xs
xsm
sm
md
lg

ประชาธิปไตยย้อมแมว

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล

“ด.ช.อภิสิทธิ์มันเป็นทายาทเผด็จการ ... สนธิบอกมา
ประชาธิปัตย์มันจะพาเผด็จการครองเมือง รู้ไว้ซะ โง่หลาย”

“ไอ้ค_ายแ_กเงินจนเคยตัว ...
ไอ้ทักษิณแ_กบ้านแ_กเมือง เอาเงินภาษีประชาชนไปแจก
ไม่ผิดแต่ทำไมไม่กลับมาสู้คดี ...”

“สมัคร-นายกฯ-อีสาน ต้องรับผิดชอบ!”


(บทสนทนาของคนสามคนต่างกาละบนประตูส้วมในปั๊มน้ำมันปตท. บริเวณ ถนนพระราม 5)
.........................

เช้าวานนี้ (13 ก.พ.) ผมเปิดหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ นั่งอ่านคอลัมน์คนปลายซอยของคุณอาเปลว สีเงินตามกิจวัตรประจำวัน ในคอลัมน์วานนี้คุณเปลว สีเงินกล่าวถึงข่าวคราวเรื่องการชี้แจงสิทธิประโยชน์และค่าตอบแทนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งสรุปได้ดังนี้คือ ในแต่ละปีประชาชนต้องควักเงินจ่ายภาษีเพื่อเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นค่าเงินเดือนและค่าสวัสดิการให้บรรดา ส.ส.และผู้ช่วย-ที่ปรึกษา จำนวน 3,000 กว่าคนเป็นเงินมากกว่า 1,000 ล้านบาท นี่ยังไม่นับรวมกับงบประมาณที่จะต้องจ่ายเป็นเงินเดือน-สวัสดิการให้บรรดารัฐมนตรีทั้งหลายอีกหลายร้อยล้านบาท ...

เมื่อทราบข้อมูลดังนี้ คุณเปลว สีเงินก็ถามต่อว่า แล้วประชาชนชาวไทยได้อะไรกลับคืนมาบ้างจากการที่จะต้องจ่ายเงินภาษีจำนวนหลายพันล้านบาทเพื่อมาเลี้ยงดูปูเสื่อคนพวกนี้บ้าง?

... คำตอบคือ ประชาธิปไตยหรือเปล่า?

วานนี้ระหว่างการอ่านคอลัมน์ของคุณเปลว สีเงิน คอลัมนิสต์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนายของภาษา ผมก็ไปติดใจการใช้ศัพท์แสงของคุณเปลว สีเงินอยู่คำหนึ่งนั่นก็คือคำว่า “ย้อมแมวขาย”!

ความหมายของคำว่า “ประชาธิปไตยย้อมแมวขาย” ของคุณเปลว สีเงิน จะว่าไปก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกับคำว่า “ประชาธิปไตย 4 วินาที” ที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุลกล่าวถึงมาตลอด

กล่าวคือ สภาพการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย ณ วันนี้ เป็นประชาธิปไตยแต่เพียงรูปแบบเท่านั้น มิได้เป็นประชาธิปไตยที่ลงไปถึงเลือดเนื้อ เข้ากระดูกดำเหมือนกับประชาธิปไตยของชาวตะวันตก เพราะแต่ไหนแต่ไรมาประชาชนจะมีสิทธิ์มีเสียงจริงๆ ก็เฉพาะตอนที่หย่อนบัตรเลือกตั้งแล้วนับ 1-2-3-4 เท่านั้น พอบัตรเลือกตั้งหล่นลงไปในหีบบัตร รวมกับบัตรใบอื่นๆ แล้วทุกอย่างก็จบกัน

หลังการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 และมีการประกาศจัดตั้งรัฐบาลในอีกประมาณหนึ่งเดือนต่อมา ญาติผู้ใหญ่ พันธมิตรฯ หลายคนบ่นอุบกับผมว่า ถ้ารู้ว่านายบรรหาร ศิลปอาชาจะไปร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนก็คงไม่เลือกพรรคชาติไทยแล้ว! ขณะที่บางส่วนก็บอกว่า ถ้ารู้มาก่อนว่าพรรคมัชฌิมาธิปไตยจะไปเจรจาต้าอวยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็คงไม่กาบัตรลงคะแนนให้!

ถึงวันนี้ เมื่อเหตุการณ์พัฒนาไป ในสถานการณ์ที่ฝุ่นเลือกตั้งเริ่มจาง ทุกอย่างเริ่มมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น บรรดานักการเมืองหน้าไหว้-หลังหลอกต่างก็เริ่ม “ออกลาย” ให้ประชาชนได้เห็น

จากช่วงก่อนการเลือกตั้งที่ นายสมัคร สุนทรเวช ไม่เคยและไม่กล้าแม้ที่จะเอ่ยถึงการดึงนำเอาแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรี เข้ามาเป็นทีมโฆษกรัฐบาล มาถึงวันนี้ประชาชนก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น คือ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ชื่อจักรภพ เพ็ญแข และ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ (อาจจะ) ชื่อ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

จากช่วงก่อนการเลือกตั้งที่พรรคพลังประชาชนประกาศปาวๆ ไปทั่วประเทศ ว่าจะดำเนินนโยบายหลักประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรคต่อจากนโยบายของอดีตพรรคไทยรักไทย แต่ไม่เคยพูดถึงเรื่องของการยกเลิกการประกาศสิทธิเหนือสิทธิบัตรยา (Compulsory Licensing หรือ CL) ที่ นพ.มงคล ณ สงขลา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการไปแล้วแม้สักนิด มาถึงวันนี้บรรดาผู้ป่วยโรคมะเร็ง รวมถึงโรคร้ายแรงอื่นๆ กลับต้องอยู่ในภาวะตะลึงงัน เนื่องจากนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุขในโควตาของพรรคพลังประชาชน และสายตรงของนายใหญ่-นายหญิงนั้นกลับประกาศว่าจะดำเนินการทบทวนและอาจจะให้ยกเลิกการทำซีแอลยา โดยอ้างถึงการให้ความเป็นธรรมกับบริษัทยาต่างชาติ

จากช่วงก่อนการเลือกตั้ง (หรือกระทั่งไม่กี่วันก่อนนี้เองก็ตาม) ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ตกปากรับคำต่อหน้าสื่อมวลชนอย่างดีว่า ลูกชายของตัวเองทั้ง 3 คนจะไม่มีวันเข้ามารับตำแหน่งอะไรในรัฐบาล มาถึงวันนี้เราก็ได้ยินข่าวว่าบุตรชายคนรองของ ร.ต.อ.เฉลิม นายวัน อยู่บำรุงจะเข้ามารับตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถมยังจะได้เป็นพรีเซนเตอร์รณรงค์ให้ประชาชนเลิกเหล้า-เลิกบุหรี่

จากช่วงก่อนการเลือกตั้งที่นายวัฒนา อัศวเหม ประธานพรรคเพื่อแผ่นดินไม่มีแม้จะกล่าวถึงเรื่องของบุตรชายตัวเอง นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ที่เพิ่งมีเรื่องราวเมาสุราแล้วให้ลูกน้องรุมกระทืบตำรวจจราจร สน.มักกะสัน จนคดีถูกอัยการส่งขึ้นสู่ศาลไปเรียบร้อยแล้วนั้น มาถึงวันนี้สื่อมวลชนต่างก็ตีข่าวว่านายชนม์สวัสดิ์นั้นได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

ในเมื่อเป็นกันได้ถึงขนาดนี้แล้ว ก็ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้าพวกเราอาจจะได้เห็นกระทรวงการคลังภายใต้การกุมบังเหียนของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หยิบเอา ‘โอ๊ค’ พานทองแท้ ชินวัตร มาเป็นพรีเซนเตอร์รณรงค์ให้ประชาชนไปเสียภาษีก็เป็นได้ เพราะฤดูการรีดภาษีก็งวดเข้ามาแล้วและดูเหมือนว่ากรมสรรพากรยังจะไม่สามารถหาพรีเซนเตอร์ที่เหมาะสมได้

ในภาวะความโกลาหลในยุคของ ‘นายกรัฐมนตรีนอมินีและรัฐบาลหุ่นเชิด’ เช่นนี้ หลายคนเริ่มกลับมาพูดถึงคุณสนธิ ลิ้มทองกุล พูดถึงบรรดาแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกันหนาหูมากขึ้น ทั้งยังตั้งข้อสงสัยว่าทำไมพันธมิตรฯ ยังสามารถสงบนิ่งอยู่ได้?

คำตอบจากทางหัวเรือใหญ่อย่างคุณสนธิ ก็คือ ณ ปัจจุบันเป็นเวลาที่จะต้องสงบนิ่ง เวลาของการกลับมารักษาบาดแผลของตัวเองให้หายสนิท และเวลาของการใช้สติ-สมาธิ-ปัญญามองสถานการณ์ภายนี้และภายหน้าเพื่อให้ตกผลึกทางความคิดเสียก่อน ...

บางทีพวกเราก็ต้องเรียนรู้ว่าพวกเราไม่สามารถที่จะ “กินยาแทนคนไข้” ได้ และคงถึงเวลาที่จะต้องปล่อยให้เวลาทอดออกไป ปล่อยให้เหล่าบรรดาขุนนางในกลุ่มอำมาตยาธิปไตยส่วนหนึ่งได้เห็นโลงศพและหลั่งน้ำตากันเสียก่อน ปล่อยให้ชาวบ้าน-กลุ่มคนใช้แรงงาน-คนอีสานส่วนใหญ่ที่ชื่นชอบพรรคพลังประชาชนได้ทำความรู้จักกับ “ตัวตนที่แท้จริง” ของคนที่เขาลงคะแนนเลือกขึ้นมาให้เข็ดเสียก่อน ส่วนเหล่าชนชั้นกลางที่ผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาชี้ชัดว่าเป็นคนส่วนน้อยก็ต้องกลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินและประคับประคองชีวิตของตัวเอง ครอบครัวและคนรอบข้างให้รอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังถาโถมเข้ามา

บางทีคงถึงเวลาที่ชนชั้นกลางจะต้องรู้จักการวางอุเบกขา ปล่อยให้ “ประชาธิปไตย 4 วินาที-ประชาธิปไตยย้อมแมวขาย” ได้สุกงอมและถูกปลิดให้ร่วงลงจากโครงสร้างของสังคมไทย ด้วยตัวมันเองโดยธรรมชาติ.
กำลังโหลดความคิดเห็น