xs
xsm
sm
md
lg

ปล่อยให้ธรรมะจัดระเบียบ

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล

และแล้วการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร 2 คน เมื่อวันอังคารที่ 22 มกราคม 2551 ก็เสร็จสิ้นเรียบร้อย “โรงเรียนพลังประชาชน” ทั้งนี้เมื่อมีการลงพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับรองรายชื่อดังกล่าว นับแต่นี้ต่อไปในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทยก็ต้องจารึกไว้ด้วยว่าครั้งหนึ่งประเทศไทยเคยมีประมุขฝ่ายนิติบัญญัติที่ชื่อ “นายยงยุทธ ติยะไพรัช” และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรที่ชื่อ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ และ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย

ขณะที่ในอีกไม่กี่วันถัดไปจากนี้ เมื่อมีการเปิดประชุมสภาฯ เพื่อเลือกผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ชื่อ “นายสมัคร สุนทรเวช” ก็น่าจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยด้วยว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นประมุขของฝ่ายบริหาร

ท่านประธาน ยงยุทธ ที่เคารพ!
ท่านนายกฯ สมัคร ที่นับถือ!


แม้ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา หลายต่อหลายคนจะรู้สึกกระอักกระอ่วน-ตะขิดตะขวงใจเหลือเกินเมื่อได้ยินชื่อบุคคลทั้งสองในตำแหน่งประมุขของสองสถาบันอันเป็นสองในสามเสาหลักของระบอบประชาธิปไตยของชาติ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมกลับรู้สึกยินดีเสียด้วยซ้ำกับการที่ทั้งสองท่านได้ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรติ และจะรู้สึกปลาบปลื้มยิ่งขึ้นไปอีกถ้าได้ยินรายชื่อคณะรัฐมนตรีอย่างเช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ชื่อ เฉลิม อยู่บำรุง, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่ชื่อ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่ชื่อ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รวมไปถึงจะเป็นเรื่องสุดยอดหาก ‘รัฐบาลสมัคร 1’ จะมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและโฆษกรัฐบาลที่ชื่อ จตุพร พรหมพันธุ์ และ จักรภพ เพ็ญแข ...

พูดตามตรงผมไม่เห็นว่าทั้งคุณจตุพรและคุณจักรภพจะด่างพร้อยหรือขาดคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือโฆษกรัฐบาลตรงไหน เพราะแม้แต่ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) รุ่นที่ 2 ก็ยังเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ หรือ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่ต้องคดีสงสัยว่าอยู่เบื้องหลังการซื้อเสียงที่เชียงราย ก็ยังดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ หรือแม้แต่ นายสมัคร สุนทรเวช ที่มีชนักติดหลังเป็นคดีรถดับเพลิง, คำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้จำคุกโดยไม่รอการลงอาญาในคดีหมิ่นประมาทนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รวมไปถึงการพูดจาให้ร้ายและดูหมิ่นประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์อีกนับครั้งไม่ถ้วน ก็ยังสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ แล้วเหตุใดบุคลากรที่เสียสละและมีคุณภาพอย่างจตุพรกับจักรภพ จึงจะเป็นรัฐมนตรีหรือโฆษกรัฐบาลไม่ได้!!!

จากกรณีหลายๆ กรณีข้างต้น ผมจะไม่พูดคำว่า “ดี” หรือ “ไม่ดี” ...“เหมาะสม” หรือ “ไม่เหมาะสม” เพราะมาตรฐานและตาชั่งที่ใช้วัด “ความดี” และ “ความเหมาะสม” ของแต่ละผู้แต่ละคนนั้นย่อมมีความแตกต่าง ทั้งนี้ผมพูดได้แต่เพียงว่า วันใดเมื่อสังคมไทยปฏิเสธการหยิบเอา “คุณธรรม” มาใช้เป็นตาชั่งหนึ่งของการวัดความดี-ไม่ดี ความเหมาะสม-ไม่เหมาะสมของ “ผู้ปกครองบ้านเมือง” แต่หันมาใช้ “เสียงส่วนใหญ่” เป็นมาตรฐานเดียวโดดๆ วันนั้นเสียงส่วนน้อยก็จำต้องกล้ำกลืน ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นและกำลังจะเป็นไป ...

กระนั้นในฐานะของพุทธมามกะ หรือผู้ที่ประกาศตนว่านับถือพระพุทธศาสนา ผมยังเชื่อมั่นเสมอในคำพระสองคำ หนึ่ง คือ กฎแห่งกรรม และ ธรรมะจัดระเบียบ

ในช่วงสอง-สามสัปดาห์หลัง ในรายการวิทยุที่ผมจัดในช่วงดึกทางคลื่นยามเฝ้าแผ่นดิน เอฟเอ็ม 97.75 ผู้ฟังหลายคนโทร.มาบ่นบ่อยครั้งขึ้นว่า กฎแห่งกรรมมีจริงหรือ? ที่เขาว่าคนทำดีได้ดี คนทำชั่วได้ชั่วเป็นจริงหรือ?

เมื่อได้ยินคำถามเหล่านี้ ผมเองก็ได้แต่ตอบว่า ส่วนตัวผมเห็นว่ากฎแห่งกรรมนั้นมีจริง ส่วนกรณีที่ใครสงสัยว่าคนทำชั่วแล้วได้ดี หรือ ทำดีแล้วได้ชั่วนั้น ก็ต้องโยงกลับมาในเรื่องของกฎแห่งกรรมอีกนั่นแหละ เพราะกฎแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์เหมือนกับทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่ว่า การกระทำเท่ากับปฏิกิริยาสะท้อนกลับ (Action เท่ากับ Reaction) และก็เหมือนกับ สุภาษิตจีนโบราณที่ว่า “ปลูกแตงได้แตง ปลูกถั่วได้ถั่ว (种瓜得瓜,种豆得豆)” ซึ่งคนไทยนำมาดัดแปลงเป็น “ปลูกมะม่วงได้มะม่วง ปลูกทุเรียนได้ทุเรียน”

ในเรื่องของ “ธรรมะจัดระเบียบ” นั้นเมื่อไม่นานมานี้ ณ บ้านพระอาทิตย์ พระสันฺตจิตฺโต (คุณสนธิ ลิ้มทองกุล) เคยเทศน์ไว้

“อาตมภาพเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ธรรมะจัดระเบียบให้หมด เหตุผลที่เรามาเจอกันวันนี้ก็เพราะว่า ธรรมะจัดระเบียบให้ ที่เราต้องมารู้จักกันก็เพราะธรรมะจัดระเบียบให้ อาตมภาพอยากจะตั้งคำถาม ถามคนซึ่งมีข้อสงสัย ข้อแรก อาตมภาพอยากจะถามว่า พวกเราเชื่อในพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ถ้าเราเชื่อ เราก็ต้องเชื่อต่อว่า เราเชื่อในพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ท่านไหม ถ้าตอบว่าเชื่อ ถ้าตอบว่าเชื่อเราก็ต้องเชื่อเหมือนอย่างที่พระองค์ท่านได้ตรัสเอาไว้ว่า สวรรค์มีจริง นรกมีจริง สวรรค์มีจริงแล้วก็นรกมีจริง ...” (1 ธันวาคม 2550)

ในความเข้าใจของผม “ธรรมะจัดระเบียบ” นั้นหมายความว่า ธรรมชาติได้จัดให้ทุกอย่างมีความสมดุลอยู่ตลอดเวลา ในทุกๆ เรื่องตั้งแต่เรื่องใหญ่ระดับโลก อย่างเช่น เมื่อคนใช้ทรัพยากรอย่างไม่ระวัง โลกก็ต้องปรับตัวด้วยปรากฏการณ์โลกร้อน, เอลนีโญ-ลานีญา, แผ่นดินไหว, สึนามิ ฯลฯ ลงมาถึงการจัดระเบียบในเรื่องระดับรองๆ ลงไป เช่น ร่างกายของคนเราเมื่อ ไม่ได้รับประทานอาหารที่ครบตามคุณค่า ไม่ได้ออกกำลังกาย ร่างกายก็ไม่แข็งแรง ก็เจ็บป่วย แน่นอนว่าการเจ็บป่วยของร่างกายก็เป็นเรื่องของธรรมะจัดระเบียบอีกนั่นแหละ บางโรคที่ร่างกายรักษา-ฟื้นฟูตัวเองได้ก็อยู่รอด บางโรคที่ร่างกายรักษา-ฟื้นฟูไม่ได้ก็ดับสูญไป

เช่นเดียวกัน กลุ่มชนในองค์กรใหญ่ที่มีคนจำนวนมากประกอบเข้าด้วยกันอย่างสังคมไทยก็ย่อมหนีไม่พ้นการจัดระเบียบของธรรม ...

แม้จะมีความสามารถ มีบริวาร มีทรัพย์สินมากมายเพียงใด หากแต่เมื่อผู้กุมอำนาจในการปกครอง กุมอำนาจทางนิติบัญญัติ รวมไปถึงผู้ชี้ขาดเพื่อสร้างยุติธรรมให้แก่คนสังคมนั้นๆ มิได้รับการยอมรับจากคนในสังคมว่าเป็น “ผู้ทรงธรรม” สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็เป็นไปได้สองประการคือ หนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งในสังคมที่ยึดเอา “ธรรม” เป็นที่ตั้งก็จะหลีกลี้หนีหน้า อพยพ หรือล้มหายตายจากไป ส่วนคนกลุ่มที่เหลืออยู่ก็คือคนที่สามารถปรับตัวได้กับสังคมใหม่ในลักษณะที่เป็นอยู่ และสอง สังคมนั้นก็จะกลายเป็นสังคมที่เสื่อมลงไปตามลำดับ.
กำลังโหลดความคิดเห็น