xs
xsm
sm
md
lg

แบงก์-เอ็มโพเรียมจัดงานเอ็กโป ชี้ทางเลือกลงทุนจัดสรรเงินออม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สถาบันการเงินชั้นนำผนึกดิเอ็มโพเรี่ยมร่วมจัดงาน "Emporium Asset & Wealth Management Expo 2008" เปิดวิสัยทัศน์การออมและการลงทุน คาดมีเม็ดเงินสะพัด 600 ล้านบาท ด้านแบงก์กรุงเทพระบุปัญหาการเมืองยืดเยื้ออาจมีผลต่อระดับเครดิตของประเทศ

วานนี้ ได้มีการแถลงข่าวร่วมกันในการจัดงาน "Emporium Asset & Wealth Management Expo 2008" ขึ้น ในวันที่ 10-15 กันยายนนี้ ที่บริเวณแฟชั่นฮอล์ ชั้น 1 ดิ เอ็มโพเรี่ยม ช้อปปิ้ง คอมเพล็กซ์ โดย ดิ เอ็มโพเรี่ยม ช้อปปิ้ง คอมเพล็กซ์ ร่วมกับธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน),เครือธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน),บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด,บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด และ Profitable Group ประเทศอังกฤษ

นายบดินทร์ อูนากูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ธนาคารและบริษัทในเครือได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่การตลาดที่ได้รับใบอนุญาตด้านการลงทุนไว้คอยแนะนำช่องทางการออมและการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้ลูกค้าได้เลือกสรรมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบริการเงินฝาก หน่วยลงทุนกองทุนรวม ตราสารหนี้ ตราสารทุน ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ รวมถึงสิทธิประโยชน์ในด้านต่างๆ ที่แตกต่างกันในแต่ละผลิตภัณฑ์

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เครือธนาคารกสิกรไทย นำเสนอ บริการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล (K-WePlan) เริ่มตั้งแต่การให้คำปรึกษาการวางแผนและบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคล และเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสมเพื่อตอบสนองแผนการเงินที่ต้องการ นอกจากนี้ยังมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า 200 ท่านแรกที่ซื้อตั๋วแลกเงิน ในโปรแกรม K- B/E ฝาก 12 เดือน รับดอกเบี้ยพิเศษขั้นบันไดสูงสุดถึง 5.5% ต่อปี โดยในงานนี้คาดว่าจะมีผู้มาสนใจใช้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆของธนาคาร ประมาณ 200 ล้านบาท

นายศักดิ์สิทธิ์ ปิติพงศ์สุนทร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายบริการด้านการตลาด ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กล่าวว่า จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่ธนาคารมุ่งนำเสนอ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์และบัญชีเงินฝากประจำทั้งสกุลเงินบาทและสกุลตราต่างประเทศ กองทุนรวมจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำ และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต โดยแคมเปญเด่น คือ เงินฝากออมทรัพย์ Marathon Savings ซึ่งธนาคารได้นำเสนอเป็นประจำ ในฤดูการแข่งขันการวิ่งนานาชาติ"สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กรุงเทพ มาราธอน" ซึ่งปีนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 23 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ภายใต้แนวคิด ยิ่งออมนาน ยิ่งได้รับดอกเบี้ยเพิ่มมากขึ้น ให้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 4% ต่อปี

นายสุธี โมกขะเวส ที่ปรึกษากรรมการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด กล่าวว่า บริษัท ได้เล็งเห็นถึงสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันจึงได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ "เมืองไทย สมาร์ท เซฟเวอร์ 10/1" โดยลูกค้ามั่นใจว่าจะให้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 24 เดือน ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 3.50% ต่อปี และหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุดตามเกณฑ์ของของกรมสรรพากร

นายเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ กรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ดิ เอ็มโพเรี่ยม ช้อปปิ้ง คอมเพล็กซ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจที่ตึงตัวอยู่ในขณะนี้ส่งผลกระทบต่อผู้คนทุกระดับชั้น จากสภาวะเงินเฟ้อ ราคาทองคำที่ผันผวน และราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ตลอดจนดอกเบี้ยที่ให้ผลตอบแทนต่ำ จึงได้ร่วมกับสถาบันการเงินชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ จัดงานดังกล่าวขึ้นเพื่อเป็นการเปิดวิสัยทัศน์แห่งการออมและการลงทุน และคาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดกว่า 600 ล้านบาท

**BBLหวั่นเครดิตประเทศถูกปรับลด**

นอกจากนี้ นายบดินทร์ยังกล่าวว่า จากปัญหาทางการเมืองในขณะนี้อาจ ส่งผลให้บริษัทจัดเครดิตเรตติ้ง เตรียมทบทวนอันดับเครดิตของประเทศไทยว่าจะคงระดับที่เสถียรภาพ หรือปรับลดเครดิต ซึ่งหากปรับลดอันดับเครดิตจากมีเสถียรภาพเป็นระดับที่มีความเสี่ยงสูงนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในประเทศไทยก็ต้องขายเงินลงทุนเพื่อนำเงินออกไป ส่วนเงินลงทุนใหม่ก็จะไม่เข้ามาลงทุนในไทย เนื่องจากมีความเสี่ยง ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไปแล้ว 100,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ถ้ามีการปรับลดอันดับเครดิตของประเทศไทยลง ก็จะส่งผลให้ต้นทุนการเงินปรับตัวสูงขึ้น รัฐบาลไม่สามารถออกพันธบัตร หรือกู้เงินจากต่างประเทศ มาทำโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลได้ ขณะที่ภาคเอกชนต้นทุนการเงินก็จะปรับขึ้นเช่นกัน เพราะออกหุ้นกู้หรือตราสารหนี้ต้องเสียดอกเบี้ยสูงขึ้น ขณะที่ธนาคารพาณิชย์เองต้นทุนการเงินก็ปรับขึ้น เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาได้มีการระดมเงินฝากด้วยการออกผลิตภัณฑ์ที่ให้ดอกเบี้ยสูงเพื่อนำเงินดังกล่าวมาขยายสินเชื่อ หรือสำรองสภาพคล่อง เมื่อไม่สามารถขยายสินเชื่อได้ก็ต้องแบกรับภาระต้นทุน ส่วนบริษัทจดทะเบียนที่เตรียมระดมทุนด้วยการนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวยก็ต้องชะลอแผนนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาด ดังนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ควรจบให้เร็วที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น