xs
xsm
sm
md
lg

เผยเสียงตวาดจากฮ่องกง “เป็นนายกฯ 2 วันฟังไม่รู้เรื่อง” ย้ำแนวทางพันธมิตรฯ ให้ความรู้ ปชช.–เย้ย “พลังแม้ว” คนไม่เอา 20 ล้านเสียง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“ยามเฝ้าแผ่นดิน” เผยเสียงตวาดจากฮ่องกง ไม่พอใจ “สมัคร”เกี้ยเซี้ยกองทัพ ลั่น “เป็นนายกฯได้ 2 วัน ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง” จับตา “นพดล” นั่งกระทรวงบัวแก้ว สั่งทูตอำนวยความสะดวกครอบครัวชินวัตร ยันแนวทางใหม่พันธมิตรฯ ต่างคนต่างทำหน้าที่ เน้นให้ความรู้ประชาชนเป็นธงนำ เย้ย “พลังแม้ว”ย้อนดูตัวเอง คนไม่เอาถึง 20 ล้านเสียง

รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 5 กุมภาพันธ์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ โดยในช่วงแรกได้กล่าวถึงปรากฏการณ์ที่อาจแสดงให้เห็นถึงความไม่ปกติของบ้านเมือง คือการที่“ตัวเงินตัวทอง” 2 ตัวผสมพันธุ์กันภายในสระน้ำหลังตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลในช่วงที่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช กำลังจะเข้ารับตำแหน่ง โดยก่อนหน้านั้น เมื่อครั้งนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รัฐสภา ก็มีกาฝูงใหญ่ส่งเสียงร้องดังระงมไปทั่ว

ต่อมา ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลโดยการนำของพรรคพลังประชาชนประกาศจะฟื้นนโยบายประชานิยม ว่า นโยบายประชานิยม เป็นเพียงเครื่องมือหาเสียงทางการเมืองของพรรคไทยรักไทยและรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร เท่านั้น รัฐบาลทำให้ประชาชนเป็นเพียงผู้บริโภคสินค้า ต้องจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิต ตลอดทั้งมีครัวเรือนจำนวนน้อยมากที่นำเงินที่ได้หรือกู้ไปลงทุน ไม่ได้สร้างวินัยให้กับผู้บริโภค ดังนั้นนโยบายประชานิยมจึงเพียงเป็นนโยบายเชิงการตลาด และทำให้ประชาเสพติดกับการเป็นหนี้ แล้วรอให้รัฐบาลใหม่มาช่วยเหลือต่อ

นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการ มองว่า รัฐบาลจะประสบปัญหาในการแก้ไขเศรษฐกิจ โดยเฉพาะล่าสุดขนาดยังไม่ได้ทำงาน ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลก็เริ่มมีปัญหา มีการแย่งชิงหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ก่อนการเลือกตั้งพรรคพลังประชาชนชูนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เป็นหัวหน้าทีมมา แต่ภายหลังมีชื่อ นพ.สุรพงศ์ สืบวงศ์ลี สอดแทรกขึ้นมา สร้างความขัดแย้งขึ้นภายในพรรค จนนายสมัคร ต้องมานั่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเสียเอง เพื่อลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในพรรค

อย่างไรก็ตามท่าทีของนายสมัครวันนี้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำตาม พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ในหลายเรื่องโดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรี นายสมัครก็ปรับเปลี่ยนตามสิทธิ์ นอกจากนี้ยังมานั่งควบ รมว.กลาโหม เพื่อการันตีว่าจะไม่มีการทำรัฐประหารในรัฐบาลตัวเอง และพยายามประนีประนอมกับทหาร โดยเฉพาะท่าทีกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่เกื้อกูลกันกับนายสมัคร ซึ่งการกระทำในครั้งนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้กับคนที่อยู่ฮ่องกงเป็นอย่างมาก ถึงกับมีเสียงจากฮ่องกงหลุดมาว่า “เป็นนายกฯได้ 2 วัน ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง”

อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งไปคาดหวังว่า นายสมัครจะแตกหัก กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะอาจสามารถต่อรองกันได้ เนื่องจากนายสมัครมีอำนาจยุบสภา มีอำนาจปรับ ครม. และมีอำนาจที่จะพูดผ่านสื่อ

จับตา “นพดล”สั่งทูตเอื้อตระกูลชินฯ – คืนพาสปอร์ตแดง “แม้ว”

ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการได้ตั้งข้อสังเกตกรณีการตั้งนายนพดล ปัทมะ ทนายความของครอบครัวชินวัตร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศว่า อาจไม่ใช่ประเด็นการนำเสนอข้อมูลข่าวาสารการต่อสู้ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่อต่างประเทศ หรือเรื่องผู้ร้ายข้ามแดน แต่อยากให้จับตาดูว่า นายนภดลจะใช้อำนาจสั่งการให้สถานทูตในประเทศต่างๆ เอื้ออำนวยต่อครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นพิเศษหรือไม่ และ พ.ต.ท.ทักษิณจะได้พาสปอร์ตสีแดง(หนังสือเดินทางสำหรับนักการทูต) กลับคืนหรือไม่ หลังจากถูกยกเลิอกในช่วงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ภายหลังการรัฐประหาร

บทบาทใหม่พันธมิตรฯ ให้ความรู้เป็นธงนำ

ต่อมาผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงการพบปะกันของอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันครบรอบ 2 ปีของการเริ่มต้นชุมนุมกู้ชาติว่า อดีตแกนนำหลายคน อาทิ นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นายเทอดภูมิ ใจดี เป็นต้นได้มาพูดคุยกันที่บ้านพระอาทิตย์ โดยมีนายสุริยะใส กตะศิลา เป็นผู้ประสาน

นายปานเทพกล่าวว่า ตนอยู่ร่วมการพูดคุยดังกล่าวด้วย และเห็นว่า การที่นายสุทิน คลังแสง กรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนอ้างว่า หากพันธมิตรฯ จะเคลื่อนไหวอีก ประชาชนจะไม่ให้ความร่วมมืออีกนั้น แสดงว่านายสุทินยังอ่อนด้อยในเรื่องความรู้ทางการเมืองเป็นอย่างมาก

นายปานเทพกล่าวว่า หากมองย้อนกลับไปตอนที่พรรคไทยรักไทยมีอำนาจมากที่สุดนั้นเคยมีถึง 19 ล้านเสียง จากการเลือกตั้งปี 2548 แต่หลังจากนั้นมีการเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย.49 พรรคไทยรักไทยคะแนนลดลงเหลือ 16 ล้านเสียง และเมื่อผ่านไปเรื่อยๆ จนการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา พรรคไทยรักไทยซึ่งเปลี่ยนมาเป็นพรรคพลังประชาชนเหลือคะแนนเพียง 12 ล้านเสียง ซึ่งการที่เสียงหายไป 7 ล้านเสียง จะถือเป็นความพ่ายแพ้หรือไม่

“7 ล้านคะแนนที่หายไปคือเรื่องใหญ่ ถ้าอย่างนี้ แล้วจะมาบอกว่าพันธมิตรฯ ล้มเหลว ถือว่าไม่เป็นธรรม ยิ่งถ้าดูจำนวนประชาชนที่มาใช้สิทธิเมื่อวันที่ 23 ธันวาฯ ทั้งหมด 32 ล้านเสียง พรรคพลังประชาชนได้คะแนนระบบสัดส่วนเท่าๆ กับพรรคประชาธิปัตย์คือ 12 ล้านเสียง เท่ากับว่า ฝ่ายที่ไม่เอาพรรคพลังประชาชนนั้นมีถึง 20 ล้าน”

นายปานเทพกล่าวว่า หากดูตามผลคะแนนที่ออกมาเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.เท่ากับว่าประชาชนได้กลับขั้วจากที่เคยเลือกไทยรักไทย 19 ล้านเสียง มาเป็นไม่เอาพลังประชาชน 20 ล้านเสียง เพราะประชาชนที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์และพรรคการอื่นนั้นเพราะเขาคิดว่าพรรคเหล่านั้นจะไม่ร่วมกับพรรคพลังประชาชน เพียงแต่มากลับคำภายหลังเท่านั้น

“ที่บอกว่าประชาชนไม่เอาด้วยกับพันธมิตรฯ นั้น ถือเป็นการดูหมิ่น ดูแคลนความรู้สึกและสติปัญญาของคนจำนวนมาก อยากให้คุณสุทินช่วยคิดก่อนพูดด้วย และให้ย้อนดูพรรคพลังประชาชนเอง คะแนนเสียงที่มีอยู่ตอนนี้ ถือว่าตกต่ำในเชิงปริมาณแล้ว” ผู้ดำเนินรายการกล่าว

สำหรับการพูดคุยของอดีตแกนนำพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมานั้น ได้คุยกันถึงกระบวนการของประชาชนในอนาคตจะว่าควรจะเป็นอย่างไร ซึ่งพันธมิตรฯ เห็นว่า หน้าที่ของเราคือการทำให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารให้มากขึ้น ทั้งนี้ หากดูจากคะแนนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา จะเห็นว่าในเขต 1 และเขตเทศบาลของแต่ละจังหวัด พรรคพลังประชาชนได้คะแนนน้อยมาก เพราะในพื้นที่เหล่านี้ประชาชนมีดอกาสรับรู้ข้อมูล

“เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราคือต้องช่วยกันนำข้อมูลข่าวสารเผยแพร่ออกสู่ประชาชนให้มากที่สุด ใครเป็นเอ็นจีโอ ก็เป็นเอ็นจีโอที่เปิดโปงความเน่าเฟะของรัฐบาล ใครทำหน้าที่สื่อ ก็เป็นปลาซิวที่ไล่ตอดจระเข้ เจอแผลที่ไหนเข้าตอดทันที รวมทั้งให้มีบทบาทสนับสนุนนักการเมืองที่มีคุณภาพ ทั้งนักการเมืองท้องถิ่น ส.ส. หรือ ส.ว. ใครที่มีจิตบริสุทธิ์ เราต้องเข้าไปช่วยอย่างเต็มที่” ผู้ดำเนินรายการกล่าว

ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อว่า เป้าหมายที่จะให้ข้อมูลนั้นไม่ใช่แค่ประชาชนในเขต 1 อย่างเดียว เพราะคนที่พร้อมจะไม่เอาระบอบทักษิณนั้นมีอยู่ทั่วไป เพียงแต่ยังรอเวลา และรอข้อมูล ผลเลือกตั้งที่ออกมาน่าผิดหวัง แต่นั่นก็เป็นปัญหาด้านข้อมูลข่าวสาร ที่ประชาชนยังหลงเชื่อนักการเมืองและยังรับอามิสสินจ้าง หรือได้ข้อมูลที่บิดเบือนไป ถ้าเราสามารถนำข้อมูลออกไปเผยแพร่ให้เต็มที่ ก็มีโอกาสสูง เช่นกรณีที่จังหวัดชลบุรี เป็นต้น

“หลังจากนี้ การเคลื่อนไหวของประชาชนจะไม่เหมือนเดิม นักการเมืองอย่าเหิมเกริม ถ้าทำไม่ถูกทำนองครองธรรม ประชาชนพร้อมลุกขึ้นมาเสมอ ให้คิดดูว่า 20 ล้านเสียงที่ไม่เอาพรรคพลังประชาชนนั้น ถ้าอยากจะทำอะไรก็ลองดู”

ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อว่า บทบาทของพันธมิตรฯ แต่ละคนหลังจากนี้ คือการให้ข้อมูลข่าวสารเป็นธงนำ ไม่ใช่รูปแบบการชุมนุม และเห็นว่าขณะนี้ ไม่ว่าทุนเก่า ทุนใหม่ หรืออำมาตยาธิปไตยก็ไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ เพราะฉะนั้นต้องให้ประชาชนเข้าไปสู่อำนาจรัฐเองให้ได้ เพื่อเอาความคิดเป็นสานต่อเป็นนโยบายที่เป็นจริง ไม่ใช่แค่ความฝัน

ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า แนวทางการเคลื่อนไหวของประชาชนนั้นมีได้หลายแนวทาง แนวทางที่ 1. คือกดดันพรรคการเมืองที่พอจะเป็นความหวังได้ ให้ดำเนินงานไปตามแนวทางที่ประชาชนต้องการ และแนวทางที่ 2. ถ้าพรรคการเมืองไม่เชื่อฟัง ก็อาจจะมีการผลักดันให้มีพรรคการเมืองในแนวทางที่ประชาชนต้องการ เช่น พรรคการเมืองของโชห่วย ที่นายสนธิเคยเสนอ โดยคนที่เกี่ยวข้องกับร้านโชวห่วย 2 ล้านครัวเรือนอาจรวมตัวกันตั้งเป็นพรรคฯ ซึ่งมีโอกาสจะได้เข้าสู่สภาฯ และอาจมีโควตาได้เป็นรัฐมนตรี ที่จะเข้าไปทำงานเพื่อร้านดชวห่วยโดยไม่สนใจทุนขนาดใหญ่

“ถ้าพรรคการเมืองที่มีอยู่เป็นความหวังให้ไม่ได้ ประชาชนก็ต้องมีพรรคฯ ของตัวเอง อย่าไปคิดว่าการเข้าสู่อำนาจรัฐคือการทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เพราะถ้าเราไม่เข้าสู่อำนาจรัฐ เราก็อาจจะทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมไม่ได้ ทั้งนี้ ประชาชนที่มีหลากหลายอาชีพ หลากหลายฐานะ ก็อาจมีพรรคการเมืองเฉพาะกลุ่มของตัวเอง ซึ่งถ้าทำได้ การเมืองก็มีโอกาสเปลี่ยนสภาพได้ 20 ล้านเสียงนั้น ถือว่ามีพลังมาก แต่ต้องมีการจัดการให้มีเอกภาพเดียวกัน” ผู้ดำเนินรายการ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น