43. จิตศักดิ์สิทธิ์แห่งจตุคามรามเทพ
...วันที่ 1 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550
ก่อนหน้านี้ “เขา” เคยนึกว่า การออกไปสืบค้นและการปฏิบัติบูรณาโยคะเพื่อชักนำ “จิตศักดิ์สิทธิ์” เบื้องบนให้ “ลงมา” ช่วยผลักดันการเปลี่ยนแปลงสังคม และกอบกู้ชาติอย่างสร้างสรรค์ตามแนวทางของศรี อรพินโธ กับการไปช่วย สนธิ ลิ้มทองกุล ทำงานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินที่กำลังจะก่อตั้งขึ้นนั้น มันเป็นคนละเรื่องกัน แต่ “เขา” ยังไม่ทราบหรอกว่า ตัว “เขา” จะได้รับรู้โดยเร็วว่า แท้ที่จริงแล้ว สำหรับตัวเขาแล้ว มันเป็นเรื่องเดียวกัน!
สายวันนั้น ขณะที่ “เขา” กำลังเดินออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปที่บ้านพระอาทิตย์เพื่อไปหา สนธิ ลิ้มทองกุล และแจ้งความประสงค์ที่จะขอมาช่วยงานของ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ที่กำลังจะก่อตั้งขึ้นนั้น “เขา” รำลึกถึงเหตุการณ์ในตอนสายของวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2549 หลังการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพียงหนึ่งวันที่ตัวเขาก็ได้มาที่บ้านพระอาทิตย์นี้ด้วยเช่นกัน
บรรยากาศที่บ้านพระอาทิตย์ในวันนั้นเงียบสงบ ไม่มีบรรยากาศของความลำพองลิงโลดใน “ชัยชนะ” หลังจากได้กรำศึกกับระบอบทักษิณมาอย่างยาวนานถึงหนึ่งปีเต็มเลย แม้ในวันนั้นจะมีเหล่า “ขุนพล” ในเครือสื่อผู้จัดการอยู่กันพร้อมหน้าร่วมกับ สนธิ ลิ้มทองกุล แต่ทุกคนก็สนทนากันอย่างเงียบๆ จะมีแปลกออกไปบ้างเล็กน้อยก็ตรงที่จู่ๆ สนธิ ลิ้มทองกุล ก็รำพึงออกมาคนเดียวดังพอได้ยินกันไปทั่วว่า
“...เหงา...โว้ย”
“เขา” เข้าใจความรู้สึกของ สนธิ ลิ้มทองกุล ในยามนั้นดีกว่าใครว่า นี่เป็น ความรู้สึกเปลี่ยวเหงาของ “ผู้ชนะ” หลังจากที่เพิ่งได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ในการโค่นศัตรูผู้ทรงอำนาจของตนล้มลงได้หมาดๆ มันเป็นความเปลี่ยวเหงาของบุคคลที่รู้สึกว่า ชั่วชีวิตนี้ตัวเองคงไม่มีโอกาสได้พบกับคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวขนาดนี้อีกแล้ว การที่คู่ต่อสู้คนนี้ของเขาเหนือกว่า สนธิ ในแทบทุกด้าน ยกเว้นในเรื่องจิตใจ สนธิ จึงใช้ ทักษิณ เป็นเป้าหมายในการเค้นศักยภาพของตัวเขาเองในทุกๆ ด้านออกมาอย่างถึงที่สุด จนกระทั่ง สนธิ สามารถมีชัยเหนือ ทักษิณ ได้
วันนั้นเองที่ สนธิ ชวน “เขา” ไปที่ระเบียงบ้านพระอาทิตย์คุยกันสองต่อสอง พร้อมกับบอกเขาว่า ตัวสนธิมีความตั้งใจที่จะก่อตั้งมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เพื่อสานต่อ ภารกิจศักดิ์สิทธิ์ ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในด้านการให้ปัญญาแก่ประชาชน และการต่อสู้กับความฉ้อฉล การโกงกินทุกรูปแบบในประเทศนี้
ขณะที่ “เขา” กำลังเดินไปที่บ้านพระอาทิตย์ “เขา” ก็อดนึกไม่ได้ว่า วิสัยทัศน์ของสนธิ ลิ้มทองกุล ในฐานะที่เป็นนักกลยุทธ์เกี่ยวกับการดำริที่จะก่อตั้ง มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน นั้น ทั้งแม่นยำและแหลมคมเพียงใด เมื่อพิจารณาถึงเหตุการณ์บ้านเมืองหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่เพิ่งผ่านไปได้ไม่ถึงห้าเดือนก็ส่อเค้าให้เห็นได้ชัดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ว่า ทั้งรัฐบาลฤาษีและ คมช.ล้วนไม่อาจหวังพึ่งหรือฝากความหวังใดๆ ได้ ภาคประชาชนมีแต่ต้องพึ่งตนเองเท่านั้น ในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงขึ้นในสังคมนี้
บัดนี้ตัว “เขา” เองก็เริ่มเห็นพ้องกับ สนธิ ลิ้มทองกุล อย่างเต็มที่แล้วว่า มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ที่จะก่อตั้งขึ้นมีศักยภาพที่จะกลายมาเป็น จักรกลหลักที่ทรงพลัง ในการขับเคลื่อนกระบวนการการเมืองภาคประชาชนให้ตื่นตัวยิ่งขึ้น และรุดหน้าต่อไปได้
“เขา” มีความเห็นว่า มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน สามารถเป็น ตัวกลางในการเชื่อมความคิด ของผู้คนนับล้านที่ติดตามดู ASTV และสื่อต่างๆ ในเครือผู้จัดการให้ผูกมัดเข้าด้วยกันอย่างลึกซึ้งอย่างถึงเลือดถึงเนื้อ ถึงหัวใจ ถึงจิตวิญญาณได้ และ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน นี้จะเป็น ตัวช่วย ผลักดัน “การปฏิวัติการเรียนรู้” ของผู้คนนับล้าน เพื่อความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ภายใต้ โครงข่ายของความคิด ที่ร้อยรัดผู้คนนับล้านให้สามารถพัฒนาไปสู่การเรียนรู้ในเงื่อนไขแง่มุมต่างๆ ได้
แต่แม้กระนั้น “เขา” ก็ยังอดตั้งคำถามกับตนเองต่อไปไม่ได้ว่า
“เรื่องความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน นั้น ตัวเราเข้าใจแล้ว แต่ จิตศักดิ์สิทธิ์ องค์ไหนเล่าที่ตัวเราจะต้องไปร่วมมือรับใช้เพื่อผลักดันวิวัฒนาการของสังคมนี้?”
ในตอนนั้น “เขา” เองก็นึกไม่ถึงว่า “เขา” จะได้รับคำตอบเกี่ยวกับคำถามนี้จากปากของ สนธิ ลิ้มทองกุล ในบ่ายวันนั้นเอง
เมื่อ “เขา” ไปถึงบ้านพระอาทิตย์ได้พบกับ สนธิ ลิ้มทองกุล และแจ้งความประสงค์ของตนเองออกไป สนธิ พูดกับ “เขา” พร้อมกับรอยยิ้มว่า
“อาจารย์เป็น ยาม คนแรกๆ ที่มาสมัครกับพวกเรา” เพราะ รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ของ ASTV จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในคืนนั้น
ในระหว่างที่กำลังทานอาหารกลางวันกับ สนธิ ลิ้มทองกุล ได้ให้ พระผงจตุคามรามเทพ รุ่นกู้ชาติปี 2548 สีขาวแก่ “เขา” หนึ่งองค์เป็นที่ระลึก พร้อมกับได้เล่าประสบการณ์ที่ตัว สนธิ ลิ้มทองกุล ได้ประสบด้วยตนเอง รวมทั้งเรื่องที่ได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับ ปาฏิหาริย์ขององค์จตุคามรามเทพ ให้ “เขา” ฟังเป็นครั้งแรกอย่างที่ตัวเขาไม่เคยได้ยินหรือได้รับทราบจากที่ไหนมาก่อนเลย
***
เริ่มจาก...ภายหลังการจัดสร้างพระผงสุริยัน-จันทราเสร็จสมบูรณ์ในปี 2530 “จิตศักดิ์สิทธิ์” ที่เรียกตนเองว่า “จตุคามรามเทพ” ก็ได้สั่งคณะลูกศิษย์ภายใต้การนำของ พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล นำพระผงไปประกอบพิธีที่เขาขุนพนม อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช จากนั้นได้กำหนดฤกษ์ยามให้นำไปประกอบพิธีในทะเล ตำบลปากนคร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ช่วงนั้นเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ท้องฟ้าบริเวณปากนครมืดดำไปด้วยเมฆฝนที่ครอบคลุมเต็มผืนแผ่นฟ้า เรือประมงที่ออกไปจับปลาพากันแล่นหนีกลับเข้าฝั่ง เพราะรู้ว่าจะเกิดลมพายุฝนตกหนักคลื่นแรง แต่เรือทำพิธีของ พล.ต.ท.สรรเพชญ กลับแล่นฝ่าคลื่นลมออกไปตามฤกษ์ท่ามกลางความหวั่นวิตกของผู้เข้าร่วมพิธี
จากนั้นไม่นานนัก ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักและลมพัดแรงมาก คลื่นสูงได้ถาโถมเข้าซัดเรืออย่างน่ากลัว ท้องฟ้ามืดมิดมองไม่เห็นเดือนเห็นดาว ทั้งๆ ที่คืนนั้นเป็นคืนเดือนหงาย แต่เรือทำพิธีก็ไม่ยอมหยุดกลับแล่นต่อไปจนถึงจุดที่สมมติให้เป็น “สะดือทะเล” จึงสั่งให้หยุดเรือเพื่อประกอบพิธีกรรม ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและคลื่นลมก็แรงมาก
องค์จตุคามรามเทพ ที่ลงมาประทับใน “ร่างทรง” ได้ส่ง มีดดับสุริยา ให้แก่ พล.ต.ท.สรรเพชญ แล้วบอกว่า
“มึงไปที่หัวเรือ เอามีดปักลงไป บอกให้มันหยุด”
พล.ต.ท.สรรเพชญ พยายามควบคุมตัวเอง ถือมีดดับสุริยา ขององค์จตุคามรามเทพเดินไปที่หัวเรือที่กำลังโคลงเคลงเพราะถูกคลื่นซัด และฝนก็ตกลงมาตลอดเวลา จากนั้นเขาก็ท่อง คาถา ที่เป็น รหัสลับที่องค์จตุคามรามเทพ ถ่ายทอดให้จนจบแล้วใช้ปลายมีดดับสุริยานั้นปักลงที่หัวเรือ
ทันใดนั้น ทุกคนที่อยู่ในพิธีต่างก็ตกตะลึงอย่างแทบไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้า เพราะลมที่กำลังพัดแรงจัดได้หยุดทันที ธงชาติไทยที่โบกสะบัดด้วยแรงลมที่หัวเรือก็ตกลงไม่ไหวติง ส่วนทะเลก็กลับกลายเป็นราบเรียบดั่งกระจก ท้องฟ้าที่ดำมืดพลันสว่าง ดวงจันทร์ทอแสงนวลผ่องงามตาสะท้อนผิวทะเลเป็นแววระยิบระยับ
องค์จตุคามรามเทพ ร้องบอกกับ พล.ต.ท.สรรเพชญ ว่า
“เห็นหรือยัง ฤทธิ์มีดสั้นของกู”
***
โดยส่วนตัว สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้ที่เคารพนับถือ จตุคามรามเทพ มานานแล้ว นานก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมาขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในเดือนกันยายนปี 2548 เสียอีก...สนธิ ก็เหมือนกับนักธุรกิจระดับแนวหน้าอีกหลายคนในยุคนั้น ที่ประสบกับภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจาก “ฟองสบู่แตก” ในปี 2540 ในระหว่างที่เคว้งคว้างและไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครดี พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับ สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นอย่างดี เป็นผู้แนะนำ สนธิ ให้รู้จักกับ พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล ผู้ทำหน้าที่เป็นมือเป็นเท้าให้แก่ จิตศักดิ์สิทธิ์ อย่าง จตุคามรามเทพ
ในตอนแรกที่พบกันที่กรุงเทพฯ พล.ต.ท.สรรเพชญ ลองใจสนธิก่อนว่า ถ้าหากสนธิคิดว่า องค์จตุคามรามเทพจะช่วยเขาได้ ก็ขอให้มาเจอเขาที่นครศรีธรรมราช ปรากฏว่า สนธิ ก็มาจริงๆ พล.ต.ท.สรรเพชญ จึงได้ทำพิธีอัญเชิญจตุคามรามเทพให้ลงมาประทับในร่างทรง และได้เจอกับ สนธิ แต่ตอนนั้น พล.ต.ท.สรรเพชญ ก็ยังไม่ได้บอกว่า จตุคามรามเทพ เป็นใคร ทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้น เพราะ พล.ต.ท.สรรเพชญ เองก็ต้องการจะรู้ว่า สนธิ จะมีความเชื่อ ความศรัทธาขนาดไหน เนื่องจากความเชื่อเป็นสิ่งที่วัดกันไม่ได้ อีกอย่างการทำพิธีอะไรต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ มันไม่ได้ได้ผลทันทีแบบเปิดปุ๊บติดปั๊บเหมือนกับเปิดดูโทรทัศน์ มันมีเงื่อนไขของฟ้าดิน มีเรื่องของจังหวะเวลา ของฤดูกาลแห่งชีวิตเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
จตุคามรามเทพ สั่งให้ พล.ต.ท.สรรเพชญ เป็นผู้ออกแบบเทวรูปพระโพธิสัตว์นาคปรก 5 เศียร ท่ามหาราชลีลาขนาดความสูง 17 นิ้ว โดยมอบหมายให้ สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหนึ่งในผู้ร่วมกันออกทุนสร้าง จุดประสงค์ของ จตุคามรามเทพ ในการสั่งให้สร้างเทวรูปพระโพธิสัตว์นาคปรก 5 เศียรนี้ก็คือ จักต้องทำสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่จะต่อต้านรังสีจากดาวพระเคราะห์ต่างๆ กับเพื่อแก้ไขเรื่องร้ายให้ผ่อนหนักกลายเป็นเบา
พระเทวรูปโพธิสัตว์นาคปรกที่ องค์จตุคามรามเทพ สร้างขึ้นมาส่วนใหญ่ก็เพื่อรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศกับเพื่อช่วยปกป้องบ้านเมืองไม่ให้พินาศทั้งสิ้น ต่อให้ทีแรกไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะ องค์จตุคามรามเทพ ได้พิสูจน์ให้เห็นหลายๆ อย่าง จน สนธิ ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่า สาเหตุที่สนธิสามารถรอดพ้นวิกฤตเศรษฐกิจชนิดที่ตายไปสิบชาติ ก็หาเงินมาใช้หนี้เจ้าหนี้ได้ไม่หมด จนกระทั่งกลับมายืนหยัดอยู่ได้ และมีพลังพอที่จะกล้าลุกขึ้นมาโค่นล้มนายกฯ ทักษิณ เพื่อกอบกู้บ้านเมืองได้นั้น ก็ด้วยฤทธานุภาพของจตุคามรามเทพโดยแท้
***
...บ่ายวันนั้น เมื่อ “เขา” กลับมาที่ห้องทำงาน “เขา” ก็รีบนั่งสมาธิเจริญภาวนาทันที โดยวาง พระผงจตุคามรามเทพ ที่ สนธิ ลิ้มทองกุล เพิ่งให้ เขา มาที่ฝ่ามือ หลังจากที่นั่งสมาธิรวมจิตให้สงบได้สักพัก “เขา” ก็รู้สึกได้ว่ามีพลังงานในรูปของคลื่นความร้อนอ่อนๆ แผ่ออกมาจาก พระผงจตุคามรามเทพ ที่อยู่บนฝ่ามือของ เขา... “เขา” บอกกับตนเองในใจว่า “เขา” ได้พบ จิตศักดิ์สิทธิ์ ที่ตัว เขา จะมาร่วมมือและรับใช้แล้ว (ยังมีต่อ)
(www.suvinai-dragon.com)
...วันที่ 1 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550
ก่อนหน้านี้ “เขา” เคยนึกว่า การออกไปสืบค้นและการปฏิบัติบูรณาโยคะเพื่อชักนำ “จิตศักดิ์สิทธิ์” เบื้องบนให้ “ลงมา” ช่วยผลักดันการเปลี่ยนแปลงสังคม และกอบกู้ชาติอย่างสร้างสรรค์ตามแนวทางของศรี อรพินโธ กับการไปช่วย สนธิ ลิ้มทองกุล ทำงานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินที่กำลังจะก่อตั้งขึ้นนั้น มันเป็นคนละเรื่องกัน แต่ “เขา” ยังไม่ทราบหรอกว่า ตัว “เขา” จะได้รับรู้โดยเร็วว่า แท้ที่จริงแล้ว สำหรับตัวเขาแล้ว มันเป็นเรื่องเดียวกัน!
สายวันนั้น ขณะที่ “เขา” กำลังเดินออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปที่บ้านพระอาทิตย์เพื่อไปหา สนธิ ลิ้มทองกุล และแจ้งความประสงค์ที่จะขอมาช่วยงานของ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ที่กำลังจะก่อตั้งขึ้นนั้น “เขา” รำลึกถึงเหตุการณ์ในตอนสายของวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2549 หลังการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพียงหนึ่งวันที่ตัวเขาก็ได้มาที่บ้านพระอาทิตย์นี้ด้วยเช่นกัน
บรรยากาศที่บ้านพระอาทิตย์ในวันนั้นเงียบสงบ ไม่มีบรรยากาศของความลำพองลิงโลดใน “ชัยชนะ” หลังจากได้กรำศึกกับระบอบทักษิณมาอย่างยาวนานถึงหนึ่งปีเต็มเลย แม้ในวันนั้นจะมีเหล่า “ขุนพล” ในเครือสื่อผู้จัดการอยู่กันพร้อมหน้าร่วมกับ สนธิ ลิ้มทองกุล แต่ทุกคนก็สนทนากันอย่างเงียบๆ จะมีแปลกออกไปบ้างเล็กน้อยก็ตรงที่จู่ๆ สนธิ ลิ้มทองกุล ก็รำพึงออกมาคนเดียวดังพอได้ยินกันไปทั่วว่า
“...เหงา...โว้ย”
“เขา” เข้าใจความรู้สึกของ สนธิ ลิ้มทองกุล ในยามนั้นดีกว่าใครว่า นี่เป็น ความรู้สึกเปลี่ยวเหงาของ “ผู้ชนะ” หลังจากที่เพิ่งได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ในการโค่นศัตรูผู้ทรงอำนาจของตนล้มลงได้หมาดๆ มันเป็นความเปลี่ยวเหงาของบุคคลที่รู้สึกว่า ชั่วชีวิตนี้ตัวเองคงไม่มีโอกาสได้พบกับคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวขนาดนี้อีกแล้ว การที่คู่ต่อสู้คนนี้ของเขาเหนือกว่า สนธิ ในแทบทุกด้าน ยกเว้นในเรื่องจิตใจ สนธิ จึงใช้ ทักษิณ เป็นเป้าหมายในการเค้นศักยภาพของตัวเขาเองในทุกๆ ด้านออกมาอย่างถึงที่สุด จนกระทั่ง สนธิ สามารถมีชัยเหนือ ทักษิณ ได้
วันนั้นเองที่ สนธิ ชวน “เขา” ไปที่ระเบียงบ้านพระอาทิตย์คุยกันสองต่อสอง พร้อมกับบอกเขาว่า ตัวสนธิมีความตั้งใจที่จะก่อตั้งมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เพื่อสานต่อ ภารกิจศักดิ์สิทธิ์ ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในด้านการให้ปัญญาแก่ประชาชน และการต่อสู้กับความฉ้อฉล การโกงกินทุกรูปแบบในประเทศนี้
ขณะที่ “เขา” กำลังเดินไปที่บ้านพระอาทิตย์ “เขา” ก็อดนึกไม่ได้ว่า วิสัยทัศน์ของสนธิ ลิ้มทองกุล ในฐานะที่เป็นนักกลยุทธ์เกี่ยวกับการดำริที่จะก่อตั้ง มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน นั้น ทั้งแม่นยำและแหลมคมเพียงใด เมื่อพิจารณาถึงเหตุการณ์บ้านเมืองหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่เพิ่งผ่านไปได้ไม่ถึงห้าเดือนก็ส่อเค้าให้เห็นได้ชัดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ว่า ทั้งรัฐบาลฤาษีและ คมช.ล้วนไม่อาจหวังพึ่งหรือฝากความหวังใดๆ ได้ ภาคประชาชนมีแต่ต้องพึ่งตนเองเท่านั้น ในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงขึ้นในสังคมนี้
บัดนี้ตัว “เขา” เองก็เริ่มเห็นพ้องกับ สนธิ ลิ้มทองกุล อย่างเต็มที่แล้วว่า มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ที่จะก่อตั้งขึ้นมีศักยภาพที่จะกลายมาเป็น จักรกลหลักที่ทรงพลัง ในการขับเคลื่อนกระบวนการการเมืองภาคประชาชนให้ตื่นตัวยิ่งขึ้น และรุดหน้าต่อไปได้
“เขา” มีความเห็นว่า มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน สามารถเป็น ตัวกลางในการเชื่อมความคิด ของผู้คนนับล้านที่ติดตามดู ASTV และสื่อต่างๆ ในเครือผู้จัดการให้ผูกมัดเข้าด้วยกันอย่างลึกซึ้งอย่างถึงเลือดถึงเนื้อ ถึงหัวใจ ถึงจิตวิญญาณได้ และ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน นี้จะเป็น ตัวช่วย ผลักดัน “การปฏิวัติการเรียนรู้” ของผู้คนนับล้าน เพื่อความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ภายใต้ โครงข่ายของความคิด ที่ร้อยรัดผู้คนนับล้านให้สามารถพัฒนาไปสู่การเรียนรู้ในเงื่อนไขแง่มุมต่างๆ ได้
แต่แม้กระนั้น “เขา” ก็ยังอดตั้งคำถามกับตนเองต่อไปไม่ได้ว่า
“เรื่องความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน นั้น ตัวเราเข้าใจแล้ว แต่ จิตศักดิ์สิทธิ์ องค์ไหนเล่าที่ตัวเราจะต้องไปร่วมมือรับใช้เพื่อผลักดันวิวัฒนาการของสังคมนี้?”
ในตอนนั้น “เขา” เองก็นึกไม่ถึงว่า “เขา” จะได้รับคำตอบเกี่ยวกับคำถามนี้จากปากของ สนธิ ลิ้มทองกุล ในบ่ายวันนั้นเอง
เมื่อ “เขา” ไปถึงบ้านพระอาทิตย์ได้พบกับ สนธิ ลิ้มทองกุล และแจ้งความประสงค์ของตนเองออกไป สนธิ พูดกับ “เขา” พร้อมกับรอยยิ้มว่า
“อาจารย์เป็น ยาม คนแรกๆ ที่มาสมัครกับพวกเรา” เพราะ รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ของ ASTV จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในคืนนั้น
ในระหว่างที่กำลังทานอาหารกลางวันกับ สนธิ ลิ้มทองกุล ได้ให้ พระผงจตุคามรามเทพ รุ่นกู้ชาติปี 2548 สีขาวแก่ “เขา” หนึ่งองค์เป็นที่ระลึก พร้อมกับได้เล่าประสบการณ์ที่ตัว สนธิ ลิ้มทองกุล ได้ประสบด้วยตนเอง รวมทั้งเรื่องที่ได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับ ปาฏิหาริย์ขององค์จตุคามรามเทพ ให้ “เขา” ฟังเป็นครั้งแรกอย่างที่ตัวเขาไม่เคยได้ยินหรือได้รับทราบจากที่ไหนมาก่อนเลย
***
เริ่มจาก...ภายหลังการจัดสร้างพระผงสุริยัน-จันทราเสร็จสมบูรณ์ในปี 2530 “จิตศักดิ์สิทธิ์” ที่เรียกตนเองว่า “จตุคามรามเทพ” ก็ได้สั่งคณะลูกศิษย์ภายใต้การนำของ พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล นำพระผงไปประกอบพิธีที่เขาขุนพนม อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช จากนั้นได้กำหนดฤกษ์ยามให้นำไปประกอบพิธีในทะเล ตำบลปากนคร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ช่วงนั้นเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ท้องฟ้าบริเวณปากนครมืดดำไปด้วยเมฆฝนที่ครอบคลุมเต็มผืนแผ่นฟ้า เรือประมงที่ออกไปจับปลาพากันแล่นหนีกลับเข้าฝั่ง เพราะรู้ว่าจะเกิดลมพายุฝนตกหนักคลื่นแรง แต่เรือทำพิธีของ พล.ต.ท.สรรเพชญ กลับแล่นฝ่าคลื่นลมออกไปตามฤกษ์ท่ามกลางความหวั่นวิตกของผู้เข้าร่วมพิธี
จากนั้นไม่นานนัก ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักและลมพัดแรงมาก คลื่นสูงได้ถาโถมเข้าซัดเรืออย่างน่ากลัว ท้องฟ้ามืดมิดมองไม่เห็นเดือนเห็นดาว ทั้งๆ ที่คืนนั้นเป็นคืนเดือนหงาย แต่เรือทำพิธีก็ไม่ยอมหยุดกลับแล่นต่อไปจนถึงจุดที่สมมติให้เป็น “สะดือทะเล” จึงสั่งให้หยุดเรือเพื่อประกอบพิธีกรรม ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและคลื่นลมก็แรงมาก
องค์จตุคามรามเทพ ที่ลงมาประทับใน “ร่างทรง” ได้ส่ง มีดดับสุริยา ให้แก่ พล.ต.ท.สรรเพชญ แล้วบอกว่า
“มึงไปที่หัวเรือ เอามีดปักลงไป บอกให้มันหยุด”
พล.ต.ท.สรรเพชญ พยายามควบคุมตัวเอง ถือมีดดับสุริยา ขององค์จตุคามรามเทพเดินไปที่หัวเรือที่กำลังโคลงเคลงเพราะถูกคลื่นซัด และฝนก็ตกลงมาตลอดเวลา จากนั้นเขาก็ท่อง คาถา ที่เป็น รหัสลับที่องค์จตุคามรามเทพ ถ่ายทอดให้จนจบแล้วใช้ปลายมีดดับสุริยานั้นปักลงที่หัวเรือ
ทันใดนั้น ทุกคนที่อยู่ในพิธีต่างก็ตกตะลึงอย่างแทบไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้า เพราะลมที่กำลังพัดแรงจัดได้หยุดทันที ธงชาติไทยที่โบกสะบัดด้วยแรงลมที่หัวเรือก็ตกลงไม่ไหวติง ส่วนทะเลก็กลับกลายเป็นราบเรียบดั่งกระจก ท้องฟ้าที่ดำมืดพลันสว่าง ดวงจันทร์ทอแสงนวลผ่องงามตาสะท้อนผิวทะเลเป็นแววระยิบระยับ
องค์จตุคามรามเทพ ร้องบอกกับ พล.ต.ท.สรรเพชญ ว่า
“เห็นหรือยัง ฤทธิ์มีดสั้นของกู”
***
โดยส่วนตัว สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้ที่เคารพนับถือ จตุคามรามเทพ มานานแล้ว นานก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมาขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในเดือนกันยายนปี 2548 เสียอีก...สนธิ ก็เหมือนกับนักธุรกิจระดับแนวหน้าอีกหลายคนในยุคนั้น ที่ประสบกับภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจาก “ฟองสบู่แตก” ในปี 2540 ในระหว่างที่เคว้งคว้างและไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครดี พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับ สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นอย่างดี เป็นผู้แนะนำ สนธิ ให้รู้จักกับ พล.ต.ท.สรรเพชญ ธรรมาธิกุล ผู้ทำหน้าที่เป็นมือเป็นเท้าให้แก่ จิตศักดิ์สิทธิ์ อย่าง จตุคามรามเทพ
ในตอนแรกที่พบกันที่กรุงเทพฯ พล.ต.ท.สรรเพชญ ลองใจสนธิก่อนว่า ถ้าหากสนธิคิดว่า องค์จตุคามรามเทพจะช่วยเขาได้ ก็ขอให้มาเจอเขาที่นครศรีธรรมราช ปรากฏว่า สนธิ ก็มาจริงๆ พล.ต.ท.สรรเพชญ จึงได้ทำพิธีอัญเชิญจตุคามรามเทพให้ลงมาประทับในร่างทรง และได้เจอกับ สนธิ แต่ตอนนั้น พล.ต.ท.สรรเพชญ ก็ยังไม่ได้บอกว่า จตุคามรามเทพ เป็นใคร ทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้น เพราะ พล.ต.ท.สรรเพชญ เองก็ต้องการจะรู้ว่า สนธิ จะมีความเชื่อ ความศรัทธาขนาดไหน เนื่องจากความเชื่อเป็นสิ่งที่วัดกันไม่ได้ อีกอย่างการทำพิธีอะไรต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ มันไม่ได้ได้ผลทันทีแบบเปิดปุ๊บติดปั๊บเหมือนกับเปิดดูโทรทัศน์ มันมีเงื่อนไขของฟ้าดิน มีเรื่องของจังหวะเวลา ของฤดูกาลแห่งชีวิตเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
จตุคามรามเทพ สั่งให้ พล.ต.ท.สรรเพชญ เป็นผู้ออกแบบเทวรูปพระโพธิสัตว์นาคปรก 5 เศียร ท่ามหาราชลีลาขนาดความสูง 17 นิ้ว โดยมอบหมายให้ สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหนึ่งในผู้ร่วมกันออกทุนสร้าง จุดประสงค์ของ จตุคามรามเทพ ในการสั่งให้สร้างเทวรูปพระโพธิสัตว์นาคปรก 5 เศียรนี้ก็คือ จักต้องทำสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่จะต่อต้านรังสีจากดาวพระเคราะห์ต่างๆ กับเพื่อแก้ไขเรื่องร้ายให้ผ่อนหนักกลายเป็นเบา
พระเทวรูปโพธิสัตว์นาคปรกที่ องค์จตุคามรามเทพ สร้างขึ้นมาส่วนใหญ่ก็เพื่อรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศกับเพื่อช่วยปกป้องบ้านเมืองไม่ให้พินาศทั้งสิ้น ต่อให้ทีแรกไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะ องค์จตุคามรามเทพ ได้พิสูจน์ให้เห็นหลายๆ อย่าง จน สนธิ ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่า สาเหตุที่สนธิสามารถรอดพ้นวิกฤตเศรษฐกิจชนิดที่ตายไปสิบชาติ ก็หาเงินมาใช้หนี้เจ้าหนี้ได้ไม่หมด จนกระทั่งกลับมายืนหยัดอยู่ได้ และมีพลังพอที่จะกล้าลุกขึ้นมาโค่นล้มนายกฯ ทักษิณ เพื่อกอบกู้บ้านเมืองได้นั้น ก็ด้วยฤทธานุภาพของจตุคามรามเทพโดยแท้
***
...บ่ายวันนั้น เมื่อ “เขา” กลับมาที่ห้องทำงาน “เขา” ก็รีบนั่งสมาธิเจริญภาวนาทันที โดยวาง พระผงจตุคามรามเทพ ที่ สนธิ ลิ้มทองกุล เพิ่งให้ เขา มาที่ฝ่ามือ หลังจากที่นั่งสมาธิรวมจิตให้สงบได้สักพัก “เขา” ก็รู้สึกได้ว่ามีพลังงานในรูปของคลื่นความร้อนอ่อนๆ แผ่ออกมาจาก พระผงจตุคามรามเทพ ที่อยู่บนฝ่ามือของ เขา... “เขา” บอกกับตนเองในใจว่า “เขา” ได้พบ จิตศักดิ์สิทธิ์ ที่ตัว เขา จะมาร่วมมือและรับใช้แล้ว (ยังมีต่อ)
(www.suvinai-dragon.com)