xs
xsm
sm
md
lg

ภารกิจศักดิ์สิทธิ์กับบทเรียนการกู้ชาติทางจิตวิญญาณของ ศรี อรพินโธ (ตอนที่ 44)

เผยแพร่:   โดย: ดร.สุวินัย ภรณวลัย

44. จิตศักดิ์สิทธิ์แห่งจตุคามรามเทพ (ต่อ)

หลักเมืองนครศรีธรรมราช
ที่สร้างขึ้นใหม่ใน พ.ศ. 2530 คงเป็นหลักเมืองเพียงหลักเดียวในโลกนี้ที่ เทวดา กับ มนุษย์ ร่วมมือกันรังสรรค์ขึ้นมาตามอำนาจของฟ้าดิน เมื่อถึงกำหนดเวลาแห่งยุค การสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชนี้ ถือได้ว่าเป็น ปรากฏการณ์ของฟ้าดิน ที่เกิดขึ้นและอยู่นอกเหนือความนึกคิดจิตใจของผู้คน เพราะมันเป็นพิธีกรรมที่ทั้งล้ำลึก และเร้นลับที่รู้เห็นกันเฉพาะ “จิตศักดิ์สิทธิ์” อย่าง องค์จตุคามรามเทพ กับ มนุษย์ ผู้กลายเป็นเครื่องมือรับใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เต็มตัวอย่าง พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล เท่านั้น

จะว่าไปแล้ว การสร้าง หลักเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อยี่สิบปีก่อนในอีกแง่มุมหนึ่งก็คือ หลักฐานที่เป็นรูปธรรมว่า “จิตศักดิ์สิทธิ์” ได้ “ลงมา” เพื่อช่วยผลักดันวิวัฒนาการของสังคมไทยให้รุดหน้าต่อไปอย่างเอาการเอางานแล้ว แต่จะมีใครสักกี่คนในแผ่นดินนี้ที่เข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญของปรากฏการณ์นี้ได้อย่างถ่องแท้

หลักเมืองนครศรีธรรมราช นี้ยังเป็นวัตถุธาตุที่มีชีวิตเพราะมี วิญญาณธาตุ ขององค์จตุคามรามเทพสถิตอยู่ภายใน โดยที่จตุคามรามเทพเป็นจิตศักดิ์สิทธิ์ที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่ดุจแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ และแสงดาวที่สามารถบันดาลให้เกิดสรรพสิ่งขึ้นในโลกตามกฎธรรมชาติ จิตศักดิ์สิทธิ์ดวงนี้ยังเป็น วิญญาณอมตะ ที่ไม่ดับสูญ และ เป็นดวงจิตที่ยังห่วงใยแผ่นดินบ้านเมือง และพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ตลอดมา โดยได้พยายามช่วยเหลือแก้ไขบรรเทาภัยพิบัติให้แก่บ้านเมืองมาโดยตลอด เพียงแต่กระทำอยู่เบื้องหลังโดยไม่เคยเปิดเผยให้ผู้ใดล่วงรู้

จุดเริ่มต้นของเรื่องราวแห่ง การอวตารขององค์จตุคามรามเทพ จักรพรรดิและเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งมหาอาณาจักรโบราณอย่างอาณาจักรศรีวิชัยเกิดขึ้นจากบุคคลเพียงคนเดียวคือ พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล นายพลตำรวจตงฉินผู้โด่งดังทั้งในด้านความเป็นมือปราบฝีมือดี และในด้านของวิชาดาราศาสตร์กับโหราศาสตร์ ถ้าไม่มีนายตำรวจท่านนี้ก็ย่อมไม่มีใครรู้จักจตุคามรามเทพ และคงไม่มีใครเป็นหลักสำคัญในการสร้าง หลักเมืองนครศรีธรรมราช ที่มีความเกี่ยวโยงกับ ดวงชะตาของบ้านเมืองในยุคปัจจุบัน อย่างคาดไม่ถึง

พล.ต.ท.สรรเพชญ เป็นนายตำรวจที่มีความสนใจในเรื่องราวเหนือธรรมชาติมาเป็นเวลานานแล้ว เขาจึงรับรู้ รหัสแห่งฟ้า ได้ว่าจะเกิดปรากฏการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อบ้านเมืองอย่างรุนแรงใน พ.ศ. 2531 ที่เรียกว่า “ราหูอวตาร” แต่ทว่าตัวเขาก็ได้แค่รับรู้เท่านั้น เพราะตัวเขาเองก็ไม่ทราบว่า จะหาหนทางแก้ไขหรือบรรเทาความรุนแรงให้ลดลงได้อย่างไร

แต่แล้วใน พ.ศ. 2528 เมื่ออธิบดีกรมตำรวจยุคนั้นได้สั่งการให้เขาย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจภูธร จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อจัดการกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่นั่นในช่วงนั้น อันเนื่องมาจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์กับกลุ่มอิทธิพลมืดท้องถิ่น นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ พล.ต.ท.สรรเพชญ ได้พบกับ จตุคามรามเทพ โดยผ่าน การเข้าทรง โดยในตอนแรกเป็นการเข้าทรงของ เจ้าแม่นางพระยา ก่อนที่ลงมาบอก พล.ต.ท.สรรเพชญ ว่า จิตศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนรอเขามาตั้งพันปีแล้ว เพราะมีธุระสำคัญ เนื่องจากเบื้องบนรู้ดีว่า พล.ต.ท.สรรเพชญ มีดวงเมืองนครศรีธรรมราช มิหนำซ้ำตัวเขายังรู้อีกว่า ดวงเมืองนครศรีธรรมราชนี้ถูกสาปไว้ใน พ.ศ. 1830 แล้วทำไมจึงไม่ช่วยแก้ไข

เมื่อ พล.ต.ท.สรรเพชญ บอกไปว่า ไม่รู้ว่าจะแก้ไขได้อย่างไร เจ้าแม่นางพระยา ก็ตอบว่า สามารถแก้ได้ด้วยการสร้างหลักเมืองศรีวิชัย 12 นักษัตรขึ้นมาใหม่ภายใน พ.ศ. 2531 ก่อนที่จะเกิด “ราหูอวตาร” บ้านเมืองถึงจะพ้นคำสาป แต่แม้กระนั้น พล.ต.ท.สรรเพชญ ก็ยังไม่รับปาก เพราะเขาเป็นตำรวจ การสร้างหลักเมืองไม่ใช่หน้าที่ของเขา เจ้าแม่นางพระยา จึงบอกว่า ถ้าเขาไม่ทำแล้วใครจะทำ วันนี้ยังไม่รับปากก็ไม่เป็นไร วันหลังให้มาพบกันใหม่ พร้อมกับกระซิบบอก คาถา สำหรับสื่อสารติดต่อกัน แต่ให้ปิดไว้เป็นความลับอย่าให้ใครรู้ จากนั้น เจ้าแม่นางพระยา ก็ออกจากร่างทรงไป

หลังจากนั้นไม่นานนัก พล.ต.ท.สรรเพชญ พยายามจะพบกับ เจ้าแม่นางพระยา อีก แต่หาคนทรงเดิมไม่พบ เขาไม่ลดละความพยายามจึงให้พรรคพวกไปตามหา ร่างทรงคนใหม่ ปรากฏว่าได้นายอะผ่อง สกุลอมร หรือโกผ่องมาเป็นร่างทรงให้ เพื่ออัญเชิญดวงวิญญาณของ เจ้าแม่นางพระยา ให้มาประทับทรงอีกครั้งตามที่เคยตกลงกัน

แต่คราวนี้ผู้ที่มาประทับในร่างทรงกลับไม่ใช่ เจ้าแม่นางพระยา แต่เป็นผู้ที่เรียกตนเองว่า “พญาชิงชัย” ซึ่งก็บอกกับเขาในทำนองเดียวกันว่า มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้น ที่จะสร้างหลักเมืองศรีวิชัย 12 นักษัตรได้ คนอื่นไม่มีทางทำได้ เพราะดวงชะตาไม่ถึง และฟ้าดินไม่ได้ลิขิตให้มาทำ

หลังจากนั้นเป็นต้นมา พล.ต.ท.สรรเพชญ ก็หาสถานที่แห่งใหม่เพื่อทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณมาประทับทรงอย่างเป็นกิจจะลักษณะที่โกดังแห่งหนึ่งในตอนกลางคืนเกือบทุกคืน โดยมีนายอะผ่องเป็นร่างทรงประจำ มีอยู่คืนหนึ่งผู้ที่เข้ามาประทับในร่างทรงกลับเป็น องค์จตุคามรามเทพ ซึ่งจากการสนทนาทำให้คาดเดาได้ว่า น่าจะเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาวิญญาณที่เคยพบมาแล้ว แต่ในขณะนั้น ไม่มีใครได้พบได้สัมผัสกับ องค์จตุคามรามเทพ มาก่อน ตัว พล.ต.ท.สรรเพชญ เองก็ไม่รู้ว่า จตุคามรามเทพ เป็นใคร มาจากไหน

***
จากการสนทนากับดวงวิญญาณที่เรียกตัวเองว่าคือ จตุคามรามเทพ ทำให้ พล.ต.ท.สรรเพชญ จับความได้ว่า แท้ที่จริงแล้ว จตุคามรามเทพ เคยเป็นกษัตริย์สมัย อาณาจักรศรีวิชัย ที่รักบ้านรักเมือง รักพุทธศาสนา ท่านเคยเป็นผู้บูรณะพระธาตุนครศรีธรรมราชมาก่อน จากนั้นก็ขยายอำนาจออกไปยังเมืองต่างๆ ครอบคลุมพื้นที่ในประเทศพม่า ไทย ลาว เขมร เวียดนาม มาเลเซีย และหมู่เกาะในทะเลใต้ อาณาจักรศรีวิชัย จึงเคยเป็นชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ยั่งยืนอยู่เป็นเวลานานกว่า 600 ปี ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12-พุทธศตวรรษที่ 18 ก่อนที่จะล่มสลายกลายเป็นประเทศน้อยใหญ่ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน

พล.ต.ท.สรรเพชญ ยังได้รับทราบอีกว่า ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ จตุคามรามเทพ ท่านเคยตั้งจิตอธิษฐานขอเป็น พระโพธิสัตว์ ท่านจึงรักในการปฏิบัติธรรม และการบำเพ็ญเพียรทางจิต อีกทั้งยังได้ร่ำเรียนศาสตร์เร้นลับแห่งอาณาจักรศรีวิชัยจนเจนจบ ดังนั้นเมื่อท่านเสด็จสวรรคตแล้ว ดวงวิญญาณของท่านจึงกลายมาเป็น “จิตศักดิ์สิทธิ์” ที่ยังคงมีความห่วงใยบ้านเมืองนี้อยู่

***

อาณาจักรศรีวิชัย เป็นอาณาจักรที่ตั้งอยู่ตอนใต้บริเวณที่เป็นแหลมมลายู อาณาจักรศรีวิชัย นี้ทางจีนเรียกว่า ซี-ลิ-โฟ-ซิ ซึ่งน่าจะแผลงมาจากคำว่า ศรีโพธิ์ เพราะฉะนั้น อาณาจักรศรีวิชัย จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อาณาจักรศรีโพธิ์ หรือจะพูดให้ถูกต้องยิ่งขึ้นก็คือ ชื่อดั้งเดิมจริงๆ ของอาณาจักรศรีวิชัยก็คือ อาณาจักรศรีโพธิ์ นั่นเอง

อนึ่งคำว่า ซิ-ลิ-โฟ-ซิ (ศรีโพธิ์) เป็นคำที่ทางการจีนเรียกชื่อ อาณาจักรศรีวิชัย ในสมัยราชวงศ์ถัง แต่ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ้องเป็นต้นมา ทางการจีนกลับเรียกชื่อ อาณาจักรศรีวิชัย ว่า ซาน-โฟ-ชิ ซึ่งน่าแผลงมาจากคำว่า “สานโพธิ์” ซึ่งหมายถึงอาณาจักรแห่งการสืบสานพระพุทธศาสนา

อาณาจักรศรีโพธิ์ (พ.ศ. 1202-พ.ศ. 1758) หรือ อาณาจักรศรีวิชัย นี้คือ อาณาจักรของชนชาติไทยเมื่อ 1,300 กว่าปีก่อน! ความจริงที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้กันก็คือ ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยนั้นยาวไกลกว่าที่คนไทยส่วนใหญ่รับรู้มากนัก แท้ที่จริงแล้ว ประวัติศาสตร์ชาติไทยมิได้เริ่มต้นในสมัยสุโขทัยเมื่อ 700 ปีก่อนเหมือนอย่างที่เคยสอนกันในห้องเรียนหรอก แต่มันสามารถสืบสาวย้อนหลังไปได้ถึง อาณาจักรศรีวิชัย เมื่อ 1,300 กว่าปีก่อน

นี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พอเข้าใจได้ว่า เพราะเหตุใดองค์จตุคามรามเทพถึงต้องออกมาร่วม “กู้ชาติ” ด้วยในการต่อสู้ของภาคประชาชนกับระบอบทักษิณในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2548-2549 เพราะประเทศนี้สืบเชื้อสายมาจาก อาณาจักรศรีวิชัย ของท่าน และผู้คนในแผ่นดินนี้ก็คือลูกหลานของท่าน

ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าใจอย่างยิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ ประวัติความเป็นมาของชาติตนเอง การเรียนการสอนในโรงเรียนก็รวบรัดตัดตอนแต่เพียงว่า กรุงสุโขทัยเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของอาณาจักรไทย พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัยขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1800 คือมีอายุแค่ 700 กว่าปีเท่านั้น จึงมีผู้คนน้อยนักที่จะรู้ว่า เมื่อ 1,300 กว่าปีก่อน จักรวรรดิศรีวิชัย เคยแผ่ขยายอำนาจเข้าครอบครองผืนแผ่นดินคาบสมุทรอินโดจีน และมวลหมู่เกาะทะเลใต้ไว้ได้ทั้งหมด อีกทั้งยังมีแสนยานุภาพทางกองทัพเรือควบคุมเส้นทางการค้าในมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิกสืบทอดอำนาจยาวนานกว่า 600 ปี ก่อนที่จะล่มสลายไปแบบแทบไร้ร่องรอย

ศูนย์กลางของ อาณาจักรศรีวิชัย มิได้อยู่ที่เมืองปาเล็มบัง เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย เหมือนอย่างที่ ศาสตราจารย์ยอร์ซ เซเดส์ เคยสันนิษฐานไว้หรอก เพราะนั่นเป็นการประมวลโดยใช้แค่หลักศิลาจารึกวัดเสมา เมืองนครศรีธรรมราชเป็นหลักเท่านั้น ในขณะที่งานศึกษาของ นักวิจัยไทยรุ่นหลัง อย่าง คุณเสนีย์อนุชิต ถาวรเศรษฐ ซึ่งได้ใช้เวลาสิบๆ ปีรวบรวมหลักฐานต่างประเทศ และในประเทศที่ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับ อาณาจักรศรีโพธิ์ (ศรีวิชัย) ซึ่งมีตั้งแต่จดหมายเหตุของจีน จดหมายเหตุอาหรับ ศิลาจารึกที่พบในประเทศอินโดนีเซีย ศิลาจารึกที่พบในประเทศอินเดีย ศิลาจารึกและบันทึกต่างๆ ที่พบในประเทศศรีลังกา และศิลาจารึกต่างๆ ที่พบในประเทศเขมร ประเทศเวียดนาม และในประเทศไทยมาทำการประมวลสังเคราะห์ จนสามารถได้ข้อมูลและภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องราวของ อาณาจักรศรีโพธิ์ อย่างค่อนข้างแจ่มชัดอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน โดยเฉพาะเรื่องราวของ อาณาจักรศรีโพธิ์ ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 1202-พ.ศ. 1230 ซึ่งทำให้ได้ข้อสรุปว่า อาณาจักรศรีโพธิ์มีศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณภูเขาสุวรรณบรรพต ท้องที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี มิใช่อยู่ที่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย เหมือนอย่างที่นักประวัติศาสตร์ชาติตะวันตกสายกระแสหลักพยายามยัดเยียด ความเชื่อ นี้ให้ ทั้งๆ ที่ “ความเชื่อ” นี้มันขัดแย้งกับ “ข้อมูลใหม่” ที่ค้นพบหลังจากนั้น

การอ้างว่าเมืองปาเล็มบังเป็นที่ตั้งของศูนย์กลางอำนาจรัฐของ อาณาจักรศรีโพธิ์ หรือ อาณาจักรศรีวิชัย มาก่อน ก็เพื่อที่จะอ้างว่า ดินแดนทางใต้ของไทยเป็นเมืองขึ้นของประเทศอินโดนีเซียมาก่อน จึงได้มีความพยายามสร้าง “ความชอบธรรม” และก่อกระแสที่จะยึดครองดินแดนภาคใต้ของประเทศไทยไปเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกมาแล้ว ในสมัยการล่าอาณานิคม นั่นเอง (ยังมีต่อ)
กำลังโหลดความคิดเห็น