ผมเป็น 1 ในคนไทยจำนวนไม่น้อยที่เบื่อหน่ายกับรายการส่วนใหญ่ในโทรทัศน์เอามากๆ บางครั้งก็ถึงขั้นสะอิดสะเอียนและขยะแขยงจนแทบจะอาเจียนและขนลุกขนพองสยองเกล้า รายการที่ผมรู้สึกแย่เอามากๆ ก็คือ ละครเกมโชว์ (ยกเว้นบางรายการ) ทอล์กโชว์ หรือรายการประเภทวาไรตี้
โดยเฉพาะละครนั้น มีแทบนับเรื่องได้ที่ผมดู และจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีเรื่องไหนที่ทำได้ดีเท่ากับเรื่อง “เทวดาตกสวรรค์” และกับอีกไม่กี่เรื่องที่พอไปได้และอยู่ในเกณฑ์ดี ที่เหลือนอกนั้นเรียกได้ว่าน้ำเน่า ที่ไม่เพียงจะไม่ประเทืองปัญญาเท่านั้น หากหลายฉากของหลายเรื่องยังดูถูกคนดูอีกด้วย
ส่วนรายการประเภทเกมโชว์นั้น ผมไม่ดูเพราะทนต่อเกมปัญญาอ่อนไม่ได้ และที่ผมไม่เข้าใจเลยก็คือ การเอาดารานักร้องมาเป็นคนเล่นเกม และหากใครชนะก็จะได้เงินรางวัลเป็นพันเป็นหมื่น ซึ่งแม้ผมจะรู้ว่าที่เขาเอาคนเหล่านี้มาเล่นนั้นในด้านหนึ่งเพราะดึงคนดูได้มาก ซึ่งสามารถดึงโฆษณาให้เข้ามามากด้วย
แต่ที่ผมไม่สบอารมณ์ก็เพราะผมเห็นว่า ในเมืองไทยยังมีคนเก่งที่ด้อยโอกาสอีกมาก คนเหล่านี้ควรที่จะได้มาออกรายการแล้วได้รางวัล เพื่อที่จะได้นำไปเป็นทุนทำอะไรต่อไป เช่น ลงทุนประกอบอาชีพ หรือเรียนต่อ
และความจริงที่ชวนสะอิดสะเอียนก็คือว่า เรามักจะพบว่าคนเก่งที่ด้อยโอกาสเหล่านี้หากจะมีโอกาสเหล่านี้กับเขาบ้าง เงินทองที่ได้นั้นก็ไม่กี่มากน้อย ยิ่งเด็กนักเรียนด้วยแล้วเห็นอยู่ว่าได้ไม่มาก จากนั้นทางรายการก็จะมีตัววิ่งหรือให้พิธีกรประกาศหาผู้บริจาคให้แก่เด็กๆ เหล่านั้น
ซึ่งดูไปแล้วก็ไม่ต่างกับการบริจาคให้กับคนอนาถา จนผมอยากจะตะโกนดังๆ ว่า ในเมื่อคุณรวยอยู่แล้วทำไมไม่ให้เขาให้ครบๆ กันไปเลยละครับ? พอทีกับดารานักร้องซึ่งรวยอยู่แล้วกลับให้ได้ให้ดี
ส่วนรายการทอล์กโชว์นั้น ส่วนมากมักจะไม่ต่างกับรายการเกมโชว์ คือมักจะนำเอาดารานักร้องมาออกรายการเป็นส่วนใหญ่เช่นกัน และหากคิดให้ลึกซึ้งแล้วจะพบว่า หลายรายการที่ทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการโปรโมตผลงานที่เพิ่งออกใหม่ของคนเหล่านี้ ซึ่งก็คือโฆษณาในรูปแบบหนึ่งนั่นเอง
ที่เลวร้ายเอามากๆ ก็คือว่า คนที่มีผลงานดีจริงๆ มักจะไม่ค่อยได้ออก หรือไม่ได้ออกเลย (โดยเด็ดขาด) โดยเฉพาะนักร้องฝีมือดีที่ผลิตงานคุณภาพออกมา และที่ได้ออกก็มีแต่นักร้องห่วยๆ ที่ร้องเพลงสู้ไม่ได้แม้แต่กับคนตาบอด
อย่างไรก็ตาม ที่ผมสามารถพูดเช่นนั้นได้ก็เพราะรายการเหล่านี้ต้องผ่านหูผ่านตาของผมทั้งแบบจำเป็นและแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ผมต้องดูเพราะร้านอาหารที่ผมนั่งกินข้าวอยู่เปิดให้ดู (ซึ่งที่ถูกแล้วคือ เจ้าของร้านต้องการดูเองมากกว่า) หรือไม่ก็เพราะคนที่บ้านเปิดให้ได้เห็นได้ยิน ที่จะให้ผมเปิดดูเองอย่างใจจดใจจ่อนั้น ไม่มีทาง โทรทัศน์กับผมจึงมีระยะห่างกันค่อนข้างมาก เวลาที่ใกล้ชิดนั้นแทบจะนับได้ เช่น เมื่อดูรายการข่าวหรือสารคดี หรือถ้าเป็นรายการประเภทที่ผมกล่าวมาข้างต้นก็ต้องคัดสรรเฉพาะบางรายการเท่านั้น
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม ก็ใช่ว่าผมจะมีโอกาสที่จะมานั่งติดตามได้ตรงเวลาทุกครั้งไป วันไหนไม่ว่างก็ไม่ได้ดู หรือถ้าว่างบางทีก็ไม่ดู ด้วยเกิดอาการเซ็งต่อรายการนั้น เช่น รายการข่าวการเมืองไทย
ความสัมพันธ์ของผมกับโทรทัศน์จึงมีน้อยมากด้วยเหตุนี้ จนมาเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เองที่ให้บังเอิญว่าผมต้องอยู่โยงเฝ้าบ้านคนเดียว และด้วยเหตุที่กำลังเหนื่อยล้าจากงาน ผมจึงต้องการนั่งเงียบ สักพักอยู่หน้าโทรทัศน์ และด้วยความที่ไม่รู้จะทำอะไร ผมจึงกดรีโมตออกไปยังโทรทัศน์ จากนั้นก็กดผ่านแต่ละช่องไปแบบเซ็งๆ จนมาถึงช่อง “ทีไอทีวี” เดิม เห็นเป็นสารคดีจึงลองดูว่าน่าสนใจหรือไม่
ดูไปสักพักก็รู้สึกว่าตรงกับความชอบส่วนตัวของผม เพราะสารคดีที่ว่าเป็นเรื่องประวัติศาสตร์และโบราณคดีของอียิปต์ โดยกล่าวถึงอาณาจักรที่หายสาบสูญไปใต้ทะเล
ผมนั่งดูอย่างใจจดใจจ่อและด้วยความเพลิดเพลินเจริญปัญญา ดูไปจนลืมเวลาหรืออะไรบางอย่างที่ตัวเองเคยคุ้นชิน จนกระทั่งสารคดีเรื่องนี้จบลง ผมจึงได้เหลือบไปดูนาฬิกาแล้วก็ตกใจเมื่อพบว่า ผมดูสารคดีเรื่องที่ว่าไปกว่าครึ่งชั่วโมงโดยที่ไม่มีโฆษณามาแทรกสักแอะเดียว โอ้....พระเจ้า....!?
จากนั้นไม่นานผมก็ถึงบางอ้อ ว่ารายการที่ผมดูนั้นเป็นช่องที่เรียกไปพลางๆ ก่อนในตอนนี้ว่า “ทีพีบีเอส” ซึ่งย่อมาจากคำฝรั่งว่า “Thai Public Broadcasting Service” (TPBS) ซึ่งเป็นช่องไอทีวีเดิมแล้วผันมาเป็นทีไอทีวี จนเมื่อเรื่องราวผ่านคดีความและขั้นตอนทางกฎหมายออกมา ทีไอทีวีช่องเดิมล่าสุดก็ถูกยุบ แล้วกลายมาเป็น “ทีพีบีเอส” อย่างที่เห็น
ขณะที่เขียนบทความอยู่นี้ ช่องทีพีบีเอสอยู่ภายใต้การบริหารของคณะกรรมการ 5 คน โดยกรรมการทั้งห้านี้จะไปวางแผนทำอะไรต่ออะไรอีกไม่น้อยเพื่อให้โทรทัศน์ช่องนี้เป็นโทรทัศน์สาธารณะ ซึ่งคาดว่าผลคงออกมาในเดือนกุมภาพันธ์นี้
และในระหว่างที่รอกรรมการทั้งห้าไปทำอะไรต่ออะไรนั้น ช่องทีพีบีเอสจึงออกรายการโดยไม่มีโฆษณาแทรก และรายการที่นำมาออกแทบทั้งหมดจะเป็นสารคดี ซึ่งล้วนแล้วแต่น่าสนใจทั้งนั้น และก็ด้วยความน่าสนใจนี้เอง เมื่อว่างจากการงานผมจึงนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์อย่างมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่เมื่อฉุกคิดได้ว่า หากกรรมการทั้งห้าทำอะไรต่ออะไรของท่านเสร็จแล้ว ผมก็เริ่มรู้สึกเป็นทุกข์
ที่เป็นทุกข์เพราะว่า หลังจากนี้ต่อไปผมเกิดไม่แน่ใจว่ารายการต่างๆ จะถูกจัดสรรออกมาอย่างไร จะมีรายการดีๆ อื่นๆ (นอกเหนือจากสารคดี) ที่น่าสนใจและประเทืองปัญญามากน้อยแค่ไหน
หรือจะมีสภาพไม่ต่างกับช่อง 11 ที่มีแต่รายการประเภท “เรื่อยๆ มาเรียงๆ นกบินเฉียงมาทั้งหมู่” หรือไม่ก็เป็นรายการที่หากไม่เป็นเวทีแก้ต่าง ก็เป็นเวทีโปรโมตผลงานให้กับรัฐบาลลูกเดียวโดยห้ามใครมาแย้ง ซึ่งรัฐบาลแต่ละยุคสมัยมักจะทำกันอยู่เสมอ จนช่อง 11 กลายเป็นช่องที่จืดที่สุดช่องหนึ่ง ทั้งที่เป็นช่องที่มีโฆษณาน้อย และควรเป็นช่องที่เป็นโทรทัศน์สาธารณะแท้ๆ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ทำให้ผมอดคิดถึงรายการโทรทัศน์ที่บ้านอื่นเมืองอื่นไปไม่ได้ โดยเฉพาะในประเทศตะวันตก ที่เขาจะแบ่งโทรทัศน์ออกเป็นช่องๆ นับสิบช่อง โดยแต่ละช่องจะมีรายการที่ไม่เหมือนกัน ช่องไหนเป็นรายการไหน เช่น ข่าว สารคดี หนัง ละคร กีฬา การศึกษา ฯลฯ ก็จะเป็นรายการนั้นไปตลอด
ที่สำคัญคือ มีโฆษณาในเวลาที่เหมาะสม ไม่ได้บ้าเลือดแบบเมืองไทย และโฆษณาที่ออกมาแต่ละชุดก็นำเสนอตัวสินค้าจนเกินจริง และไม่มีโฆษณาแฝงจนเกินเหตุ
การแบ่งรายการแบบที่ว่าในเมืองจีนก็ทำ ทั้งที่จีนเปิดประเทศหลังเราไม่รู้กี่สิบปี แถมยังเป็นประเทศเผด็จการแท้ๆ แต่คนจีนกลับไม่ต้องตกอยู่ภายใต้การกดดันและเอาเปรียบจากรายการโทรทัศน์อย่างที่คนไทยเจอในทุกวันนี้ ผมจึงได้แต่ครุ่นคิดอยู่เสมอว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่ตัวกำหนดว่าประเทศนั้นๆ จะสามารถทำในเรื่องที่ฉลาดๆ เสมอไป อย่างเช่นเมืองไทย เป็นต้น
ผมจึงเฝ้าแต่รอคอยว่า เมื่อไหร่เมืองไทยจะเป็นแบบจีนบ้าง และในระหว่างที่รอคอยกรรมการทั้งห้าไปทำอะไรต่ออะไรของท่านอยู่นั้น ผมได้ใช้เวลาที่มีอยู่นั่งดูช่องทีพีบีเอสไปอย่างมีความสุข ในขณะเดียวกันในใจผมก็นับถอยหลังพร้อมกันไปด้วย ว่าความสุขหน้าจอดังที่เป็นอยู่นี้อาจเหลืออยู่ไม่มากนักก็ได้ ถ้าผลที่ออกมาเกิดไม่ดีอย่างที่คิด
ผมจึงได้แต่นั่งลุ้นว่า ขอให้มีรายการออกมาดีๆ ด้วยเถิด อย่าให้ความสุขหน้าจอของผมในขณะนี้ต้องกลายเป็นครั้งหนึ่งครั้งเดียวในชีวิตเลย พับผ่า!
โดยเฉพาะละครนั้น มีแทบนับเรื่องได้ที่ผมดู และจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีเรื่องไหนที่ทำได้ดีเท่ากับเรื่อง “เทวดาตกสวรรค์” และกับอีกไม่กี่เรื่องที่พอไปได้และอยู่ในเกณฑ์ดี ที่เหลือนอกนั้นเรียกได้ว่าน้ำเน่า ที่ไม่เพียงจะไม่ประเทืองปัญญาเท่านั้น หากหลายฉากของหลายเรื่องยังดูถูกคนดูอีกด้วย
ส่วนรายการประเภทเกมโชว์นั้น ผมไม่ดูเพราะทนต่อเกมปัญญาอ่อนไม่ได้ และที่ผมไม่เข้าใจเลยก็คือ การเอาดารานักร้องมาเป็นคนเล่นเกม และหากใครชนะก็จะได้เงินรางวัลเป็นพันเป็นหมื่น ซึ่งแม้ผมจะรู้ว่าที่เขาเอาคนเหล่านี้มาเล่นนั้นในด้านหนึ่งเพราะดึงคนดูได้มาก ซึ่งสามารถดึงโฆษณาให้เข้ามามากด้วย
แต่ที่ผมไม่สบอารมณ์ก็เพราะผมเห็นว่า ในเมืองไทยยังมีคนเก่งที่ด้อยโอกาสอีกมาก คนเหล่านี้ควรที่จะได้มาออกรายการแล้วได้รางวัล เพื่อที่จะได้นำไปเป็นทุนทำอะไรต่อไป เช่น ลงทุนประกอบอาชีพ หรือเรียนต่อ
และความจริงที่ชวนสะอิดสะเอียนก็คือว่า เรามักจะพบว่าคนเก่งที่ด้อยโอกาสเหล่านี้หากจะมีโอกาสเหล่านี้กับเขาบ้าง เงินทองที่ได้นั้นก็ไม่กี่มากน้อย ยิ่งเด็กนักเรียนด้วยแล้วเห็นอยู่ว่าได้ไม่มาก จากนั้นทางรายการก็จะมีตัววิ่งหรือให้พิธีกรประกาศหาผู้บริจาคให้แก่เด็กๆ เหล่านั้น
ซึ่งดูไปแล้วก็ไม่ต่างกับการบริจาคให้กับคนอนาถา จนผมอยากจะตะโกนดังๆ ว่า ในเมื่อคุณรวยอยู่แล้วทำไมไม่ให้เขาให้ครบๆ กันไปเลยละครับ? พอทีกับดารานักร้องซึ่งรวยอยู่แล้วกลับให้ได้ให้ดี
ส่วนรายการทอล์กโชว์นั้น ส่วนมากมักจะไม่ต่างกับรายการเกมโชว์ คือมักจะนำเอาดารานักร้องมาออกรายการเป็นส่วนใหญ่เช่นกัน และหากคิดให้ลึกซึ้งแล้วจะพบว่า หลายรายการที่ทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการโปรโมตผลงานที่เพิ่งออกใหม่ของคนเหล่านี้ ซึ่งก็คือโฆษณาในรูปแบบหนึ่งนั่นเอง
ที่เลวร้ายเอามากๆ ก็คือว่า คนที่มีผลงานดีจริงๆ มักจะไม่ค่อยได้ออก หรือไม่ได้ออกเลย (โดยเด็ดขาด) โดยเฉพาะนักร้องฝีมือดีที่ผลิตงานคุณภาพออกมา และที่ได้ออกก็มีแต่นักร้องห่วยๆ ที่ร้องเพลงสู้ไม่ได้แม้แต่กับคนตาบอด
อย่างไรก็ตาม ที่ผมสามารถพูดเช่นนั้นได้ก็เพราะรายการเหล่านี้ต้องผ่านหูผ่านตาของผมทั้งแบบจำเป็นและแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ผมต้องดูเพราะร้านอาหารที่ผมนั่งกินข้าวอยู่เปิดให้ดู (ซึ่งที่ถูกแล้วคือ เจ้าของร้านต้องการดูเองมากกว่า) หรือไม่ก็เพราะคนที่บ้านเปิดให้ได้เห็นได้ยิน ที่จะให้ผมเปิดดูเองอย่างใจจดใจจ่อนั้น ไม่มีทาง โทรทัศน์กับผมจึงมีระยะห่างกันค่อนข้างมาก เวลาที่ใกล้ชิดนั้นแทบจะนับได้ เช่น เมื่อดูรายการข่าวหรือสารคดี หรือถ้าเป็นรายการประเภทที่ผมกล่าวมาข้างต้นก็ต้องคัดสรรเฉพาะบางรายการเท่านั้น
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม ก็ใช่ว่าผมจะมีโอกาสที่จะมานั่งติดตามได้ตรงเวลาทุกครั้งไป วันไหนไม่ว่างก็ไม่ได้ดู หรือถ้าว่างบางทีก็ไม่ดู ด้วยเกิดอาการเซ็งต่อรายการนั้น เช่น รายการข่าวการเมืองไทย
ความสัมพันธ์ของผมกับโทรทัศน์จึงมีน้อยมากด้วยเหตุนี้ จนมาเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เองที่ให้บังเอิญว่าผมต้องอยู่โยงเฝ้าบ้านคนเดียว และด้วยเหตุที่กำลังเหนื่อยล้าจากงาน ผมจึงต้องการนั่งเงียบ สักพักอยู่หน้าโทรทัศน์ และด้วยความที่ไม่รู้จะทำอะไร ผมจึงกดรีโมตออกไปยังโทรทัศน์ จากนั้นก็กดผ่านแต่ละช่องไปแบบเซ็งๆ จนมาถึงช่อง “ทีไอทีวี” เดิม เห็นเป็นสารคดีจึงลองดูว่าน่าสนใจหรือไม่
ดูไปสักพักก็รู้สึกว่าตรงกับความชอบส่วนตัวของผม เพราะสารคดีที่ว่าเป็นเรื่องประวัติศาสตร์และโบราณคดีของอียิปต์ โดยกล่าวถึงอาณาจักรที่หายสาบสูญไปใต้ทะเล
ผมนั่งดูอย่างใจจดใจจ่อและด้วยความเพลิดเพลินเจริญปัญญา ดูไปจนลืมเวลาหรืออะไรบางอย่างที่ตัวเองเคยคุ้นชิน จนกระทั่งสารคดีเรื่องนี้จบลง ผมจึงได้เหลือบไปดูนาฬิกาแล้วก็ตกใจเมื่อพบว่า ผมดูสารคดีเรื่องที่ว่าไปกว่าครึ่งชั่วโมงโดยที่ไม่มีโฆษณามาแทรกสักแอะเดียว โอ้....พระเจ้า....!?
จากนั้นไม่นานผมก็ถึงบางอ้อ ว่ารายการที่ผมดูนั้นเป็นช่องที่เรียกไปพลางๆ ก่อนในตอนนี้ว่า “ทีพีบีเอส” ซึ่งย่อมาจากคำฝรั่งว่า “Thai Public Broadcasting Service” (TPBS) ซึ่งเป็นช่องไอทีวีเดิมแล้วผันมาเป็นทีไอทีวี จนเมื่อเรื่องราวผ่านคดีความและขั้นตอนทางกฎหมายออกมา ทีไอทีวีช่องเดิมล่าสุดก็ถูกยุบ แล้วกลายมาเป็น “ทีพีบีเอส” อย่างที่เห็น
ขณะที่เขียนบทความอยู่นี้ ช่องทีพีบีเอสอยู่ภายใต้การบริหารของคณะกรรมการ 5 คน โดยกรรมการทั้งห้านี้จะไปวางแผนทำอะไรต่ออะไรอีกไม่น้อยเพื่อให้โทรทัศน์ช่องนี้เป็นโทรทัศน์สาธารณะ ซึ่งคาดว่าผลคงออกมาในเดือนกุมภาพันธ์นี้
และในระหว่างที่รอกรรมการทั้งห้าไปทำอะไรต่ออะไรนั้น ช่องทีพีบีเอสจึงออกรายการโดยไม่มีโฆษณาแทรก และรายการที่นำมาออกแทบทั้งหมดจะเป็นสารคดี ซึ่งล้วนแล้วแต่น่าสนใจทั้งนั้น และก็ด้วยความน่าสนใจนี้เอง เมื่อว่างจากการงานผมจึงนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์อย่างมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่เมื่อฉุกคิดได้ว่า หากกรรมการทั้งห้าทำอะไรต่ออะไรของท่านเสร็จแล้ว ผมก็เริ่มรู้สึกเป็นทุกข์
ที่เป็นทุกข์เพราะว่า หลังจากนี้ต่อไปผมเกิดไม่แน่ใจว่ารายการต่างๆ จะถูกจัดสรรออกมาอย่างไร จะมีรายการดีๆ อื่นๆ (นอกเหนือจากสารคดี) ที่น่าสนใจและประเทืองปัญญามากน้อยแค่ไหน
หรือจะมีสภาพไม่ต่างกับช่อง 11 ที่มีแต่รายการประเภท “เรื่อยๆ มาเรียงๆ นกบินเฉียงมาทั้งหมู่” หรือไม่ก็เป็นรายการที่หากไม่เป็นเวทีแก้ต่าง ก็เป็นเวทีโปรโมตผลงานให้กับรัฐบาลลูกเดียวโดยห้ามใครมาแย้ง ซึ่งรัฐบาลแต่ละยุคสมัยมักจะทำกันอยู่เสมอ จนช่อง 11 กลายเป็นช่องที่จืดที่สุดช่องหนึ่ง ทั้งที่เป็นช่องที่มีโฆษณาน้อย และควรเป็นช่องที่เป็นโทรทัศน์สาธารณะแท้ๆ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ทำให้ผมอดคิดถึงรายการโทรทัศน์ที่บ้านอื่นเมืองอื่นไปไม่ได้ โดยเฉพาะในประเทศตะวันตก ที่เขาจะแบ่งโทรทัศน์ออกเป็นช่องๆ นับสิบช่อง โดยแต่ละช่องจะมีรายการที่ไม่เหมือนกัน ช่องไหนเป็นรายการไหน เช่น ข่าว สารคดี หนัง ละคร กีฬา การศึกษา ฯลฯ ก็จะเป็นรายการนั้นไปตลอด
ที่สำคัญคือ มีโฆษณาในเวลาที่เหมาะสม ไม่ได้บ้าเลือดแบบเมืองไทย และโฆษณาที่ออกมาแต่ละชุดก็นำเสนอตัวสินค้าจนเกินจริง และไม่มีโฆษณาแฝงจนเกินเหตุ
การแบ่งรายการแบบที่ว่าในเมืองจีนก็ทำ ทั้งที่จีนเปิดประเทศหลังเราไม่รู้กี่สิบปี แถมยังเป็นประเทศเผด็จการแท้ๆ แต่คนจีนกลับไม่ต้องตกอยู่ภายใต้การกดดันและเอาเปรียบจากรายการโทรทัศน์อย่างที่คนไทยเจอในทุกวันนี้ ผมจึงได้แต่ครุ่นคิดอยู่เสมอว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่ตัวกำหนดว่าประเทศนั้นๆ จะสามารถทำในเรื่องที่ฉลาดๆ เสมอไป อย่างเช่นเมืองไทย เป็นต้น
ผมจึงเฝ้าแต่รอคอยว่า เมื่อไหร่เมืองไทยจะเป็นแบบจีนบ้าง และในระหว่างที่รอคอยกรรมการทั้งห้าไปทำอะไรต่ออะไรของท่านอยู่นั้น ผมได้ใช้เวลาที่มีอยู่นั่งดูช่องทีพีบีเอสไปอย่างมีความสุข ในขณะเดียวกันในใจผมก็นับถอยหลังพร้อมกันไปด้วย ว่าความสุขหน้าจอดังที่เป็นอยู่นี้อาจเหลืออยู่ไม่มากนักก็ได้ ถ้าผลที่ออกมาเกิดไม่ดีอย่างที่คิด
ผมจึงได้แต่นั่งลุ้นว่า ขอให้มีรายการออกมาดีๆ ด้วยเถิด อย่าให้ความสุขหน้าจอของผมในขณะนี้ต้องกลายเป็นครั้งหนึ่งครั้งเดียวในชีวิตเลย พับผ่า!