xs
xsm
sm
md
lg

นามเย้ยไม่มีใครยุบคคส.ได้ลั่นลุยฟันทรท.มาแล้วขอสางคดี"สมัคร"โกง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นาย นาม ยิ้มแย้ม ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนการทุจริตการจัดซื้อรถ-เรือ ดับเพลิง ของกทม. กล่าวภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้เชิญ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ หนึ่งในพยานที่ทีมทนายของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ ถูกกล่าวหา ได้อ้างถึงและขอให้อนุกรรมการไต่สวนฯ สอบปากคำเพิ่มเติม ซึ่งยืนยันว่าคณะอนุกรรมการไต่สวนฯได้ทำตามที่ทีมทนายของนายสมัคร ขอร้องทุกขั้นตอน คาดว่าประเด็นนี้จะสามารถสรุปแล้วเสร็จภายในเดือน กุมภาพันธ์ นี้ เชื่อว่า การที่นายสมัคร เป็นนายก รัฐมนตรีคงไม่เข้ามาแทรกแซงการทำงานของคตส. เพราะที่ผ่านมาคตส. ได้ยึดตาม กฎหมายทุกขั้นตอนและไม่หนักใจอะไร ต่างคนต่างทำหน้าที่ เพราะสุดท้ายทุกคดีต้องไป สิ้นสุดในชั้นศาล
ส่วนที่นายสมัคร ประกาศจะเอาคืนทุกคนที่เล่นงานนายสมัคร นั้น นายนาม กล่าวว่า การทำงานของคตส.ไม่มีใครกลั่นแกล้งใคร ตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาและการทำงานยึดตามหลักของกฎหมาย และไม่มีใครยุบคตส.ได้ หากจะยุบก็ต้องออกกฎหมายใหม่เท่านั้น เมื่อนายสมัคร เข้ามาเป็นนายกฯ แล้วจึงอยากให้ทุกคนทำงานตาม หน้าที่ คตส.ก็ตรวจสอบความไม่ถูกต้อง ส่วนนายสมัครก็ต้องบริหารประเทศต่อไป อย่าเข้า มายุ่งเกี่ยวกัน ตนไม่กลัว เพราะก่อนหน้านี้ ได้เคยตรวจสอบการยุบพรรคไทยรักไทย ของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครั้งนี้ก็ต้องมาตรวจสอบนายสมัคร ใน ฐานะนายกรัฐมนตรีด้วย
ส่วนการทำงานของคตส.ขณะนี้เหมือนถูกโดดเดี่ยวหรือไม่ นายนาม กล่าวว่า คตส.ถูกโดดเดี่ยวมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งจนถึงขณะนี้ มั่นใจว่าไม่มีใครมา แทรกแซงการทำงานคตส.ได้
ส่วนที่พล.อ. สนธิ บุณยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี และอดีตประธานคมช.ได้ เคลียร์ใจกับพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรแล้วนั้นนายนามกล่าวว่า ไม่ทราบข้อเท็จจริงว่า เป็นอย่างไร แต่อาจจะมีความจำเป็นก็ได้ ไม่รู้ความในใจไม่ขอก้าวล่วง พูดไปเดี๋ยวเกิด ความเข้าใจผิดกันอีก ตอนนี้คตส.ขอทำงานอย่างเดียวจนครบวาระ ซึ่งอาจมีผลงาน ชิ้นโบว์แดง คือ คดีการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด CTX 9000 และคดีการจัดซื้อรถ-เรือดับ เพลิงของ กทม. ที่นายสมัคร เป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา
ทั้งนี้ยืนยันว่า คตส. ทั้ง 10 คนไม่ยกทีมถอดใจลาออกก่อนที่จะครบวาระ จะทำงานให้ถึงที่สุด จนหมดวาระ เพื่อ ส่งคดีต่างๆให้อัยการสูงสุด ส่วนผลจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล เพราะคตส. ได้พิจารณาด้วยความรอบคอบได้ดีที่สุดแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการประเมินว่า พล.อ.สนธิ ไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อหาทาง ลงให้ตัวเอง แล้วคตส.หาทางลงให้กับตัวเองหรือยัง นายนาม กล่าวยืนยันว่า ทางลงของ คตส.มีทางเดียวคือตั้งใจทำงานตามหน้าที่ให้ดีที่สุดจนกว่าจะหมดวาระ
นาย แก้วสรร อติโพธิ กรรมการ คตส.กล่าวถึงกรณีที่พล.อ. สนธิ เจรจากับ พ.ต.ท. ทักษิณ แล้วว่า เป็นเรื่องของพล.อ.สนธิ ไม่เห็นว่า คตส.จะต้องหวั่นไหวอะไร การที่คตส.เข้ามาทำงานไม่ได้ทำเพราะ พล.อ.สนธิ ไม่ได้อาศัยอำนาจของ คมช. เป็นการอาศัยอำนาจกฎหมาย ป.ป.ช.ตามปกติ ไม่ใช่ศาลเตี้ย สรุปสำนวนส่งศาล ซึ่งเหมือนส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม ไม่ได้คิดกลั่นแกล้งใคร ซึ่งการดำเนินการต่างๆ ที่ผ่านมาไม่กระทบกับคดีที่ คตส.กำลังตรวจสอบอยู่ และขณะนี้กรรมการ คตส.ยังมีกำลังใจดีอยู่ เพราะเมื่อเข้ามารับงานตรงนี้ก็ต้องมีกำลังใจ จะไปฝากไว้ที่คนอื่นได้อย่างไร
นายแก้วสรร กล่าวว่า ในการประชุมคตส.วันจันทร์ที่ 4 ก.พ.นี้ จะมีวาระในการพิจารณาคือ คดีการทุจริตจัดซื้อพันธุ์กล้ายางพารา 90 ล้านต้น ของกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคดีบ้านเอื้ออาทร โครงการร่มเกล้า-บางพลี
สำหรับคดีกล่าวหาพ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้กับครอบครัวและพวกพ้อง ที่มีข่าวว่าจะมีการขอเลื่อนการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาออกไปนั้น ถ้าจะมีการขอเลื่อนจริงก็ขอให้เขียนคำร้องพร้อมระบุเหตุผลอธิบายมา ซึ่งการพิจารณา ให้เลื่อนหรือไม่ก็ต้องดูว่าเลื่อนออกไปแล้วทางผู้ถูกกล่าวหาจะมีหลักฐานอะไรใหม่ ๆ มาแก้ข้อกล่าวหาหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้ง 2 คดี ทางคณะอนุกรรมการไต่สวน ได้สรุปสำนวน เสร็จแล้ว ซึ่งการเสนอให้ คตส.พิจารณาครั้งนี้เพื่อให้คตส.มีมติส่งสำนวนไปยังอัยการสูงสุดเพื่อส่งฟ้องต่อศาลต่อไป จึงถือว่าคตส.จะทำงานเสร็จสิ้น ตามแผนที่กำหนดไว้เพิ่มอีก 2 คดี
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ เอื้อประโยชน์ออกนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัว และพวกพ้องว่า ในคดีการเอื้อประโยชน์ดาวเทียมไทยคม กรณีการรับเงินประกันดาวเทียมเสียหาย 33 ล้านเหรียญสหรัฐ ทางอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้พิจารณาเสร็จแล้ว โดยเตรียมเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคตส.ชุดใหญ่ในวันจันทร์ที่ 4 ก.พ.นี้ เพื่อให้มีมติ ส่งให้กรมสรรพากรดำเนินการเรียกเก็บภาษีเงินเคลมประกันดังกล่าว เพราะแม้จะเป็นเงินที่ได้จากการประกันดาวเทียม แต่เงินดังกล่าวไปอยู่ในบัญชีของบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ จำกัด (มหาชน) จึงถือเป็นเงินได้พึงประเมินตาม ภงด. 50 ซึ่งกรมสรรพากรมีอำนาจเรียกเก็บภาษีตามประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 65
“ก่อนหน้านี้ทางบริษัทชินแซทฯ ได้เคยทำหนังสือสอบถามมายังกรมสรรพากรว่า ในกรณีที่บริษัทเป็นผู้ได้รับประโยชน์ร่วมจากเงินเคลมประกันดังกล่าว บริษัทต้องเสียภาษีในส่วนนี้หรือไม่ ทางเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรตอบไปว่า ไม่ต้องเสียภาษี เพราะเป็นเงินเคลมประกัน เนื่องจากได้มีการพิจารณาในเอกสารการรับผลประโยชน์ร่วมระหว่างบริษัทกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที.) เพียงอย่างเดียว แต่ปรากฏว่า อนุกรรมการไต่สวนฯ ได้ตรวจสอบพบหลักฐานสำคัญ พบว่า นอกจากเอกสารดังกล่าวแล้ว ยังมีบันทึกการประชุมว่า ดาวเทียมไทยคม 3 เป็นสมบัติของกระทรวง ไอซีที ดังนั้นเมื่อมีเงินไปตกอยู่ในบริษัทชินแซทฯ ซึ่งไม่เป็นเจ้าของดาวเทียม จะต้องถือเป็นเงินได้พึงประเมิน”
กำลังโหลดความคิดเห็น