สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะลุ้น พ.ร.บ.หนี้ฯ บังคับใช้แก้ปัญหาพันธบัตรกองทุนฟื้นฟูกระจุกตัวในช่วง 2551-2555 เผยปี 55 วันเดียว 2 แสนล้าน แฉแบงก์ชาติบริหารค่าเงินบาทล้มเหลวเป็นอุปสรรคการการใช้หนี้ ทำให้ต้องใช้งบปี 52 อุดรูรั่ว
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะลุ้น พ.ร.บ.หนี้ฯ บังคับใช้แก้ปัญหาพันธบัตรกองทุนฟื้นฟูกระจุกตัวในช่วง 2551-2555 เผยปี 55 วันเดียว 2 แสนล้าน แฉแบงก์ชาติบริหารค่าเงินบาทล้มเหลวเป็นอุปสรรคการการใช้หนี้ ทำให้ต้องใช้งบปี 52 อุดรูรั่ว
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า สบน.ได้ตะหนักถึงปัญหาการกระจุกตัวของพันธบัตรกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในอดีต และจะทยอยครบกำหนดในระยะเวลาอันใกล้นี้ จึงได้มีการเตรียมมาตรการรองรับ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อตลาดเงิน โดยได้ผลัดดันกฎหมายแก้ไขพระราชบัญญัติหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 จนผ่านสภาเรียบร้อย รอเพียงการประกาศลงราชกิจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้เท่านั้น
“ในปี 2555 จะมีพันธบัตรออมทรัพย์ของกองทุนฟื้นฟูฯ ล็อตใหญ่ วงเงิน 2 แสนล้านที่จะครอบกำหนดชำระคืนภายในวันเดียว ซึ่งถือว่าเป็นเงินกู้ครบอายุล็อตที่ใหญ่มาก หาก สบน.ต้องกู้เงินจากในตลาดมาชำระคืนในเวลานั้นจะกระทบสภาพคล่องในตลาดเงินอย่างมาก จึงได้เตรียมการแก้ไขกฎหมายให้เปิดทางให้มีการทยอยกู้เงินล่วงหน้าเพื่อรอชำระคืนนี้ที่ครบกำหนดได้ ซึ่งกฎหมายปัจจุบันไม่ให้อำนาจดังกล่าว ซึ่ง สบน.หวังว่ากฎหมายคงมีผลบังคับใช้เร็วๆ นี้และจะทันเวลา”
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สบน.ได้ให้ความสำคัญถึงปัญหาดังกล่าวมาตลอดและมีการรวบรวมตัวเลขหนี้ที่จะครบกำหนดในช่วงเวลา 5 ปี ตั้งแต่ 2551-2555 เพื่อใช้ประกอบการวางแผนในการกู้เงินในตลาดเงินมาชำระคืน ให้เหมาะสมและไม่กระทบตลาด โดยพบว่าปี 2555 จะเป็นปีที่มีหนี้กระจุกตัวสูงถึง เกือบ 3 แสนล้านบาท และต้องมีการเตรียมการทยอยกู้เงินรองรับล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 12เดือน
ทั้งนี้ จำนวนหนี้พร้อมดอกเบี้ยที่จะครบกำหนดในปี 2551 มีจำนวน รวม 92,450 ล้านบาท แบ่งเป็น พันธบัตร FIDF 3 จำนวน 15,000 ล้านบาท พันธบัตรชดเชยขาดดุล จำนวน 72,450 ล้านบาท ตั๋ว PN จำนวน 5,000 ล้านบาท
ปี 2552 มีจำนวน 215,394 ล้านบาท แบ่งเป็น พันธบัตรออมทรัพย์ FIDF 3 Saving Bond จำนวน 55,191 ล้านบาท พันธบัตร FIDF1 จำนวน 50,000 ล้านบาท พันธบัตรชดเชยขาดดุล 76,700 ล้านบาท ตั๋ว PN จำนวน 15,000 ล้านบาท พันธบัตรรัฐบาลช่วยเหลือกองทุนขั้นที่ 1 (Tier 1) จำนวน 11,434 ล้านบาท พันธบัตรรัฐบาลช่วยเหลือกองทุนขั้นที่ 2 (Tier 2) จำนวน 7,069 ล้านบาท
ปี 2553 มีจำนวน 157,063 ล้านบาท แบ่งเป็น พันธบัตร FIDF 3 จำนวน 45,000 ล้านบาท พันธบัตรออมทรัพย์ FIDF 3 Saving Bond จำนวน 3,000 ล้านบาท พันธบัตร FIDF1 จำนวน 69,440 ล้านบาท ตั๋ว PN จำนวน 15,000 ล้านบาท พันธบัตรรัฐบาลช่วยเหลือกองทุนขั้นที่ 1 (Tier 1) จำนวน 19,920 ล้านบาท พันธบัตรรัฐบาลช่วยเหลือกองทุนขั้นที่ 2 (Tier 2) จำนวน 4,703 ล้านบาท
ปี 2554 มีจำนวน 128,013.99 ล้านบาท แบ่งเป็น พันธบัตร FIDF 3 จำนวน 30,000 ล้านบาท พันธบัตรออมทรัพย์ FIDF 3 Saving Bond จำนวน 43,178 ล้านบาท พันธบัตร FIDF1 จำนวน 39,836 ล้านบาท ตั๋ว PN จำนวน 15,000 ล้าน และ ในปี 2555 มีจำนวน รวม 283,123 ล้านบาท แบ่งเป็น พันธบัตรออมทรัพย์ FIDF 3 จำนวน 211,023 ล้านบาท พันธบัตร FIDF1 จำนวน 57,100 ล้านบาท และ ตั๋ว PN จำนวน 15,000 ล้านบาท
**แฉ ธปท.เจ๊งบาทแข็งอุปสรรคใช้หนี้
แหล่งข่าวกล่าวว่า พันธบัตรออมทรัพย์ที่มีการออกกันอย่างกระจุกตัวที่เรียกกันว่าพันธบัตรช่วยชาติในช่วง ปี 2545 นั้นเป็นผลมาจากครม.มีมติให้กระทรวงการคลังออกเพื่อชดเชยภาระหนี้สินกองทุนฟื้นฟูฯจำนวน 305,000 ล้านบาทนั้น จะครบไถ่ถอนเงินต้นและดอกเบี้ย ในส่วนของพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติ อายุ 7 ปี ในวันที่ 2 กันยายน 2552 ที่จะถึงนี้ จำนวน 55,191 ล้านบาท ซึ่งเดิมเคยตกลงไว้ว่า เงินที่จะชำระคืนจะมาจากกำไรของ ธปท.ที่จะนำส่งให้กระทรวงการคลัง แต่แนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งทำให้ ธปท.มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าไม่สามารถมีเงินกำไรนำส่งได้ ประกอบกับไม่สามารถแก้ไข พ.ร.บ.เงินตราสำเร็จ คงต้องมีการตั้งงบประมาณ ปี 2552 เพื่อใช้หนี้เงินต้นจำนวนนี้ เพิ่มเติมจากการตั้งงบประมาณชำระดอกเบี้ยรายปี
ขณะที่พันธบัตรออมทรัพย์อายุ 10 ปี อีกจำนวน 211,023 ล้านบาท จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 2 กันยายน2555 ซึ่งกระทรวงการคลังได้เตรียมการที่จะชิ้วิธีทะยอยออกพันธบัตรล็อตละ 20,000 ล้านบาทต่อเดือนล่วงหน้าเป็นเวลา 12 เดือน เพื่อมาใช้ในการต่ออายุหนี้ เพราะเท่าที่คำนวณคงไม่มีทางที่ธปท.จะมีกำไรเพียงพอในการชำระหนี้ดังกล่าวได้ คงต้องหาทางยืดอายุหนี้ออกไป แต่จะพยายามกระจายอายุ และเวลาไม่ให้มีการกระจุกตัวเหมือนในอดีต
ทั้งนี้ พันธบัตรอออมทรัพย์ช่วยชาติ ปี 2545 ดังกล่าว ถือเป็นพันธบัตรที่ออกมากในช่วงหลังวิกฤตการเงิน และมีต้นทุนการเงินที่สูงเฉลี่ย 7-8% มียอดจำหน่ายไปทั้งสิ้น 305,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 อายุ คือ พันธบัตรอายุ 5 ปี วงเงิน 44,731.02 ล้านบาท ชำระคืนเงินต้นแล้ว เมื่อ 2 กันยายน 2550 ที่ผ่านมา พันธบัตรออมทรัพย์ อายุ 7 ปี วงเงิน 54,245.73 ล้านบาท ครบอายุชำระเงินต้นวันที่ 2 กันยายน 2552 และพันธบัตรออมทรัพย์อายุ 10 ปี วงเงิน 206,023.25 ล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 2 กันยายน 2555.
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะลุ้น พ.ร.บ.หนี้ฯ บังคับใช้แก้ปัญหาพันธบัตรกองทุนฟื้นฟูกระจุกตัวในช่วง 2551-2555 เผยปี 55 วันเดียว 2 แสนล้าน แฉแบงก์ชาติบริหารค่าเงินบาทล้มเหลวเป็นอุปสรรคการการใช้หนี้ ทำให้ต้องใช้งบปี 52 อุดรูรั่ว
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า สบน.ได้ตะหนักถึงปัญหาการกระจุกตัวของพันธบัตรกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในอดีต และจะทยอยครบกำหนดในระยะเวลาอันใกล้นี้ จึงได้มีการเตรียมมาตรการรองรับ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อตลาดเงิน โดยได้ผลัดดันกฎหมายแก้ไขพระราชบัญญัติหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 จนผ่านสภาเรียบร้อย รอเพียงการประกาศลงราชกิจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้เท่านั้น
“ในปี 2555 จะมีพันธบัตรออมทรัพย์ของกองทุนฟื้นฟูฯ ล็อตใหญ่ วงเงิน 2 แสนล้านที่จะครอบกำหนดชำระคืนภายในวันเดียว ซึ่งถือว่าเป็นเงินกู้ครบอายุล็อตที่ใหญ่มาก หาก สบน.ต้องกู้เงินจากในตลาดมาชำระคืนในเวลานั้นจะกระทบสภาพคล่องในตลาดเงินอย่างมาก จึงได้เตรียมการแก้ไขกฎหมายให้เปิดทางให้มีการทยอยกู้เงินล่วงหน้าเพื่อรอชำระคืนนี้ที่ครบกำหนดได้ ซึ่งกฎหมายปัจจุบันไม่ให้อำนาจดังกล่าว ซึ่ง สบน.หวังว่ากฎหมายคงมีผลบังคับใช้เร็วๆ นี้และจะทันเวลา”
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สบน.ได้ให้ความสำคัญถึงปัญหาดังกล่าวมาตลอดและมีการรวบรวมตัวเลขหนี้ที่จะครบกำหนดในช่วงเวลา 5 ปี ตั้งแต่ 2551-2555 เพื่อใช้ประกอบการวางแผนในการกู้เงินในตลาดเงินมาชำระคืน ให้เหมาะสมและไม่กระทบตลาด โดยพบว่าปี 2555 จะเป็นปีที่มีหนี้กระจุกตัวสูงถึง เกือบ 3 แสนล้านบาท และต้องมีการเตรียมการทยอยกู้เงินรองรับล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 12เดือน
ทั้งนี้ จำนวนหนี้พร้อมดอกเบี้ยที่จะครบกำหนดในปี 2551 มีจำนวน รวม 92,450 ล้านบาท แบ่งเป็น พันธบัตร FIDF 3 จำนวน 15,000 ล้านบาท พันธบัตรชดเชยขาดดุล จำนวน 72,450 ล้านบาท ตั๋ว PN จำนวน 5,000 ล้านบาท
ปี 2552 มีจำนวน 215,394 ล้านบาท แบ่งเป็น พันธบัตรออมทรัพย์ FIDF 3 Saving Bond จำนวน 55,191 ล้านบาท พันธบัตร FIDF1 จำนวน 50,000 ล้านบาท พันธบัตรชดเชยขาดดุล 76,700 ล้านบาท ตั๋ว PN จำนวน 15,000 ล้านบาท พันธบัตรรัฐบาลช่วยเหลือกองทุนขั้นที่ 1 (Tier 1) จำนวน 11,434 ล้านบาท พันธบัตรรัฐบาลช่วยเหลือกองทุนขั้นที่ 2 (Tier 2) จำนวน 7,069 ล้านบาท
ปี 2553 มีจำนวน 157,063 ล้านบาท แบ่งเป็น พันธบัตร FIDF 3 จำนวน 45,000 ล้านบาท พันธบัตรออมทรัพย์ FIDF 3 Saving Bond จำนวน 3,000 ล้านบาท พันธบัตร FIDF1 จำนวน 69,440 ล้านบาท ตั๋ว PN จำนวน 15,000 ล้านบาท พันธบัตรรัฐบาลช่วยเหลือกองทุนขั้นที่ 1 (Tier 1) จำนวน 19,920 ล้านบาท พันธบัตรรัฐบาลช่วยเหลือกองทุนขั้นที่ 2 (Tier 2) จำนวน 4,703 ล้านบาท
ปี 2554 มีจำนวน 128,013.99 ล้านบาท แบ่งเป็น พันธบัตร FIDF 3 จำนวน 30,000 ล้านบาท พันธบัตรออมทรัพย์ FIDF 3 Saving Bond จำนวน 43,178 ล้านบาท พันธบัตร FIDF1 จำนวน 39,836 ล้านบาท ตั๋ว PN จำนวน 15,000 ล้าน และ ในปี 2555 มีจำนวน รวม 283,123 ล้านบาท แบ่งเป็น พันธบัตรออมทรัพย์ FIDF 3 จำนวน 211,023 ล้านบาท พันธบัตร FIDF1 จำนวน 57,100 ล้านบาท และ ตั๋ว PN จำนวน 15,000 ล้านบาท
**แฉ ธปท.เจ๊งบาทแข็งอุปสรรคใช้หนี้
แหล่งข่าวกล่าวว่า พันธบัตรออมทรัพย์ที่มีการออกกันอย่างกระจุกตัวที่เรียกกันว่าพันธบัตรช่วยชาติในช่วง ปี 2545 นั้นเป็นผลมาจากครม.มีมติให้กระทรวงการคลังออกเพื่อชดเชยภาระหนี้สินกองทุนฟื้นฟูฯจำนวน 305,000 ล้านบาทนั้น จะครบไถ่ถอนเงินต้นและดอกเบี้ย ในส่วนของพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติ อายุ 7 ปี ในวันที่ 2 กันยายน 2552 ที่จะถึงนี้ จำนวน 55,191 ล้านบาท ซึ่งเดิมเคยตกลงไว้ว่า เงินที่จะชำระคืนจะมาจากกำไรของ ธปท.ที่จะนำส่งให้กระทรวงการคลัง แต่แนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งทำให้ ธปท.มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าไม่สามารถมีเงินกำไรนำส่งได้ ประกอบกับไม่สามารถแก้ไข พ.ร.บ.เงินตราสำเร็จ คงต้องมีการตั้งงบประมาณ ปี 2552 เพื่อใช้หนี้เงินต้นจำนวนนี้ เพิ่มเติมจากการตั้งงบประมาณชำระดอกเบี้ยรายปี
ขณะที่พันธบัตรออมทรัพย์อายุ 10 ปี อีกจำนวน 211,023 ล้านบาท จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 2 กันยายน2555 ซึ่งกระทรวงการคลังได้เตรียมการที่จะชิ้วิธีทะยอยออกพันธบัตรล็อตละ 20,000 ล้านบาทต่อเดือนล่วงหน้าเป็นเวลา 12 เดือน เพื่อมาใช้ในการต่ออายุหนี้ เพราะเท่าที่คำนวณคงไม่มีทางที่ธปท.จะมีกำไรเพียงพอในการชำระหนี้ดังกล่าวได้ คงต้องหาทางยืดอายุหนี้ออกไป แต่จะพยายามกระจายอายุ และเวลาไม่ให้มีการกระจุกตัวเหมือนในอดีต
ทั้งนี้ พันธบัตรอออมทรัพย์ช่วยชาติ ปี 2545 ดังกล่าว ถือเป็นพันธบัตรที่ออกมากในช่วงหลังวิกฤตการเงิน และมีต้นทุนการเงินที่สูงเฉลี่ย 7-8% มียอดจำหน่ายไปทั้งสิ้น 305,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 อายุ คือ พันธบัตรอายุ 5 ปี วงเงิน 44,731.02 ล้านบาท ชำระคืนเงินต้นแล้ว เมื่อ 2 กันยายน 2550 ที่ผ่านมา พันธบัตรออมทรัพย์ อายุ 7 ปี วงเงิน 54,245.73 ล้านบาท ครบอายุชำระเงินต้นวันที่ 2 กันยายน 2552 และพันธบัตรออมทรัพย์อายุ 10 ปี วงเงิน 206,023.25 ล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 2 กันยายน 2555.