xs
xsm
sm
md
lg

คงต้องอบรมกันอีกหลายยก!

เผยแพร่:   โดย: ราวี เวียงพยัคฆ์

ผมพูดหลายครั้งแล้วว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องประหลาดแต่อย่างใดที่พรรคการเมืองอื่นๆ ตั้งแต่พรรคชาติไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ฯลฯ จะโดดเดี่ยวให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคฝ่ายค้านแต่เพียงพรรคเดียว ก็เมื่อพรรคพลังประชาชนได้เสียงข้างมาก และออกปากเชิญแล้วอย่างนั้น ใครที่ไหนจะมัวอยู่อย่างตายอดตายอยาก

การไม่เข้าร่วมรัฐบาลหรือดำเนินนโยบายให้เขาไม่เชิญไปร่วมรัฐบาลนั่นต่างหาก เป็นการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดอย่างที่ลูกพรรคไม่ควรที่จะให้อภัย เรื่องอย่างนี้นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยผู้มากประสบการณ์ย่อมอธิบายได้เป็นอย่างดี

ที่รู้สึกแปลกและประหลาดเอามากก็คือ อารมณ์ความรู้สึกของคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน พรรคซึ่งได้รับเสียงข้างมากและเป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่เห็นที่จะต้องแหวเอากับนักข่าวที่ตั้งคำถามหลังจากที่พรรคการเมืองต่างๆ ที่สนับสนุนพรรคพลังประชาชนให้เป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาลที่ถามว่า สนับสนุนให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี

นี่เป็นคำถามที่ธรรมดาสามัญที่สุด เพราะเมื่อรวมกันแล้วได้เสียงข้างมาก ก็ต้องมองเห็นตัวคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี

ไม่ใช่คำถามพิสดาร ไม่ใช่คำถามหาเรื่อง แต่อย่างใด

ก็ตอบง่ายๆ สั้นๆ ว่า ผมนี่แหละครับ นายสมัคร สุนทรเวช จะเป็นนายกรัฐมนตรีก็เท่านั้น ไหนว่ามีประสบการณ์พูดเป็น คิดเป็น

หัวหน้าพรรคเสียงข้างมากและเป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาลเป็นนายกรัฐมนตรี นั่นก็ถูกต้องอยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องกระมิดกระเมี้ยนเขินอายเหมือนเจ้าสาวเพิ่งส่งเข้าห้องหอ

ปี 2516 นักข่าวถามนายสมัคร สุนทรเวช ว่า “ท่านเป็นนักพูดที่เก่งตั้งแต่ที่เรียนมหาวิทยาลัยใช่ไหนครับ?”

นายสมัคร สุนทรเวช ยังตอบรับด้วยความภาคภูมิใจ ไม่มีกระมิดกระเมี้ยนเลยสักนิดว่า

“ยังง้าน.....”

หรือว่าการที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรียามนี้ยังไม่ลงตัว ยังจะต้องเจรจากันอีก ยังจะต้องให้เลขาธิการพรรค นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อบรมมารยาทสั่งสอนให้มีวุฒิภาวะให้เหมาะสมกว่านี้เสียก่อน จึงจะได้รับการค้ำประกันว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะไม่หนีไปไหน

การเปิดแถลงข่าวของ 6 พรรคการเมืองเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล จะไม่ให้นักข่าวถามถึงนายกรัฐมนตรีจะให้ถามถึงแมวที่ไหน?

ก็ถูกละ การจะเอาใครเป็นนายกรัฐมนตรีขึ้นอยู่กับที่ประชุมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องมีการประชุมกันอย่างเป็นทางการ ได้ชื่อแล้วประธานสภาผู้แทนราษฎรก็นำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อลงพระปรมาภิไธย

ตำแหน่งอื่นๆ ที่สำคัญๆ เป็นต้นว่า ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ฯลฯ ก็ทำกันอย่างนี้

เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดาของหนังสือพิมพ์ ของนักข่าวที่จะแสวงหาข่าวหรือจะต้องถามแหล่งข่าว

ขนาดพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ฮ่องกง อยู่อังกฤษ ก็มีนักข่าวถามถึงเรื่องนี้

ไม่เห็นจะต้องอารมณ์เสีย

เว้นเสียแต่จะยังไม่มั่นใจ เป็นต้นว่า คดีนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคที่กำลังมีการตรวจสอบกันอยู่ขณะนี้ ถึงคณะกรรมการการเลือกตั้งจะรับรองไปแล้ว ถ้าหากพบความผิดทีหลังก็ยังสามารถที่จะเอาผิดกับนายยงยุทธ ติยะไพรัช ได้

และเมื่อนายยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นรองหัวหน้าพรรค จะกระทบกับพรรคพลังประชาชนหรือไม่ จะกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่ของคนที่คิดว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่

หรือเจ้าของพรรคตัวจริงเสียงจริง เขาคิดเป็นอย่างอื่น เป็นต้นว่า ไหนๆ ก็ลงทุนลงแรงไปแล้ว ตำแหน่งแห่งที่ก็น่าจะเป็นคนของเขาที่จะรับใช้เขาได้อย่างสุดจิตสุดใจมากกว่า ขืนให้คนที่ไม่นิ่ง อารมณ์พลุ่งพล่านก็ต้องเสียเวลาให้เลขาธิการพรรคอบรมสั่งสอน จะพาไปในทางเสียหายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้...

ยังมีคดีที่เป็นชนักติดหลังอีก นั่นก็คือ การเซ็นสัญญาซื้อรถและเรือดับเพลิงก่อนหน้าที่จะพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไม่กี่ชั่วโมง (มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ วันที่ 29 สิงหาคม 2547 แต่วันที่ 30 สิงหาคม 2547 อนุมัติในการเปิดแอล/ซี ค่ารถดับเพลิง และค่าครุภัณฑ์บรรเทาสาธารณภัย 21 ล้านบาท)

เรื่องนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ คตส.

และเรื่องนี้ก็เห็นชัดเจนว่า การจัดซื้อจัดจ้างครั้งนี้ มีการคอร์รัปชันกันอย่างมโหฬาร นายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯ จะเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน จะบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นยองใยหรือไม่ ก็ยังไม่รู้

นี่ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งของความไม่แน่ใจหรือไม่กับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

นักข่าวก็ดี ประชาชนทั้งหลายทั้งปวงก็ดี จะต้องมาอดทนกับอารมณ์อันผิดปกติของนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนละหรือ?

นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนหาเสียงปราศรัยกับประชาชนตามที่ต่างๆ หลายครั้งหลายวาระว่า 4-5 ปีก่อน บ้านเมืองอยู่ดีๆ แล้วก็มีคณะทหารมาปฏิวัติมายึดอำนาจทำลายประชาธิปไตย ตอนนี้ต้องเอาประชาธิปไตยกลับมา

พูดเหมือนกับว่า เขาศรัทธาประชาธิปไตยเสียเต็มประดา

พูดเหมือนกับว่า เขาเกลียดการปฏิวัติรัฐประหารเสียเต็มประดา

แล้ว 6 ตุลาคม 2519 ใครละมันได้ดิบได้ดีเป็นรัฐมนตรีเพราะการยึดอำนาจของทหารหลังการเข่นฆ่าประชาชนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสนามหลวง
กำลังโหลดความคิดเห็น