"พาณิชย์"ยอมรับชะตากรรม หากสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีประเทศไทยสูงสุด เป็นพีเอฟซี หลังสาธารณสุขจ่อบังคับใช้สิทธิ์ยารักษามะเร็งอีก 4 รายการ ทั้งๆ ที่เจ้าของสิทธิบัตรยอมลดราคาลงมาแล้ว 80%
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า มีแนวโน้มที่กระทรวงสาธารณสุขของไทย จะประกาศบังคับใช้สิทธิ (ซีแอล) ผลิต หรือนำเข้ายาที่มีสิทธิบัตรชนิดใหม่จากอินเดียเพิ่มเติมอีก 4 รายการ โดยเป็นยารักษาโรคมะเร็งทั้งหมดในเร็วๆ นี้ จากก่อนหน้านี้ที่ประกาศใช้สิทธิไปแล้ว 3 รายการ ซึ่งจากการดำเนินการดังกล่าว มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจจัดให้ไทยอยู่ในบัญชีประเทศที่ไม่ให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเพียงพอในระดับรุนแรงที่สุด (พีเอฟซี)
นางพวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า หากมีการดำเนินการดังกล่าวจริง สหรัฐฯ อาจเลื่อนสถานะของไทยให้อยู่ในบัญชี พีเอฟซี จากปัจจุบันอยู่ในบัญชีประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ (พีดับบลิวแอล) ในการทบทวนสถานะประเทศคู่ค้าด้านทรัพย์สินทางปัญญาประจำปี 2550 ตามมาตรา 301 พิเศษ กฎหมายการค้าสหรัฐฯ ซึ่งจะประกาศในเดือนเม.ย.นี้ ซึ่งจะทำให้ไทยอาจถูกสหรัฐฯใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าขั้นรุนแรงได้
"เราได้แต่หวังว่า สหรัฐฯจะไม่จับให้ไทยมาอยู่ในพีเอฟซี เพราะเราแก้ปัญหาละเมิดอย่างมากแล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า รัฐบาลไทยจะประกาศบังคับใช้สิทธิกับยาชนิดใหม่อีกหรือไม่ ยอมรับว่า เราต้องทำงานหนัก เพื่อชี้แจงให้สหรัฐฯเข้าใจ"นางพวงรัตน์ กล่าว
ทั้งนี้ ไทยเคยถูกจัดให้อยู่ในบัญชีพีเอฟซีมาแล้ว 3 ปี ติดต่อกัน ประมาณปี 37-39 เพราะไทยไม่ได้คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเพียงพอ แต่ในขณะนั้นสหรัฐฯไม่ได้ใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าที่รุนแรงกับไทย เพราะการจะใช้มาตรการตอบโต้ใดๆ สหรัฐฯจะต้องนำเสนอขอความเห็นชอบจากสภาคองเกรสก่อน พร้อมกันนั้น ต้องหารือกับองค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) ก่อนด้วย เพราะต้องเป็นมาตรการที่ไม่ขัดกับหลักการดับบลิวทีโอ สำหรับมาตรการตอบโต้ที่ สหรัฐฯเคยใช้กับประเทศที่ถูกขึ้นบัญชีพีเอฟซี เช่น การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศนั้นๆ หรือจำกัดการนำเข้า เป็นต้น
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า กระทรวงพาณิชย์ เห็นด้วยกับการใช้สิทธิซีแอล เพราะทำให้คนไทยมีโอกาสซื้อยารักษาโรคได้ในราคาที่ถูกลง อีกทั้งยังสามารถดำเนินการได้ เพราะไม่ผิดข้อตกลงทรัพย์สินทางปัญญา (ทริปส์) ภายใต้องค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) แต่กระทรวงสาธารณสุข ควรจะคำนึงถึงมูลค่าทางการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่อาจได้รับผลกระทบด้วย และต้องการใช้ประกาศใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามหลักการ เพราะทราบว่า ก่อนประกาศใช้ กระทรวงสาธารณสุขได้หารือกับบริษัทผู้ผลิตยาเจ้าของสิทธิบัตรแล้ว ซึ่งยอมลดราคาให้ 80% แต่ทำไมยังหันไปซื้อจากผู้ผลิตในอินเดียอีก ทั้งๆ ที่ยาจากต้นตำรับจะมีคุณภาพดีกว่ามาก
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า มีแนวโน้มที่กระทรวงสาธารณสุขของไทย จะประกาศบังคับใช้สิทธิ (ซีแอล) ผลิต หรือนำเข้ายาที่มีสิทธิบัตรชนิดใหม่จากอินเดียเพิ่มเติมอีก 4 รายการ โดยเป็นยารักษาโรคมะเร็งทั้งหมดในเร็วๆ นี้ จากก่อนหน้านี้ที่ประกาศใช้สิทธิไปแล้ว 3 รายการ ซึ่งจากการดำเนินการดังกล่าว มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจจัดให้ไทยอยู่ในบัญชีประเทศที่ไม่ให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเพียงพอในระดับรุนแรงที่สุด (พีเอฟซี)
นางพวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า หากมีการดำเนินการดังกล่าวจริง สหรัฐฯ อาจเลื่อนสถานะของไทยให้อยู่ในบัญชี พีเอฟซี จากปัจจุบันอยู่ในบัญชีประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ (พีดับบลิวแอล) ในการทบทวนสถานะประเทศคู่ค้าด้านทรัพย์สินทางปัญญาประจำปี 2550 ตามมาตรา 301 พิเศษ กฎหมายการค้าสหรัฐฯ ซึ่งจะประกาศในเดือนเม.ย.นี้ ซึ่งจะทำให้ไทยอาจถูกสหรัฐฯใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าขั้นรุนแรงได้
"เราได้แต่หวังว่า สหรัฐฯจะไม่จับให้ไทยมาอยู่ในพีเอฟซี เพราะเราแก้ปัญหาละเมิดอย่างมากแล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า รัฐบาลไทยจะประกาศบังคับใช้สิทธิกับยาชนิดใหม่อีกหรือไม่ ยอมรับว่า เราต้องทำงานหนัก เพื่อชี้แจงให้สหรัฐฯเข้าใจ"นางพวงรัตน์ กล่าว
ทั้งนี้ ไทยเคยถูกจัดให้อยู่ในบัญชีพีเอฟซีมาแล้ว 3 ปี ติดต่อกัน ประมาณปี 37-39 เพราะไทยไม่ได้คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเพียงพอ แต่ในขณะนั้นสหรัฐฯไม่ได้ใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าที่รุนแรงกับไทย เพราะการจะใช้มาตรการตอบโต้ใดๆ สหรัฐฯจะต้องนำเสนอขอความเห็นชอบจากสภาคองเกรสก่อน พร้อมกันนั้น ต้องหารือกับองค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) ก่อนด้วย เพราะต้องเป็นมาตรการที่ไม่ขัดกับหลักการดับบลิวทีโอ สำหรับมาตรการตอบโต้ที่ สหรัฐฯเคยใช้กับประเทศที่ถูกขึ้นบัญชีพีเอฟซี เช่น การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศนั้นๆ หรือจำกัดการนำเข้า เป็นต้น
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า กระทรวงพาณิชย์ เห็นด้วยกับการใช้สิทธิซีแอล เพราะทำให้คนไทยมีโอกาสซื้อยารักษาโรคได้ในราคาที่ถูกลง อีกทั้งยังสามารถดำเนินการได้ เพราะไม่ผิดข้อตกลงทรัพย์สินทางปัญญา (ทริปส์) ภายใต้องค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) แต่กระทรวงสาธารณสุข ควรจะคำนึงถึงมูลค่าทางการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่อาจได้รับผลกระทบด้วย และต้องการใช้ประกาศใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามหลักการ เพราะทราบว่า ก่อนประกาศใช้ กระทรวงสาธารณสุขได้หารือกับบริษัทผู้ผลิตยาเจ้าของสิทธิบัตรแล้ว ซึ่งยอมลดราคาให้ 80% แต่ทำไมยังหันไปซื้อจากผู้ผลิตในอินเดียอีก ทั้งๆ ที่ยาจากต้นตำรับจะมีคุณภาพดีกว่ามาก