“..ความจริงแล้ว “คณะรัฐมนตรีเงา” นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ หลายประเทศที่ใช้ระบบรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย หรือแคนาดา ใช้กลไกนี้เป็นหลักในการทำงานของฝ่ายค้าน
แน่นอนว่า การใช้กลไกอื่นๆ เช่นการตั้งกระทู้ถาม กรรมาธิการต่างๆ ของสภาผู้แทนราษฎร การให้สัมภาษณ์ของบุคคลต่างๆ ยังคงมีความสำคัญและพรรคประชาธิปัตย์ก็จะใช้กลไกเหล่านั้นอย่างเต็มประสิทธิภาพ ...แต่เราคิดว่าถึงเวลาแล้วที่การทำงานของฝ่ายค้านและระบบรัฐสภาควรก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง...
...ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาชี้ชัดว่า การเมืองไทยมุ่งสู่ระบบสองพรรคใหญ่ และประชาชนเจ้าของอำนาจเลือกสนับสนุนพรรคการเมืองเป็นหลักโดยคำนึงถึงการใช้นโยบายและแนวทางการบริหารประเทศ..อีกไม่นานปัญหาการยุบพรรคอาจนำไปสู่การควบรวมพรรคการเมืองโดยปริยาย ตอกย้ำความเป็นระบบสองพรรคใหญ่ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ดังนั้นการตรวจสอบจึงจะใช้รูปแบบที่อิงอยู่กับการใช้อำนาจนิติบัญญัติอย่างเดียวคงไม่ได้ การจัดตั้ง “คณะรัฐมนตรีเงา” โดยมีหัวหน้าพรรคการเมืองฝ่ายค้านเป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรีเงานี้ จะทำให้การทำงานของระบบรัฐสภาไทยมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น…”
นั่นเป็นบางตอนที่ผมคัด-ตัดตอนมาจากคำประกาศของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อ 3 ก.พ. 2551 ที่ผ่านมา..
สารภาพว่าผมไม่มีความรู้เรื่อง ครม.เงาที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านใน ประเทศอังกฤษ แคนาดา ญี่ปุ่น หรือออสเตรเลีย เขาดำเนินการกันหรอก ดังนั้นทันทีที่หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านของประเทศไทยประกาศตั้งรัฐบาลเงาหรือ ครม.เงาก็พลอยหูผึ่ง เฝ้าฟังเฝ้าติดตามด้วยความระทึกอยู่เหมือนกัน
เท่าที่ติดตามก็พอจะสรุปได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะตั้ง ครม.เงา มีทีมงาน มีการประชุมกันทุกสัปดาห์เป็นเรื่องเป็นราว นอกเหนือจากจะรวบรวมข้อมูลติดตามการทำงานของรัฐบาลแล้ว ยังจะเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาของชาติในแต่ละเรื่องที่น่าสนใจอีกด้วย...
กล่าวโดยรวมๆ ผมว่า...ปฏิบัติการของพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องนี้ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย หากว่า
ประการแรก อธิบายความเพิ่มเติมให้นักวิชาการ ปัญญาชน คนเมือง ที่เข้าใจอยู่แล้วได้เข้าใจลึกซึ้งเพิ่มเติมมากขึ้น
ประการที่สอง อธิบายความให้ชาวบ้านทั่วๆ ไป หรือชนชั้นรากหญ้าได้เข้าใจด้วยว่า..ทำไมต้อง ครม.เงา เกี่ยวข้องกับความอดอยากปากแห้ง หรือความอยู่ดีกินดีของพวกเขาอย่างไรบ้าง ประเทศชาติจะได้รับประโยชน์จากครม.เงาอย่างไร..!!??
ประการที่สาม ในพรรคประชาธิปัตย์เอง สมาชิกพรรค โดยเฉพาะ ส.ส.ของพรรคเห็นพ้องและตกผลึกร่วมกันว่า นี่คือแนวทางที่ถูกต้องและจะต้องก้าวเดิน...
ผมเชื่อว่าในขณะนี้ ส.ส.หรือสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ก็คงจะอยู่ในอาการเดียวกับคนทั่วๆ ไป นั่นคือ..เชื่อว่าเรื่อง ครม.เงาน่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่แน่ใจว่ามันจะคุ้มค่ากับการลงแรงหรือเปล่า สุดท้ายมันจะกลายเป็นเรื่องโจ๊กหรือไม่..!?
อย่างไรก็ตาม ลองว่าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ พูดเสียงดังฟังชัดว่า..จะต้องเดินหน้า ก็คงเชื่อขนมกินได้ว่า..ครม.เงาจะต้องเป็นจริง
คุณอภิสิทธิ์ จะต้องเป็นนายกฯ เงา คุณสุเทพ อาจจะต้องรับบทรมว.คมนาคม เงา, ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นรมว.ต่างประเทศ เงา, คุณกรณ์ จาติกวณิช เป็นรมว.คลังเงา, คุณองอาจ คล้ามไพบูลย์ เป็น รมว.แรงงาน เงา เป็นต้น...
อันที่จริงถ้าจะว่าไป ก็พอจะจินตนาการ นึกภาพเปรียบเทียบระหว่าง ครม.จริงของ “หมัก1” กับ ครม.เงา “มาร์ค1” ได้เหมือนกันว่า คุณสมบัติคนต่อคน น้ำหนักหมัดกันปอนด์ต่อปอนด์ ฝ่ายไหนน่าเชื่อถือหรือดูดีกว่ากัน...
ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่าฝ่าย “เงา”น่าจะดูดีกว่า...เท่กว่า...
แต่ก็นั่นแหละ...นาทีนี้เท่แต่กินไม่ได้ คือปัญหาของประชาธิปัตย์ ดังนั้นถ้าใจไม่เกินร้อย ไม่หนักแน่นพอ ไม่ตกผลึกไม่ศรัทธากับมันจริงๆ ครม.เงาของหนุ่มมาร์คก็มีสิทธิ์แฟบหรือเหี่ยวปลายเอาได้ง่ายๆ....ยิ่งถูกฝ่ายรัฐบาลหรือพวกเดียวกันเองเยาะเย้ยว่า...ไหนๆ ก็ทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้ดี ขอให้เป็นฝ่ายค้านถาวรไปก็แล้วกัน ก็อาจทำให้ไพร่พลของหนุ่มมาร์คตบะแตกแหกพรรษา ครม.เงา เอาได้ง่ายๆ เหมือนกัน...
………………….
แม้ด้านหลัก ผมจะให้กำลังใจกับประชาธิปัตย์ในการเปิดยุทธการ ครม.เงา แต่คงต้องพูดกันตรงไปตรงมาว่า...นี่ยังไม่น่าจะใช่สิ่งที่เรียกว่า “โดนใจ” สำหรับชาวบ้านที่นาทีนี้ชั่วโมงนี้ปัญหาของพวกเขาคือ...ปัญหาปากท้อง ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ที่นับวันจะชักหน้าไม่ถึงหลัง สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ...
เป็นหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะใช้ “ความจำกัด” อันเนื่องจากความเป็นพรรคฝ่ายค้านดูแลปัญหาปากท้อง ดูแลด้านเศรษฐกิจชาวบ้านทั้งทางอ้อมและทางตรงได้อย่างไร...
นี่คือโจทย์ใหญ่ข้อแรกที่ประชาธิปัตย์จะต้องทำ..
โจทย์ใหญ่ข้อสอง แม้เลือกตั้ง 23 ธ.ค. 2551 ประชาธิปัตย์จะกวาดที่นั่ง ส.ส.ได้สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 164 เสียง แต่สิ่งที่ประชาธิปัตย์จะต้องทำงานหนักไม่แพ้รัฐบาลเงาก็คือ การกรีธาทัพลงสู่สมรภูมิอีสานและภาคเหนือด้วยการคิดใหม่ ทำใหม่ นับตั้งแต่วันนี้ เพราะไม่เช่นนั้นก็พยากรณ์ล่วงหน้าเป็นปีสองปีได้เลยว่า หากไม่เพิ่มเก้าอี้ ส.ส.อีสาน และ ส.ส.ภาคเหนือ เพื่อเพิ่มเก้าอี้ ส.ส.หรืออย่างน้อยรักษา 164 ที่นั่งเอาไว้ให้ได้ หลังเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาธิปัตย์ก็อาจต้องมาจัด ครม.เงา “มาร์ค 2”...ให้ช้ำใจเล่นอีกครั้ง..
โจทย์ใหญ่ข้อสาม คงต้องถึงเวลาที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นมวยฟอร์มดีวันดีคืน จะต้องลอกคราบตัวเองอีกครั้งจากภาพลักษณ์ว่าที่ “นายกฯ คนเมือง” เป็นว่าที่ “นายกฯของคนไทย” ที่หลากหลายและสลับซับซ้อน…
เป็นนายกฯ เงาก็จริงอยู่ แต่ในทางปฏิบัติต้องสวมวิญญาณนายกฯ จริง ไปคลุกดินกินข้าวกับชาวบ้านที่อุบลราชธานี,ขอนแก่น ฯลฯ แล้วลงไปนอนฟังเสียงระเบิด ที่สุไหงโก-ลก, บันนังสตา...3 จังหวัดภาคใต้...
นั่นคือลีลาการลอกคราบ เพื่อก้าวพ้นจาก ครม.เงา รอวันเป็นนายกฯ จริงหลังเลือกตั้งครั้งต่อไป...
ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จะต้องหาญกล้าบอกหัวหน้าพรรคของคุณในทำนองนี้ อย่าอยู่ในเงาแห่งความพร่ามัว ปลอบใจตัวเองกันไปวันๆ
ท่านอภิสิทธิ์ท่านพร้อมที่จะรับฟัง และปฏิบัติในสิ่งที่ควร เชื่อผมเหอะ พวกคุณต่างหากที่ไม่กล้าเสนอหน้าเสนอแนะ..จริงมั้ย!!??
แน่นอนว่า การใช้กลไกอื่นๆ เช่นการตั้งกระทู้ถาม กรรมาธิการต่างๆ ของสภาผู้แทนราษฎร การให้สัมภาษณ์ของบุคคลต่างๆ ยังคงมีความสำคัญและพรรคประชาธิปัตย์ก็จะใช้กลไกเหล่านั้นอย่างเต็มประสิทธิภาพ ...แต่เราคิดว่าถึงเวลาแล้วที่การทำงานของฝ่ายค้านและระบบรัฐสภาควรก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง...
...ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาชี้ชัดว่า การเมืองไทยมุ่งสู่ระบบสองพรรคใหญ่ และประชาชนเจ้าของอำนาจเลือกสนับสนุนพรรคการเมืองเป็นหลักโดยคำนึงถึงการใช้นโยบายและแนวทางการบริหารประเทศ..อีกไม่นานปัญหาการยุบพรรคอาจนำไปสู่การควบรวมพรรคการเมืองโดยปริยาย ตอกย้ำความเป็นระบบสองพรรคใหญ่ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ดังนั้นการตรวจสอบจึงจะใช้รูปแบบที่อิงอยู่กับการใช้อำนาจนิติบัญญัติอย่างเดียวคงไม่ได้ การจัดตั้ง “คณะรัฐมนตรีเงา” โดยมีหัวหน้าพรรคการเมืองฝ่ายค้านเป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรีเงานี้ จะทำให้การทำงานของระบบรัฐสภาไทยมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น…”
นั่นเป็นบางตอนที่ผมคัด-ตัดตอนมาจากคำประกาศของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อ 3 ก.พ. 2551 ที่ผ่านมา..
สารภาพว่าผมไม่มีความรู้เรื่อง ครม.เงาที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านใน ประเทศอังกฤษ แคนาดา ญี่ปุ่น หรือออสเตรเลีย เขาดำเนินการกันหรอก ดังนั้นทันทีที่หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านของประเทศไทยประกาศตั้งรัฐบาลเงาหรือ ครม.เงาก็พลอยหูผึ่ง เฝ้าฟังเฝ้าติดตามด้วยความระทึกอยู่เหมือนกัน
เท่าที่ติดตามก็พอจะสรุปได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะตั้ง ครม.เงา มีทีมงาน มีการประชุมกันทุกสัปดาห์เป็นเรื่องเป็นราว นอกเหนือจากจะรวบรวมข้อมูลติดตามการทำงานของรัฐบาลแล้ว ยังจะเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาของชาติในแต่ละเรื่องที่น่าสนใจอีกด้วย...
กล่าวโดยรวมๆ ผมว่า...ปฏิบัติการของพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องนี้ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย หากว่า
ประการแรก อธิบายความเพิ่มเติมให้นักวิชาการ ปัญญาชน คนเมือง ที่เข้าใจอยู่แล้วได้เข้าใจลึกซึ้งเพิ่มเติมมากขึ้น
ประการที่สอง อธิบายความให้ชาวบ้านทั่วๆ ไป หรือชนชั้นรากหญ้าได้เข้าใจด้วยว่า..ทำไมต้อง ครม.เงา เกี่ยวข้องกับความอดอยากปากแห้ง หรือความอยู่ดีกินดีของพวกเขาอย่างไรบ้าง ประเทศชาติจะได้รับประโยชน์จากครม.เงาอย่างไร..!!??
ประการที่สาม ในพรรคประชาธิปัตย์เอง สมาชิกพรรค โดยเฉพาะ ส.ส.ของพรรคเห็นพ้องและตกผลึกร่วมกันว่า นี่คือแนวทางที่ถูกต้องและจะต้องก้าวเดิน...
ผมเชื่อว่าในขณะนี้ ส.ส.หรือสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ก็คงจะอยู่ในอาการเดียวกับคนทั่วๆ ไป นั่นคือ..เชื่อว่าเรื่อง ครม.เงาน่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่แน่ใจว่ามันจะคุ้มค่ากับการลงแรงหรือเปล่า สุดท้ายมันจะกลายเป็นเรื่องโจ๊กหรือไม่..!?
อย่างไรก็ตาม ลองว่าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ พูดเสียงดังฟังชัดว่า..จะต้องเดินหน้า ก็คงเชื่อขนมกินได้ว่า..ครม.เงาจะต้องเป็นจริง
คุณอภิสิทธิ์ จะต้องเป็นนายกฯ เงา คุณสุเทพ อาจจะต้องรับบทรมว.คมนาคม เงา, ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นรมว.ต่างประเทศ เงา, คุณกรณ์ จาติกวณิช เป็นรมว.คลังเงา, คุณองอาจ คล้ามไพบูลย์ เป็น รมว.แรงงาน เงา เป็นต้น...
อันที่จริงถ้าจะว่าไป ก็พอจะจินตนาการ นึกภาพเปรียบเทียบระหว่าง ครม.จริงของ “หมัก1” กับ ครม.เงา “มาร์ค1” ได้เหมือนกันว่า คุณสมบัติคนต่อคน น้ำหนักหมัดกันปอนด์ต่อปอนด์ ฝ่ายไหนน่าเชื่อถือหรือดูดีกว่ากัน...
ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่าฝ่าย “เงา”น่าจะดูดีกว่า...เท่กว่า...
แต่ก็นั่นแหละ...นาทีนี้เท่แต่กินไม่ได้ คือปัญหาของประชาธิปัตย์ ดังนั้นถ้าใจไม่เกินร้อย ไม่หนักแน่นพอ ไม่ตกผลึกไม่ศรัทธากับมันจริงๆ ครม.เงาของหนุ่มมาร์คก็มีสิทธิ์แฟบหรือเหี่ยวปลายเอาได้ง่ายๆ....ยิ่งถูกฝ่ายรัฐบาลหรือพวกเดียวกันเองเยาะเย้ยว่า...ไหนๆ ก็ทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้ดี ขอให้เป็นฝ่ายค้านถาวรไปก็แล้วกัน ก็อาจทำให้ไพร่พลของหนุ่มมาร์คตบะแตกแหกพรรษา ครม.เงา เอาได้ง่ายๆ เหมือนกัน...
………………….
แม้ด้านหลัก ผมจะให้กำลังใจกับประชาธิปัตย์ในการเปิดยุทธการ ครม.เงา แต่คงต้องพูดกันตรงไปตรงมาว่า...นี่ยังไม่น่าจะใช่สิ่งที่เรียกว่า “โดนใจ” สำหรับชาวบ้านที่นาทีนี้ชั่วโมงนี้ปัญหาของพวกเขาคือ...ปัญหาปากท้อง ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ที่นับวันจะชักหน้าไม่ถึงหลัง สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ...
เป็นหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะใช้ “ความจำกัด” อันเนื่องจากความเป็นพรรคฝ่ายค้านดูแลปัญหาปากท้อง ดูแลด้านเศรษฐกิจชาวบ้านทั้งทางอ้อมและทางตรงได้อย่างไร...
นี่คือโจทย์ใหญ่ข้อแรกที่ประชาธิปัตย์จะต้องทำ..
โจทย์ใหญ่ข้อสอง แม้เลือกตั้ง 23 ธ.ค. 2551 ประชาธิปัตย์จะกวาดที่นั่ง ส.ส.ได้สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 164 เสียง แต่สิ่งที่ประชาธิปัตย์จะต้องทำงานหนักไม่แพ้รัฐบาลเงาก็คือ การกรีธาทัพลงสู่สมรภูมิอีสานและภาคเหนือด้วยการคิดใหม่ ทำใหม่ นับตั้งแต่วันนี้ เพราะไม่เช่นนั้นก็พยากรณ์ล่วงหน้าเป็นปีสองปีได้เลยว่า หากไม่เพิ่มเก้าอี้ ส.ส.อีสาน และ ส.ส.ภาคเหนือ เพื่อเพิ่มเก้าอี้ ส.ส.หรืออย่างน้อยรักษา 164 ที่นั่งเอาไว้ให้ได้ หลังเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาธิปัตย์ก็อาจต้องมาจัด ครม.เงา “มาร์ค 2”...ให้ช้ำใจเล่นอีกครั้ง..
โจทย์ใหญ่ข้อสาม คงต้องถึงเวลาที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นมวยฟอร์มดีวันดีคืน จะต้องลอกคราบตัวเองอีกครั้งจากภาพลักษณ์ว่าที่ “นายกฯ คนเมือง” เป็นว่าที่ “นายกฯของคนไทย” ที่หลากหลายและสลับซับซ้อน…
เป็นนายกฯ เงาก็จริงอยู่ แต่ในทางปฏิบัติต้องสวมวิญญาณนายกฯ จริง ไปคลุกดินกินข้าวกับชาวบ้านที่อุบลราชธานี,ขอนแก่น ฯลฯ แล้วลงไปนอนฟังเสียงระเบิด ที่สุไหงโก-ลก, บันนังสตา...3 จังหวัดภาคใต้...
นั่นคือลีลาการลอกคราบ เพื่อก้าวพ้นจาก ครม.เงา รอวันเป็นนายกฯ จริงหลังเลือกตั้งครั้งต่อไป...
ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จะต้องหาญกล้าบอกหัวหน้าพรรคของคุณในทำนองนี้ อย่าอยู่ในเงาแห่งความพร่ามัว ปลอบใจตัวเองกันไปวันๆ
ท่านอภิสิทธิ์ท่านพร้อมที่จะรับฟัง และปฏิบัติในสิ่งที่ควร เชื่อผมเหอะ พวกคุณต่างหากที่ไม่กล้าเสนอหน้าเสนอแนะ..จริงมั้ย!!??