ผู้จัดการรายวัน – เอ็มโพเรี่ยม ชี้ธุรกิจค้าปลีกปีหนูโตพรวด 10-15% หลังกำลังซื้ออั้นจากปีที่ผ่านมา กระทบค้าปลีกทรุด อัดฉีด 840 ล้านบาท ปรับกลยุทธ์ชูอีเวนต์สร้างยอดขายมากกว่าสร้างสีสัน เท 50 ล้านบาท จัดงานเอ็มโพเรี่ยม เวิลด์ แฟชั่น โชว์เคส 2008 ดึงความเชื่อมั่นซูเปอร์แบรนด์ลงทุนในไทย “ชาเนล” เผยแบรนด์ดังแห่ขยายชอปในจีนแทน ระบุย่านสุขุมวิท 1-2 ปี คอนโดผุด 2 หมื่นยูนิต เอ็มโพเรียมหวังรับอานิสงส์
นายเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ กรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ดิ เอ็มโพเรี่ยม ช้อปปิ้ง คอมเพล็กซ์ เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้มีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากมีปัจจัยบวกหลายด้าน ทั้งจากสถาบันการเงินต่างประเทศ เริ่มให้เครดิตกับประเทศไทยมากขึ้น มีการเลือกตั้งทำให้ประชาธิปไตยเต็มใบ การท่องเที่ยวมีทิศทางดีขึ้น โครงการเมกกะโปรเจกต์เกิดขึ้นแน่ ตลอดจนด้านการส่งออก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับตัวแปรสำคัญ คือ การจัดตั้งรัฐบาลซึ่งถือว่าเป็นฟันเฟื่องที่สำคัญที่สุดการในขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
ส่วนปัจจัยราคาน้ำมันและค่าเงินบาทที่แข็งค่า เป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะเป็นโกลเบิ้ลเอฟเฟ็กซ์ ขณะที่ซับไพร์มเกิดขึ้นในอเมริกาเริ่มมีความชัดเจน และเชื่อว่าสถาบันการเงินของไทยคงไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นในประเทศอย่างแน่นอน ดังนั้นจากปัจจัยบวกที่เกิดขึ้น คาดว่าทิศทางธุรกิจค้าปลีกในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 10-15% โดยคาดว่าสินค้ากลุ่มแฟชั่นจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาค้าปลีกมีอัตราการเติบโต 5-10%
สำหรับนโยบายการดำเนินธุรกิจปีนี้ มุ่งเน้นการจัดกิจกรรมให้มีความครบวงจรและลงลึกมากขึ้น เพื่อเน้นในเรื่องของยอดขาย สร้างความรู้สึกและความสัมพันธ์ ขณะเดียวกันเป็นการกระตุ้นอารมณ์ในการซื้อ และขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เพิ่มขึ้น โดยไม่เน้นจัดงานเพื่อสร้างสีสันแต่ละดึงกิจกรรมเล็กๆให้เป็นกิจกรรมใหญ่ ภายใต้การใช้งบการตลาดเพิ่มขึ้น 20% หรือกว่า 840 ล้านบาท จากในปีที่ผ่านมาใช้งบ 700 ล้านบาท ในกลุ่มศูนย์การค้าสยามพารากอนเกือบ 500 ล้านบาท และเอ็มโพเรี่ยมกว่า 200 ล้านบาท
นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ปีนี้ภาพรวมเอ็มโพเรี่ยมคาดว่าจะมีทิศทางดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 1-2 ปีนี้ เนื่องจากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เริ่มพัฒนาที่ดินใหม่ๆ โดยคาดว่าจะมีคอนโดมิเนียมเกิดใหม่ 1-2 หมื่นยูนิต สำหรับแผนการตลาดเอ็มโพเรี่ยมปีนี้จะเน้นเจาะลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นในแง่ของคุณภาพมากขึ้น จากปัจจุบันสัดส่วนลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นราว 30% ครอบครัว 70% ทั้งนี้คาดว่าเอ็มโพเรี่ยมปีนี้จะเติบโต 10-15% จากเมื่อปีที่ผ่านมาไม่เติบโต ส่วนศูนย์การค้าสยาม พารากอน ปีนี้คาดว่าเติบโต 15% จากปีที่ผ่านมาโต 10% ขณะที่ทั้งกลุ่มคาดว่าจะเติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาโตกว่า 10%
**จัดอีเวนต์ดึงความเชื่อมั่นซูเปอร์แบรนด์**
นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ล่าสุดได้ทุ่มงบ 50 ล้านบาท จัดงานเอ็มโพเรี่ยม เวิลด์ แฟชัน โชว์เคส 2008 โดยร่วมกับซูเปอร์แบรนด์นับ 10 แบรนด์ ได้แก่ ชาเนล โคโอ้ เอมิริโอ ปุชชี่ เป็นต้น นำคอลเลกชันล่าสุดสปริง/ซัมเมอร์ 2008 จากปารีสและมิลานมาแสดงเป็นครั้งแรกในเอเชีย ที่ ดิ เอ็มโพเรี่ยม ระหว่างวันที่ 31 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ นี้ ทั้งนี้วัตถุประสงค์การจัดงานดังกล่าว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับซูเปอร์แบรนด์ และเข้ามาลงทุนเปิดชอปในประเทศไทย หลังจาก 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเกิดปัจจัยลบหลายด้านทำให้ซูเปอร์แบรนด์ลงทุนขยายชอปลดลง และหันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเวียดนามแทน
นายกีโยม โซแซง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาเนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของไทยและการเมืองยังไม่นิ่ง โดยซูเปอร์แบรนด์หันไปเน้นลงทุนในประเทศจีน ซึ่งมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง อย่างไรก็ตามสำหรับชาเนลมองว่า ภาพรวมของประเทศไทยยังค่อนข้างดี ซึ่งในปีที่ผ่านชาเนลได้ลงทุนเปิดชอป ที่ สนามบินสุวรรณภูมิ และในปี 2549 ที่ สยามพารากอน และในปี 2540 เปิดชอปที่เอ็มโพเรี่ยม ส่วนแผนลงทุนเปิดชอปใหม่นั้นขึ้นกับนโยบายภาษีนำเข้ากลุ่มสินค้าแฟชั่น เพราะเมื่อเทียบกับฮ่องกงภาษีแตกต่างกันถึง 10-12% หากประเทศไทยเปิดดิวตี้ฟรีกลุ่มเสื้อผ้า มั่นใจว่าเป็นชอปปิ้งพาราไดซ์เช่นเดียวกับฮ่องกงได้ไม่ยาก
นายเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ กรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ดิ เอ็มโพเรี่ยม ช้อปปิ้ง คอมเพล็กซ์ เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้มีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากมีปัจจัยบวกหลายด้าน ทั้งจากสถาบันการเงินต่างประเทศ เริ่มให้เครดิตกับประเทศไทยมากขึ้น มีการเลือกตั้งทำให้ประชาธิปไตยเต็มใบ การท่องเที่ยวมีทิศทางดีขึ้น โครงการเมกกะโปรเจกต์เกิดขึ้นแน่ ตลอดจนด้านการส่งออก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับตัวแปรสำคัญ คือ การจัดตั้งรัฐบาลซึ่งถือว่าเป็นฟันเฟื่องที่สำคัญที่สุดการในขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
ส่วนปัจจัยราคาน้ำมันและค่าเงินบาทที่แข็งค่า เป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะเป็นโกลเบิ้ลเอฟเฟ็กซ์ ขณะที่ซับไพร์มเกิดขึ้นในอเมริกาเริ่มมีความชัดเจน และเชื่อว่าสถาบันการเงินของไทยคงไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นในประเทศอย่างแน่นอน ดังนั้นจากปัจจัยบวกที่เกิดขึ้น คาดว่าทิศทางธุรกิจค้าปลีกในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 10-15% โดยคาดว่าสินค้ากลุ่มแฟชั่นจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาค้าปลีกมีอัตราการเติบโต 5-10%
สำหรับนโยบายการดำเนินธุรกิจปีนี้ มุ่งเน้นการจัดกิจกรรมให้มีความครบวงจรและลงลึกมากขึ้น เพื่อเน้นในเรื่องของยอดขาย สร้างความรู้สึกและความสัมพันธ์ ขณะเดียวกันเป็นการกระตุ้นอารมณ์ในการซื้อ และขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เพิ่มขึ้น โดยไม่เน้นจัดงานเพื่อสร้างสีสันแต่ละดึงกิจกรรมเล็กๆให้เป็นกิจกรรมใหญ่ ภายใต้การใช้งบการตลาดเพิ่มขึ้น 20% หรือกว่า 840 ล้านบาท จากในปีที่ผ่านมาใช้งบ 700 ล้านบาท ในกลุ่มศูนย์การค้าสยามพารากอนเกือบ 500 ล้านบาท และเอ็มโพเรี่ยมกว่า 200 ล้านบาท
นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ปีนี้ภาพรวมเอ็มโพเรี่ยมคาดว่าจะมีทิศทางดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 1-2 ปีนี้ เนื่องจากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เริ่มพัฒนาที่ดินใหม่ๆ โดยคาดว่าจะมีคอนโดมิเนียมเกิดใหม่ 1-2 หมื่นยูนิต สำหรับแผนการตลาดเอ็มโพเรี่ยมปีนี้จะเน้นเจาะลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นในแง่ของคุณภาพมากขึ้น จากปัจจุบันสัดส่วนลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นราว 30% ครอบครัว 70% ทั้งนี้คาดว่าเอ็มโพเรี่ยมปีนี้จะเติบโต 10-15% จากเมื่อปีที่ผ่านมาไม่เติบโต ส่วนศูนย์การค้าสยาม พารากอน ปีนี้คาดว่าเติบโต 15% จากปีที่ผ่านมาโต 10% ขณะที่ทั้งกลุ่มคาดว่าจะเติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาโตกว่า 10%
**จัดอีเวนต์ดึงความเชื่อมั่นซูเปอร์แบรนด์**
นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ล่าสุดได้ทุ่มงบ 50 ล้านบาท จัดงานเอ็มโพเรี่ยม เวิลด์ แฟชัน โชว์เคส 2008 โดยร่วมกับซูเปอร์แบรนด์นับ 10 แบรนด์ ได้แก่ ชาเนล โคโอ้ เอมิริโอ ปุชชี่ เป็นต้น นำคอลเลกชันล่าสุดสปริง/ซัมเมอร์ 2008 จากปารีสและมิลานมาแสดงเป็นครั้งแรกในเอเชีย ที่ ดิ เอ็มโพเรี่ยม ระหว่างวันที่ 31 มกราคม -5 กุมภาพันธ์ นี้ ทั้งนี้วัตถุประสงค์การจัดงานดังกล่าว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับซูเปอร์แบรนด์ และเข้ามาลงทุนเปิดชอปในประเทศไทย หลังจาก 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเกิดปัจจัยลบหลายด้านทำให้ซูเปอร์แบรนด์ลงทุนขยายชอปลดลง และหันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเวียดนามแทน
นายกีโยม โซแซง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาเนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของไทยและการเมืองยังไม่นิ่ง โดยซูเปอร์แบรนด์หันไปเน้นลงทุนในประเทศจีน ซึ่งมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง อย่างไรก็ตามสำหรับชาเนลมองว่า ภาพรวมของประเทศไทยยังค่อนข้างดี ซึ่งในปีที่ผ่านชาเนลได้ลงทุนเปิดชอป ที่ สนามบินสุวรรณภูมิ และในปี 2549 ที่ สยามพารากอน และในปี 2540 เปิดชอปที่เอ็มโพเรี่ยม ส่วนแผนลงทุนเปิดชอปใหม่นั้นขึ้นกับนโยบายภาษีนำเข้ากลุ่มสินค้าแฟชั่น เพราะเมื่อเทียบกับฮ่องกงภาษีแตกต่างกันถึง 10-12% หากประเทศไทยเปิดดิวตี้ฟรีกลุ่มเสื้อผ้า มั่นใจว่าเป็นชอปปิ้งพาราไดซ์เช่นเดียวกับฮ่องกงได้ไม่ยาก