมาก ภูตร้อนถูกกำจัดไปเป็นลำดับ ความสบายกาย สบายใจเกิดขึ้นเป็นลำดับ เห็นถึงความจริงแห่งพระธรรมเหมือนได้นั่งอยู่เบื้องหน้าพระตถาคตเจ้า ความปีติจนน้ำตาแทบหลั่งไหลก็จะเกิดขึ้น นี่เรียกว่าปีติสัมโพชฌงค์เป็นอันเจริญแล้ว
โพชฌงค์จะเจริญเป็นลำดับๆ ไปจนครบทั้งเจ็ดองค์ แล้วมีผลทำให้ไข้หนักสร่างหายดังที่ปรากฏความในพระสูตรและในพระปริตรนั้น.