“ยามเฝ้าแผ่นดิน”ชี้ “หมัก”พลิ้วเลี่ยงตอบคำถาม “6ตุลาฯ”หวังกลบเกลื่อนคนรุ่นหลัง อึ้ง! ท่าทีคนเดือนตุลาฯ ยังเงียบฉี่ คาดสมยอมสมัครเรียบร้อยแล้ว มองเหตุการณ์เดือนตุลาฯ แค่จุดขายทางการเมือง พร้อมเผยรันเวย์สุวรรณภูมิร้าวต้องปิดซ่อม 50 วัน ยังไม่รู้สาเหตุ หวั่นปิดซ่อมอีกหลายรอบไม่สิ้นสุด “ปานเทพ”ฝากบอก “จักรภพ” ไม่ต้องมาเคลียร์ เตือนระวังถูกถอดพ้นเก้าอี้ รมต.ฐานแทรกแซงสื่อ
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงท่าทีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่บอกกับสำนักข่าวต่างประเทศ ว่า เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มีคนตายเพียงคนเดียว และเมื่อถูกถามอีกครั้งก็เฉไฉไปถามอายุผู้สื่อข่าว ว่า เป็นลีลาพลิ้วของนายสมัคร เพื่อให้หลุดรอดจากคำถามที่ไม่อยากตอบ เหมือนกับจะบอกว่าให้ลืมๆ กันไป คนรุ่นหลังไม่ต้องไปรู้เรื่องหรอก ทั้งที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเหตุการณ์ไว้ทุกขั้นตอน คนที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่ ญาติของคนที่เสียชีวิตก็ยังอยู่
อย่างไรก็ตามรู้สึกประหลาดใจกีบท่าทีนักการเมืองอดีตคนเดือนตุลาฯ ที่ไปเสวยสุขอยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ เช่น นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี , นายสุธรรม แสงประทุม , นายจาตุรนต์ ฉายแสง , นายพินิจ จารุสมบัติ และนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นไม่มีท่าทีหรือปฏิกิริยาตอบโต้ ไม่แสดงความคิดเห็นอย่างอื่น ซึ่งแสดงว่าคนเหล่านี้ยอมรับกับสิ่งที่นายสมัครพูด เป็นการแสดงความสมยอมหรือไม่
ทั้งนี้รู้สึกแปลกใจกับท่าทีอดีตคนเดือนตุลาฯ เหล่านั้นมาก ทั้งๆ ที่ก็เคยร่วมผ่านอดีต รู้อะไรเกิดขึ้น หรือว่าการไปร่วมรำลึก 6 ตุลาฯ ทุกปี เป็นเพียงแค่กิจวัตรที่ต้องทำ หรือมองแค่ว่าเหตุการณ์เดือนตุลาฯ สามารถเชิดหน้าชูตาให้กับตัวเองได้ ทำให้คนทั่วไปมองว่าตนเองมีความเสียสละจนประสบความสำเร็จทางการเมือง หากคิดเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาประวัติศาสตร์มาขาย หากปล่อยให้ผู้นำและอดีตคนเดือนตุลาฯ มาย้ำเรื่องนี้ต่อไป ไม่แปลกที่เด็กรุ่นใหม่จะเกิดความสงสัยกับประวัติศาสตร์ว่าแท้จริงเป็นอย่างไร
“หมัก”สั่งทบทวนเลขาฯ รมต.กลัวภาพขี้เหร่ซ้ำ
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี สั่งทบทวนการแต่งตั้งเลขานุการและที่ปรึกษารัฐมนตรี ว่า ทำไมครั้งนี้นายสมัคร ถึงยังไม่ให้ความเห็นชอบ หรือเป็นเพราะรายชื่อที่ถูกเสนอมานั้นขี้เหร่ เหมือนกับคณะรัฐมนตรี จึงเกิดความกังวล กลัวโดนวิพากษ์วิจารณ์ว่า มี ครม.ขี้เหร่แล้วยังมีเลขาฯ และที่ปรึกษารัฐมนตรีขี้เหล่อีก
ดังนั้นเชื่อว่านายสมัคร เองก็กลัวและเริ่มรู้สึกว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยน เพื่อให้เกิดภาพลักษณ์ดีขึ้น ไม่อยากให้เกิดข้อครหาขึ้นมาอีก โดยเฉพาะกรณีนายวัน อยู่บำรุง ลูกชาย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย และนายนายชมสวัสดิ์ อัศวเหม ลูกชายนายวัฒนา อัศวเหม ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อแผ่นดิน ถูกมองและวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม มิหนำซ้ำยังรู้สึกอดขำไม่ได้กับการนำนายวัน ไปเปรียบเหมือนองคุลีมาลกลับใจ
ส่วนการที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ออกมาการันตีพร้อมมั่นใจว่าบุตรชายนั้นจบการศึกษาในระดับปริญญาโท จึงมีความเหมาะสมนั้น ก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว หากคิดจะเอาปริญญาโทมาเป็นที่ตั้ง เนื่องจากคนจบปริญญาโทที่มีความสามารถและความเหมาะสมกว่านายวันมีอยู่อีกมาก ทำไมไม่เหลือบมองหรือดึงคนเหล่านั้นเข้ามาทำงาน
การเมืองไทยมักจะเป็นอย่างนี้ แต่ละพรรคการเมืองมักจะมีกลุ่มก้อนของตัวเอง เมื่อครั้นได้ขึ้นสู่ตำแหน่งก็พยายามให้อภิสิทธิ์ นำคนในความคุ้มครองของตัวเองมาได้ดิบได้ดี ลักษณะเช่นไม่แตกต่างอะไรหากจะนำไปเปรียบเทียบนักการเมืองเหล่านั้นเหมือนชนพื้นเมืองหรือชนเผ่า ที่มีหัวหน้าเผ่า การปกครองเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีกัน หวังเพื่อขึ้นสู่อำนาจของเผ่านั้นๆ ดูแล้วรัฐบาลจะอยู่ได้ไม่นานแน่นอน
“แม้ว”เริ่มกังวล “หมัก” เป็นตัวของตัวเอง
นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการ ยังมองว่า พรรคพลังประชาชนกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ โดยเฉพาะปัญหาแรงกระเพื่อม ผนวกกับการที่นายสมัคร เริ่มเป็นตัวของตัวเอง ส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าตื่นมาแล้วนายสมัครจะคิดอย่างไร ขณะเดียวกันนายสมัคร เองก็เริ่มรู้สึกไม่ดีที่สายตาทั่วโลกมองแค่เป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เหมือนเป็นสายตาที่ดูถูก ดังนั้นจึงพยายามแสดงความเป็นตัวของตัวเอง แสดงความสมารถ
อย่างไรก็ตามสัญญาณความเป็นตัวของตัวเองเริ่มมาตั้งแต่ความขัดแย้งเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีของนายชัย ชิดชอบ บิดาของนายเนวิน ชิดชอบ อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ต่อมาก็ยอมรับความขี้เหร่ของ ครม.และล่าสุดก็กล้าสั่งทบทวนการแต่งตั้งเลขานุการและที่ปรึกษารัฐมนตรี ส่งผลให้ความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชาชนเริ่มทวีคูณมากขึ้น กล้าที่จะส่งตัวเองให้เทียบเคียง พ.ต.ท.ทักษิณ นี่คือธรรมชาติของการเมืองที่แข่งแย่งชิงดีกันโดยไม่คำนึงถึงประเทศชาติ
รันเวย์สุวรรณภูมิ ซ่อมแล้วซ่อมอีก
ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงการปิดซ่อมรันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิว่า เป็นการปิดซ่อมด้านทิศตะวันออกระยะทาง 600 เมตร ใช้เวลา 50 วัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินบางเที่ยว ขณะที่การท่าอากาศยานฯ อ้างว่าเป็นการซ่อมเฉพาะชั้นแอสฟัลติก ไม่กระทบถึงโครงสร้างสนามบินที่ยังใช้การได้ดี
สำหรับปัญหารันเวย์สนามบินสุวรรณภูมินี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เคยกล่าวไว้ในรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ว่า จะมีการซ่อมแล้วซ่อมอีก ซึ่งจนขณะนี้ยังไม่มีใครตอบได้ว่าสาเหตุที่แน่ชัดที่ทำให้เกิดความเสียหายที่ผิวรันเวย์เกิดมาจากอะไร
ก่อนหน้านี้ เคยมีการปิดซ่อมแท็กซี่เวย์และหลุมจอดสนามบินสุวรรณภูมิมาแล้ว ซึ่งความเสียหายเกิดจากน้ำที่ซึมเข้ามาในพื้นคอนกรีต แต่ก็มีคำถามต่อว่าน้ำมาจากไหน มาจากดินเลน หรือระบบการควบคุมน้ำไม่ดี ซึ่งจนขณะนี้ก็ยังไม่มีใครตอบได้ ทำให้คาดว่าจะมีการซ่อมไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ และในอาคตอาจจะต้องมีการปิดทั้งรันเวย์ ถ้าไม่พบสาเหตุที่แท้จริง
ทั้งนี้ นายสนธิ เคยพูดในเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรที่สวนลุมพินี เมื่อปี 2548 ว่า ไม่เกิน 5 ปี รันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิจะทรุด เพราะมีการโกงตั้งแต่ขั้นตอนการถมทราย และหวังว่า พ.ต.ท.ทักษิณคงจะอยู่ดูความเสียหายที่เกิดขึ้น เว้นแต่จะไม่ได้อยู่ในประเทศ ต้องไปกินกาแฟอยู่ที่อังกฤษ
นอกจากนั้น ในช่วงหลังจากการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ ในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และมีปัญหาแท็กซี่ย์เวย์ทรุดเกิดขึ้น นายสนธิเคยเรียกร้องให้รัฐบาลยอมรับความจริงว่าสนามบินสุวรรณภูมิมีปัญหา และให้ปิดชั่วคราวเพื่อทำการตรวจสอบ เนื่องจากสิ่งที่เป็นความปลอดภัยของผู้โดยสารนั้นจะยอมไม่ได้ เมื่อดินทรุดที่แท็กซี่เวย์และหลุมจอดเครื่องบินแล้ว รันเวย์จะตามมา ถ้าดึงดันจนเกิดอุบัติเหตุ มีคนตาย รัฐบาลและ คมช.ในขณะนั้นต้องรับผิดชอบ
ฝากบอก “จักรภพ” ไม่ต้องมาเคลียร์
ต่อมา ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พูดเปรยๆ กับนักข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลว่าจะไปคุยทำความเข้าใจกับคนที่ชื่อ “ปานเทพ” ว่า ไม่แน่ใจว่านายจักรภพหมายถึงใคร เพราะคนที่ชื่อปานเทพนั้นมีอยู่หลายคน
ทั้งนี้ นายปานเทพกล่าวว่า หากนายจักรภพหมายถึงตนนั้น ก็อยากจะบอกว่า ไม่ต้องมาเคลียร์ เพราะที่ตนวิพากษ์วิจารณ์นายจักรภพไปนั้น เป็นการทำหน้าที่สื่อมวลชน เพราะนายจักรภพเป็นรัฐมนตรี หากทำอะไรไม่ถูกต้อง ตอนต้องวิพากษ์วิจารณ์ หากคิดว่าการวิพากษ์วิจารณ์ของตนไม่ถูกต้อง ก็ฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาทได้เลย
“แต่ถ้าจะมาแทรกแซง หรือมาเคลียร์ โดยหวังว่าผมจะไม่ทำหน้าที่นั้น ไม่ต้องหรอก”นายปานเทพ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า ท่าทีของนายจักรภพเริ่มอ่อนลงแล้ว เพราะวันนี้ได้พูดเป็นครั้งแรกว่า ไม่คิดจะแทรกแซงสื่อ หลังจากที่วันก่อนแสดงท่าทีขึงขังว่าจะจัดระเบียบสื่อ
ผู้ดำเนินรายการ ย้ำว่า นายจักรภพนั้นมีสิทธิที่จะถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีเพราะมีการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ หากยังคิดว่าตัวเองเป็นรัฐมนตรีแล้วจะทำอะไรก็ได้ หรือเหิมเกริมเหมือนกับตอนที่เป็นผู้นำม็อบ และอาจจะต้องเข้าคุกอีกรอบ หลังจากเคยเข้ามาแล้ว
ทั้งนี้ การกระทำและคำพูดของนายจักรภพที่ผ่านมา อาจจะเข้าข่ายทำผิดมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญ ในประเด็นสิทธิเสรีภาพในการคิด อ่าน เขียน และการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของบุคคล ซึ่งหากทำผิดมาตรานี้ ก็อาจจะถูกวุฒิสมาชิกยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งตามมาตรา 270 ได้ เพราะฉะนั้นนายจักรภพต้องอย่าคิดว่าเมื่อเป็นรัฐมนตรีแล้วจะใช้อำนาจอย่างไม่มีขอบเขตได้ เพราะบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญดังกล่าวผ่านการลงมติจากประชาชนแล้วย
นอกจากนี้ การที่จักรภพอ้างว่าสื่อไม่เป็นกลาง และจะเข้ามาทำให้เป็นกลาง แค่นี้ก็ถือว่าเป็นการแทรกแซงสื่อได้แล้ว เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้บอกว่าสื่อต้องเป็นกลาง มีแต่บอกว่าต้องให้เสรีภาพแก่สื่อให้มากที่สุด ไม่มีใครว่าหรอกหากจะให้มีพีทีวี หรือทีวีอีกกี่แห่ง แต่ประชาชนต้องมีสิทธิเต็มที่ในการที่จะเลือกที่ชมช่องใดก็ได้
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงท่าทีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่บอกกับสำนักข่าวต่างประเทศ ว่า เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มีคนตายเพียงคนเดียว และเมื่อถูกถามอีกครั้งก็เฉไฉไปถามอายุผู้สื่อข่าว ว่า เป็นลีลาพลิ้วของนายสมัคร เพื่อให้หลุดรอดจากคำถามที่ไม่อยากตอบ เหมือนกับจะบอกว่าให้ลืมๆ กันไป คนรุ่นหลังไม่ต้องไปรู้เรื่องหรอก ทั้งที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเหตุการณ์ไว้ทุกขั้นตอน คนที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่ ญาติของคนที่เสียชีวิตก็ยังอยู่
อย่างไรก็ตามรู้สึกประหลาดใจกีบท่าทีนักการเมืองอดีตคนเดือนตุลาฯ ที่ไปเสวยสุขอยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ เช่น นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี , นายสุธรรม แสงประทุม , นายจาตุรนต์ ฉายแสง , นายพินิจ จารุสมบัติ และนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นไม่มีท่าทีหรือปฏิกิริยาตอบโต้ ไม่แสดงความคิดเห็นอย่างอื่น ซึ่งแสดงว่าคนเหล่านี้ยอมรับกับสิ่งที่นายสมัครพูด เป็นการแสดงความสมยอมหรือไม่
ทั้งนี้รู้สึกแปลกใจกับท่าทีอดีตคนเดือนตุลาฯ เหล่านั้นมาก ทั้งๆ ที่ก็เคยร่วมผ่านอดีต รู้อะไรเกิดขึ้น หรือว่าการไปร่วมรำลึก 6 ตุลาฯ ทุกปี เป็นเพียงแค่กิจวัตรที่ต้องทำ หรือมองแค่ว่าเหตุการณ์เดือนตุลาฯ สามารถเชิดหน้าชูตาให้กับตัวเองได้ ทำให้คนทั่วไปมองว่าตนเองมีความเสียสละจนประสบความสำเร็จทางการเมือง หากคิดเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาประวัติศาสตร์มาขาย หากปล่อยให้ผู้นำและอดีตคนเดือนตุลาฯ มาย้ำเรื่องนี้ต่อไป ไม่แปลกที่เด็กรุ่นใหม่จะเกิดความสงสัยกับประวัติศาสตร์ว่าแท้จริงเป็นอย่างไร
“หมัก”สั่งทบทวนเลขาฯ รมต.กลัวภาพขี้เหร่ซ้ำ
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี สั่งทบทวนการแต่งตั้งเลขานุการและที่ปรึกษารัฐมนตรี ว่า ทำไมครั้งนี้นายสมัคร ถึงยังไม่ให้ความเห็นชอบ หรือเป็นเพราะรายชื่อที่ถูกเสนอมานั้นขี้เหร่ เหมือนกับคณะรัฐมนตรี จึงเกิดความกังวล กลัวโดนวิพากษ์วิจารณ์ว่า มี ครม.ขี้เหร่แล้วยังมีเลขาฯ และที่ปรึกษารัฐมนตรีขี้เหล่อีก
ดังนั้นเชื่อว่านายสมัคร เองก็กลัวและเริ่มรู้สึกว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยน เพื่อให้เกิดภาพลักษณ์ดีขึ้น ไม่อยากให้เกิดข้อครหาขึ้นมาอีก โดยเฉพาะกรณีนายวัน อยู่บำรุง ลูกชาย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย และนายนายชมสวัสดิ์ อัศวเหม ลูกชายนายวัฒนา อัศวเหม ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อแผ่นดิน ถูกมองและวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม มิหนำซ้ำยังรู้สึกอดขำไม่ได้กับการนำนายวัน ไปเปรียบเหมือนองคุลีมาลกลับใจ
ส่วนการที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ออกมาการันตีพร้อมมั่นใจว่าบุตรชายนั้นจบการศึกษาในระดับปริญญาโท จึงมีความเหมาะสมนั้น ก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว หากคิดจะเอาปริญญาโทมาเป็นที่ตั้ง เนื่องจากคนจบปริญญาโทที่มีความสามารถและความเหมาะสมกว่านายวันมีอยู่อีกมาก ทำไมไม่เหลือบมองหรือดึงคนเหล่านั้นเข้ามาทำงาน
การเมืองไทยมักจะเป็นอย่างนี้ แต่ละพรรคการเมืองมักจะมีกลุ่มก้อนของตัวเอง เมื่อครั้นได้ขึ้นสู่ตำแหน่งก็พยายามให้อภิสิทธิ์ นำคนในความคุ้มครองของตัวเองมาได้ดิบได้ดี ลักษณะเช่นไม่แตกต่างอะไรหากจะนำไปเปรียบเทียบนักการเมืองเหล่านั้นเหมือนชนพื้นเมืองหรือชนเผ่า ที่มีหัวหน้าเผ่า การปกครองเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีกัน หวังเพื่อขึ้นสู่อำนาจของเผ่านั้นๆ ดูแล้วรัฐบาลจะอยู่ได้ไม่นานแน่นอน
“แม้ว”เริ่มกังวล “หมัก” เป็นตัวของตัวเอง
นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการ ยังมองว่า พรรคพลังประชาชนกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ โดยเฉพาะปัญหาแรงกระเพื่อม ผนวกกับการที่นายสมัคร เริ่มเป็นตัวของตัวเอง ส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าตื่นมาแล้วนายสมัครจะคิดอย่างไร ขณะเดียวกันนายสมัคร เองก็เริ่มรู้สึกไม่ดีที่สายตาทั่วโลกมองแค่เป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เหมือนเป็นสายตาที่ดูถูก ดังนั้นจึงพยายามแสดงความเป็นตัวของตัวเอง แสดงความสมารถ
อย่างไรก็ตามสัญญาณความเป็นตัวของตัวเองเริ่มมาตั้งแต่ความขัดแย้งเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีของนายชัย ชิดชอบ บิดาของนายเนวิน ชิดชอบ อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ต่อมาก็ยอมรับความขี้เหร่ของ ครม.และล่าสุดก็กล้าสั่งทบทวนการแต่งตั้งเลขานุการและที่ปรึกษารัฐมนตรี ส่งผลให้ความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชาชนเริ่มทวีคูณมากขึ้น กล้าที่จะส่งตัวเองให้เทียบเคียง พ.ต.ท.ทักษิณ นี่คือธรรมชาติของการเมืองที่แข่งแย่งชิงดีกันโดยไม่คำนึงถึงประเทศชาติ
รันเวย์สุวรรณภูมิ ซ่อมแล้วซ่อมอีก
ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงการปิดซ่อมรันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิว่า เป็นการปิดซ่อมด้านทิศตะวันออกระยะทาง 600 เมตร ใช้เวลา 50 วัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินบางเที่ยว ขณะที่การท่าอากาศยานฯ อ้างว่าเป็นการซ่อมเฉพาะชั้นแอสฟัลติก ไม่กระทบถึงโครงสร้างสนามบินที่ยังใช้การได้ดี
สำหรับปัญหารันเวย์สนามบินสุวรรณภูมินี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เคยกล่าวไว้ในรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ว่า จะมีการซ่อมแล้วซ่อมอีก ซึ่งจนขณะนี้ยังไม่มีใครตอบได้ว่าสาเหตุที่แน่ชัดที่ทำให้เกิดความเสียหายที่ผิวรันเวย์เกิดมาจากอะไร
ก่อนหน้านี้ เคยมีการปิดซ่อมแท็กซี่เวย์และหลุมจอดสนามบินสุวรรณภูมิมาแล้ว ซึ่งความเสียหายเกิดจากน้ำที่ซึมเข้ามาในพื้นคอนกรีต แต่ก็มีคำถามต่อว่าน้ำมาจากไหน มาจากดินเลน หรือระบบการควบคุมน้ำไม่ดี ซึ่งจนขณะนี้ก็ยังไม่มีใครตอบได้ ทำให้คาดว่าจะมีการซ่อมไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ และในอาคตอาจจะต้องมีการปิดทั้งรันเวย์ ถ้าไม่พบสาเหตุที่แท้จริง
ทั้งนี้ นายสนธิ เคยพูดในเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรที่สวนลุมพินี เมื่อปี 2548 ว่า ไม่เกิน 5 ปี รันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิจะทรุด เพราะมีการโกงตั้งแต่ขั้นตอนการถมทราย และหวังว่า พ.ต.ท.ทักษิณคงจะอยู่ดูความเสียหายที่เกิดขึ้น เว้นแต่จะไม่ได้อยู่ในประเทศ ต้องไปกินกาแฟอยู่ที่อังกฤษ
นอกจากนั้น ในช่วงหลังจากการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ ในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และมีปัญหาแท็กซี่ย์เวย์ทรุดเกิดขึ้น นายสนธิเคยเรียกร้องให้รัฐบาลยอมรับความจริงว่าสนามบินสุวรรณภูมิมีปัญหา และให้ปิดชั่วคราวเพื่อทำการตรวจสอบ เนื่องจากสิ่งที่เป็นความปลอดภัยของผู้โดยสารนั้นจะยอมไม่ได้ เมื่อดินทรุดที่แท็กซี่เวย์และหลุมจอดเครื่องบินแล้ว รันเวย์จะตามมา ถ้าดึงดันจนเกิดอุบัติเหตุ มีคนตาย รัฐบาลและ คมช.ในขณะนั้นต้องรับผิดชอบ
ฝากบอก “จักรภพ” ไม่ต้องมาเคลียร์
ต่อมา ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พูดเปรยๆ กับนักข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลว่าจะไปคุยทำความเข้าใจกับคนที่ชื่อ “ปานเทพ” ว่า ไม่แน่ใจว่านายจักรภพหมายถึงใคร เพราะคนที่ชื่อปานเทพนั้นมีอยู่หลายคน
ทั้งนี้ นายปานเทพกล่าวว่า หากนายจักรภพหมายถึงตนนั้น ก็อยากจะบอกว่า ไม่ต้องมาเคลียร์ เพราะที่ตนวิพากษ์วิจารณ์นายจักรภพไปนั้น เป็นการทำหน้าที่สื่อมวลชน เพราะนายจักรภพเป็นรัฐมนตรี หากทำอะไรไม่ถูกต้อง ตอนต้องวิพากษ์วิจารณ์ หากคิดว่าการวิพากษ์วิจารณ์ของตนไม่ถูกต้อง ก็ฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาทได้เลย
“แต่ถ้าจะมาแทรกแซง หรือมาเคลียร์ โดยหวังว่าผมจะไม่ทำหน้าที่นั้น ไม่ต้องหรอก”นายปานเทพ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า ท่าทีของนายจักรภพเริ่มอ่อนลงแล้ว เพราะวันนี้ได้พูดเป็นครั้งแรกว่า ไม่คิดจะแทรกแซงสื่อ หลังจากที่วันก่อนแสดงท่าทีขึงขังว่าจะจัดระเบียบสื่อ
ผู้ดำเนินรายการ ย้ำว่า นายจักรภพนั้นมีสิทธิที่จะถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีเพราะมีการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ หากยังคิดว่าตัวเองเป็นรัฐมนตรีแล้วจะทำอะไรก็ได้ หรือเหิมเกริมเหมือนกับตอนที่เป็นผู้นำม็อบ และอาจจะต้องเข้าคุกอีกรอบ หลังจากเคยเข้ามาแล้ว
ทั้งนี้ การกระทำและคำพูดของนายจักรภพที่ผ่านมา อาจจะเข้าข่ายทำผิดมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญ ในประเด็นสิทธิเสรีภาพในการคิด อ่าน เขียน และการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของบุคคล ซึ่งหากทำผิดมาตรานี้ ก็อาจจะถูกวุฒิสมาชิกยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งตามมาตรา 270 ได้ เพราะฉะนั้นนายจักรภพต้องอย่าคิดว่าเมื่อเป็นรัฐมนตรีแล้วจะใช้อำนาจอย่างไม่มีขอบเขตได้ เพราะบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญดังกล่าวผ่านการลงมติจากประชาชนแล้วย
นอกจากนี้ การที่จักรภพอ้างว่าสื่อไม่เป็นกลาง และจะเข้ามาทำให้เป็นกลาง แค่นี้ก็ถือว่าเป็นการแทรกแซงสื่อได้แล้ว เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้บอกว่าสื่อต้องเป็นกลาง มีแต่บอกว่าต้องให้เสรีภาพแก่สื่อให้มากที่สุด ไม่มีใครว่าหรอกหากจะให้มีพีทีวี หรือทีวีอีกกี่แห่ง แต่ประชาชนต้องมีสิทธิเต็มที่ในการที่จะเลือกที่ชมช่องใดก็ได้