xs
xsm
sm
md
lg

“ส้มเมืองแพร่”หมดยุคทอง ราคาร่วงเหลือ 0.5-6 บาท/กก.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แพร่ -หมดยุคทอง “ส้มเมืองแพร่” ล่าสุดปีนี้ราคาร่วงหนัก จนเหลือแค่ 0.5-6 บาท/กก.เท่านั้น จากเดิมส้มลูกใหญ่สุดขายได้หน้าสวนถึง 12 บาท/กก. แถมระบบขนส่งไม่เอื้อทำให้กระบวนการลำเลียงผลผลิตสู่มือผู้บริโภคแถบอินโดจีน ที่แม้มีความต้องการไม่อั้น เกิดปัญหาตลอดเวลา จนเกษตรกรส่วนใหญ่ต้องส่ายหน้าทำใจขายถูกแทนปล่อยให้เน่าคาสวน

รายงานข่าวจากจังหวัดแพร่ แจ้งถึงสถานการณ์ของเกษตรกรชาวสวนส้มในพื้นที่จังหวัดแพร่ ที่ประสบปัญหาราคาตกต่ำต่อเนื่องมากว่า 5 ปี โดยเฉพาะเกษตรกรในเขต อ.ลอง – อ.วังชิ้น จ.แพร่ ที่ถือเป็นแหล่งปลูกหลักของจังหวัด มีพื้นที่ปลูกกว่า 60,000 ไร่ ว่า ปีนี้ราคาผลส้มขนาดใหญ่ตั้งแต่เบอร์ 0 – 00 - 000 เป็นส้มขนาดใหญ่เหลือราคาจากสวนเพียง 6 บาทเท่านั้น ส้มเบอร์ 1 ราคา 5 บาท เบอร์ 2 ราคา 3 บาท เบอร์ 3 ราคาเพียง 2 บาทต่อกิโลกรัม

ส่วนส้มเบอร์ 4 เป็นส้มขนาดเล็กที่มีคุณภาพรสหวาน ราคากิโลกรัมละ 0.50 บาทเท่านั้น อีกทั้งจุดรับซื้อส้มหรือพ่อค้าคนกลางที่ตั้งจุดรับซื้ออยู่บริเวณสองข้างทางสายวังชิ้น - ศรีสัชนาลัย มากกว่า 20 ราย ที่รับซื้อส้มเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศเพื่อนบ้าน ยังคงปฏิเสธการรับซื้อส้มเบอร์ 4 เพราะสู้กับต้นทุนค่าขนส่งไม่ไหว ถึงแม้ว่าส้มขนาดดังกล่าวเป็นที่ต้องการของตลาดในประเทศเขมรและประเทศลาวอย่างมากก็ตาม

นางพร ใจกอง อายุ 54 ปี ชาวสวนส้มใน ต.แม่พุง อ.วังชิ้น จ.แพร่ เปิดเผยว่า มีสวนส้มอยู่ 10 ไร่ กำลังให้ผลผลิตอย่างน่าพอใจ ติดดกทุกต้น แต่ปรากฏว่าราคาตกมาอย่างหนัก ส้มขนาดใหญ่ที่เคยขายได้ 12 บาท/กก. ขณะนี้เหลือเพียง 6 บาทเท่านั้น ส่วนส้มขนาดปกติที่จำหน่ายในประเทศ คือส้มเบอร์ 1 เบอร์ 2 ปัจจุบันราคาตกเหลือเพียง กิโลกรัมละ 3 – 5 บาทเท่านั้น เกือบไม่คุ้มทุน

ตอนนี้ความหวังของชาวสวน มีเพียงการนำผลผลิตมารอจำหน่ายให้แก่พ่อค้าคนกลางที่ส่งไปจำหน่ายในประเทศเขมร -ลาว ซึ่งรับซื้อไม่อั้น ถึงแม้ว่าราคาจะตกก็ยังดีที่ได้ระบายส้มออกไปดีกว่าเน่าเสียอยู่ในไร่ แต่ขณะนี้รอการลำเลียงส้มไปยังประเทศเขมรกว่า 5 วันแล้วยังไม่ได้คิว

นายพินิจ อินทนนท์ พ่อค้าคนกลางรายหนึ่งที่ตั้งจุดรับซื้ออยู่ที่ ต.วังชิ้น อ.วังชิ้น จ.แพร่ เปิดเผยว่า ส้มปีนี้ผลผลิตดีมากทำให้ล้นตลาด แต่ไม่มีปัญหา ส่วนใหญ่กิจการของตนส่งไปจำหน่ายในประเทศเขมร ผ่านพ่อค้าคนกลางอีกทอดหนึ่ง ซึ่งมีการส่งมอบส้มกันที่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ติดเพียงว่าการลำเลียงส้มไปเขมรจะต้องส่งไปทางเรืออีกทอดหนึ่ง ซึ่งต้องส่งจำนวนมาก ๆ จึงจะคุ้ม แต่เราสามารถส่งส้มไปจากไร่ส้ม อ.วังชิ้นได้วันละ 1 คันรถบรรทุกขนาดใหญ่ปริมาณในการบรรทุกได้เพียง 15 ตันเท่านั้น

นอกจากนี้ การลำเลียงส้มจะต้องใช้รังพลาสติกจำนวนมากในการขนส่ง ซึ่งขณะนี้ประสบปัญหามากคือการส่งรับพลาสติกคืนล่าช้ามาก ทำให้ไม่มีรังในการบรรจุผลส้ม ทำให้ชาวสวนส้มต้องนำผลผลิตมานอนรอเข้าคิวรอรังพลาสติกในการบรรจุ และที่สำคัญการลำเลียงทางรถยนต์ทุกวันไม่สามารถนำส้มขนาดเล็กไปจำหน่ายได้ เนื่องจากอัตราค่าบรรทุกมีราคาสูงขึ้นตามต้นทุนน้ำมัน ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการที่ต้องหยุดรับซื้อส้มขนาดเล็ก เพราะจำหน่ายได้ไม่คุ้มค่าเดินทาง ทำให้สร้างปัญหาให้แก่ชาวสวนอย่างมาก

นายพินิจ กล่าวถึงทางออกว่า ความจริงแล้วทางการต้องออกมาช่วยก่อนที่ผลส้มจะแก่ ต้องมีการเตรียมการด้านการตลาด เช่น ควรมีการจำหน่ายน้ำมันในการขนส่งให้แก่ผู้ประกอบการในราคาต่ำ หรือการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มน้ำหนักในการขนส่งแต่ละเที่ยวให้มากพอได้จะทำให้มีกำไร ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลช่วยชาวประมง ช่วยชาวสวนลำไย แต่ไม่มีการช่วยเหลือชาวสวนส้มทำให้ประสบปัญหาเดียวกันทั่วประเทศไม่ใช่ที่ อ.วังชิ้น แต่ที่ปลูกส้มอื่นๆ ก็ประสบปัญหาด้วยเช่นกัน

“ผลผลิตส้มจะออกไปจนถึงเดือนมีนาคม ปีนี้คงไม่ต้องพูดถึงปัญหาตกอยู่กับเกษตรกรอย่างแน่นอน ถ้าทางการคิดจะแก้ไขต้องเร่งวางแผนดำเนินการ ตั้งแต่ก่อนผลส้มแก่ คือเริ่มตั้งแต่ต้นปี ของทุกปี”
กำลังโหลดความคิดเห็น