0 เห็นจะต้องบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์การเมืองอีกหน้าแล้วละว่า การจัดตั้งรัฐบาลหลังวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ภายใต้การนำของ “สมัคร สุนทรเวช” นอมินี “ทักษิณ ชินวัตร” นั้นทุลักทุเลมากชุดหนึ่ง
แม้จะได้รับความไว้วางใจจากประชาขนมาเป็นอันดับหนึ่งมีคะแนนเสียงมากกว่าพรรคลำดับที่สองอย่างประชาธิปัตย์กว่า 70 เสียง แต่กว่าจะรวบรวมเสียงได้อย่างมั่นคงต้องใช้เวลายาวนานที่สำคัญของแลกมาด้วย “ปัจจัย” และตำแหน่งเสนาบดีสำคัญๆ ไปให้พรรคอื่นไม่น้อย จะทำอย่างไรได้ในเมื่อมันเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่อำนาจเพื่อทำในสิ่งที่ผิดให้เป็นถูก นำสิ่งที่สูญเสียไปให้กลับคืนมา การลงทุนแม้จะมากแต่ก็คุ้มค่ายิ่ง
0 ถ้าจะถามว่าการได้มาซึ่งอำนาจเพื่อปูทางให้เจ้าของพรรคตัวจริงกลับมาทวงคืนสมบัติที่เสียไปจากการถูกตรวจสอบทุจริตและฟอกตัวเพื่อให้พ้นผิดในสิ่งที่ทำไว้ เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจไหม ก็ต้องบอกว่าแม้จะน่ารังเกียจแต่ก็พอรับได้เพราะเป็นที่รู้กันตั้งแต่เริ่มก่อร่างสร้างพรรคพลังประชาชนแล้วว่า เป้าหมายที่แท้จริงของกลุ่มนักการเมืองเหล่านี้ทำเพื่อคนๆ เดียวอย่างชัดเจน
แต่การที่นักการเมืองซึ่งแสดงตัวตั้งแต่ต้นว่ายืนอยู่คนละขั้วกับกลุ่มบุคคลที่ถูกมองว่าเป็นนอมินีของ “ทักษิณ” กลับโดดเข้าไปเป็นฐานเสียงให้รัฐบาล “พลังประชาชน” เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจรัฐ และไดผลประโยชน์จาก“ปัจจัย” ที่ถูกหยิบยื่นให้เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจมากกว่า
พรรคที่หักหลังประชาชน
0 “บรรหาร ศิลปอาชา” หัวหน้าพรรคชาติไทยก็ดี “เสนาะ เทียนทอง” หัวหน้าค่ายประชาราชก็ดี ต่างก็รู้กันว่ายืนอยู่คนละขั้ว ถึงขนาดเคยต่อสู้และต่อต้านกลุ่มอำนาจเก่ามาตลอดในรูปแบบต่างๆ
หรือแม้แต่ “สุวิทย์ คุณกิตติ” หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน “เชษฐา ฐานะจาโร” ผู้นำพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา หรือแม้แต่ “อนงค์วรรณ เทพสุทิน” ภรรยาสุดที่รักของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” หัวหน้ากลุ่มมัชฌิมา เป็นที่รับรู้กันว่า เป็นนักการเมืองที่ยกทีมออกจากกลุ่มไทยรักไทย เพื่อมาสร้างพรรคใหม่ ตามกระแสสังคมที่ไม่ยอมรับขั่วอำนาจเก่า
คนเหล่านี้เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าคะแนนที่พวกคุณได้มานั้น มาจากกลุ่มที่เขาไม่เอา “นอมินีทักษิณ”การโดดเข้าผสมพันธ์ร่วมตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนนันเป็นการหักหลังประชาชนอย่างหน้าด้านๆ
0 การอ้างว่าพลังประชาชนได้เสียงมาเป็นอันดับหนึ่งจึงมีความชอบธรรมที่จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล คำถามคือ 233 เสียงที่ได้มาเป็นไปอย่างสุจริตหรือไม่ 65 เสียงที่ กกต.ไม่ประกาศรับรองเพราะถูกร้องเรียนการทุจริตน่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่ง
แม้ในเวลาต่อมา กกต.จะประกาศรับรองไปบ้างส่วน ก็เพราะจับไม่ได้ไล่ไม่ทันในภาวะที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยของ กกต.กลาง และ กกต.จังหวัดยังไม่มีความเข้มแข็ง พอที่จะตรวจสอบจนเอาผิดได้อย่างชัดเจน แต่ก็ถูกใบเหลือง ใบแดงไปจำนวนไม่น้อย
จับตา พปช.ย้อนร้อย ทรท.
0 ถ้าจะย้อนไปดูช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง จะเห็นว่า “พลังประชาชน” เป็นพรรคการเมืองเดียวที่หาเสียงในลักษณะหวือหวา ท้าทาย ส่อไปในทางผิดกฎหมาย เอารัดเอาเปรียบคู่แข่งมากที่สุด ทั้งแจกวีซีดี “ทักษิณ ชินวัตร” ช่วยหาเสียง ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกา
ใช้ลิ่วล้อในเครือข่ายลงบทความโจมตีคู่แข่งทางการเมืองและกล่าวหาผู้มีอำนาจกลั่นแกล้งสกัดกั้นในเว็บไซด์ โดยอ้างว่าพรรคพลังประชาชนไม่เกี่ยวเป็นการกระทำของคนนอกพรรค
เอาเปรียบถึงขนาดจัดฉากให้ “สเวนโกรัน อีริกสัน” กุนซือทีมแมนเชสเตอร์ ซีตี้ ซึ่งมี “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นเจ้าของ บินด่วนจากลอนดอนมาเปิดตัวซื้อ “สุรีย์ สุขะ-เกียรติประวุฒิ สายแวว-ธีรศิลป์ แดงดา” 3 นักเตะชื่อดังของไทยให้เข้าไปเล่นฟุตบอลใน“พรีเมียร์ลีก” แต่จนถึงขณะนี้ทั้ง 3 คนยังไม่ได้ลงเตะให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้แม้แต่แม็ตซ์เดียว เพราะไม่ได้เวิร์กเพอร์มิต ทั้งๆ ที่รู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าทั้ง 3 ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่ทางการอังกฤษจะออกใบอนุญาติ ให้ทำงาน แต่การเปิดตัวอย่างโด่งดังครั้งนั้นประชาชนที่ไม่รู้ตื้นลึก หนาบางต่างก็ชื่นชม ซึ่งส่งผลต่อคะแนนเสียงของพลังประชาชนไม่น้อย
0 การเล่นนอกกติกาของพรรคนอมินี “ทักษิณ” นั้น เหิมเกริมขนาดคนระดับรองหัวหน้าพรรคอย่าง “ยงยุทธ ติยะไพรัช” เจ้าของฉายา “ยุทธ ตู้เย็น” กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งอย่างโจ่งแจ้ง แม้ผู้มีอำนาจจับตาตรวจสอบอยู่ แต่ก็ยังแอบขน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำองค์กรท้องถิ่นบินจากเชียงราย บินมาแจกเงินและวางแผนกันถึงที่ทำการพรรคพลังประชาชน ที่สำคัญยังใช้รถทางราชการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ตัวเองเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการ มารับส่งตลอกการเดินทาง แต่พอถูกจับได้ไล่ทันก็กล่าวหาว่าเป็นการจัดฉาก กลั่นแกล้ง ทั้งที่มีวีดีโอบันทึกภาพตั้งแต่ช่วงเดินทางจากเชียงราย ขึ้นเครื่องบินมาลงสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วต่อมาที่ทำการพรรคก่อนไปพักที่โรงแรม
งานนี้ทำท่าจะย้อนรอย “ไทยรักไทย” ที่อดีตแกนนำพรรคใช้กระทรวงกลาโหมเป็นจุดแจกเงินและบัญชาการเมื่อการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 แต่ก็ถูกฟ้องด้วยภาพจากทีวีวงจรปิดภายในกระทรวง จนในที่สุดตุลาการรัฐธรรมนูญ ก็มีมติให้ยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรค 111 คน 5 ปี เห็นที “พลังประชาชน”จะมีชะตากรรมที่ไม่ต่างกันเสียแล้ว
แม้จะได้รับความไว้วางใจจากประชาขนมาเป็นอันดับหนึ่งมีคะแนนเสียงมากกว่าพรรคลำดับที่สองอย่างประชาธิปัตย์กว่า 70 เสียง แต่กว่าจะรวบรวมเสียงได้อย่างมั่นคงต้องใช้เวลายาวนานที่สำคัญของแลกมาด้วย “ปัจจัย” และตำแหน่งเสนาบดีสำคัญๆ ไปให้พรรคอื่นไม่น้อย จะทำอย่างไรได้ในเมื่อมันเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่อำนาจเพื่อทำในสิ่งที่ผิดให้เป็นถูก นำสิ่งที่สูญเสียไปให้กลับคืนมา การลงทุนแม้จะมากแต่ก็คุ้มค่ายิ่ง
0 ถ้าจะถามว่าการได้มาซึ่งอำนาจเพื่อปูทางให้เจ้าของพรรคตัวจริงกลับมาทวงคืนสมบัติที่เสียไปจากการถูกตรวจสอบทุจริตและฟอกตัวเพื่อให้พ้นผิดในสิ่งที่ทำไว้ เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจไหม ก็ต้องบอกว่าแม้จะน่ารังเกียจแต่ก็พอรับได้เพราะเป็นที่รู้กันตั้งแต่เริ่มก่อร่างสร้างพรรคพลังประชาชนแล้วว่า เป้าหมายที่แท้จริงของกลุ่มนักการเมืองเหล่านี้ทำเพื่อคนๆ เดียวอย่างชัดเจน
แต่การที่นักการเมืองซึ่งแสดงตัวตั้งแต่ต้นว่ายืนอยู่คนละขั้วกับกลุ่มบุคคลที่ถูกมองว่าเป็นนอมินีของ “ทักษิณ” กลับโดดเข้าไปเป็นฐานเสียงให้รัฐบาล “พลังประชาชน” เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจรัฐ และไดผลประโยชน์จาก“ปัจจัย” ที่ถูกหยิบยื่นให้เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจมากกว่า
พรรคที่หักหลังประชาชน
0 “บรรหาร ศิลปอาชา” หัวหน้าพรรคชาติไทยก็ดี “เสนาะ เทียนทอง” หัวหน้าค่ายประชาราชก็ดี ต่างก็รู้กันว่ายืนอยู่คนละขั้ว ถึงขนาดเคยต่อสู้และต่อต้านกลุ่มอำนาจเก่ามาตลอดในรูปแบบต่างๆ
หรือแม้แต่ “สุวิทย์ คุณกิตติ” หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน “เชษฐา ฐานะจาโร” ผู้นำพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา หรือแม้แต่ “อนงค์วรรณ เทพสุทิน” ภรรยาสุดที่รักของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” หัวหน้ากลุ่มมัชฌิมา เป็นที่รับรู้กันว่า เป็นนักการเมืองที่ยกทีมออกจากกลุ่มไทยรักไทย เพื่อมาสร้างพรรคใหม่ ตามกระแสสังคมที่ไม่ยอมรับขั่วอำนาจเก่า
คนเหล่านี้เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าคะแนนที่พวกคุณได้มานั้น มาจากกลุ่มที่เขาไม่เอา “นอมินีทักษิณ”การโดดเข้าผสมพันธ์ร่วมตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนนันเป็นการหักหลังประชาชนอย่างหน้าด้านๆ
0 การอ้างว่าพลังประชาชนได้เสียงมาเป็นอันดับหนึ่งจึงมีความชอบธรรมที่จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล คำถามคือ 233 เสียงที่ได้มาเป็นไปอย่างสุจริตหรือไม่ 65 เสียงที่ กกต.ไม่ประกาศรับรองเพราะถูกร้องเรียนการทุจริตน่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่ง
แม้ในเวลาต่อมา กกต.จะประกาศรับรองไปบ้างส่วน ก็เพราะจับไม่ได้ไล่ไม่ทันในภาวะที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยของ กกต.กลาง และ กกต.จังหวัดยังไม่มีความเข้มแข็ง พอที่จะตรวจสอบจนเอาผิดได้อย่างชัดเจน แต่ก็ถูกใบเหลือง ใบแดงไปจำนวนไม่น้อย
จับตา พปช.ย้อนร้อย ทรท.
0 ถ้าจะย้อนไปดูช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง จะเห็นว่า “พลังประชาชน” เป็นพรรคการเมืองเดียวที่หาเสียงในลักษณะหวือหวา ท้าทาย ส่อไปในทางผิดกฎหมาย เอารัดเอาเปรียบคู่แข่งมากที่สุด ทั้งแจกวีซีดี “ทักษิณ ชินวัตร” ช่วยหาเสียง ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกา
ใช้ลิ่วล้อในเครือข่ายลงบทความโจมตีคู่แข่งทางการเมืองและกล่าวหาผู้มีอำนาจกลั่นแกล้งสกัดกั้นในเว็บไซด์ โดยอ้างว่าพรรคพลังประชาชนไม่เกี่ยวเป็นการกระทำของคนนอกพรรค
เอาเปรียบถึงขนาดจัดฉากให้ “สเวนโกรัน อีริกสัน” กุนซือทีมแมนเชสเตอร์ ซีตี้ ซึ่งมี “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นเจ้าของ บินด่วนจากลอนดอนมาเปิดตัวซื้อ “สุรีย์ สุขะ-เกียรติประวุฒิ สายแวว-ธีรศิลป์ แดงดา” 3 นักเตะชื่อดังของไทยให้เข้าไปเล่นฟุตบอลใน“พรีเมียร์ลีก” แต่จนถึงขณะนี้ทั้ง 3 คนยังไม่ได้ลงเตะให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้แม้แต่แม็ตซ์เดียว เพราะไม่ได้เวิร์กเพอร์มิต ทั้งๆ ที่รู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าทั้ง 3 ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่ทางการอังกฤษจะออกใบอนุญาติ ให้ทำงาน แต่การเปิดตัวอย่างโด่งดังครั้งนั้นประชาชนที่ไม่รู้ตื้นลึก หนาบางต่างก็ชื่นชม ซึ่งส่งผลต่อคะแนนเสียงของพลังประชาชนไม่น้อย
0 การเล่นนอกกติกาของพรรคนอมินี “ทักษิณ” นั้น เหิมเกริมขนาดคนระดับรองหัวหน้าพรรคอย่าง “ยงยุทธ ติยะไพรัช” เจ้าของฉายา “ยุทธ ตู้เย็น” กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งอย่างโจ่งแจ้ง แม้ผู้มีอำนาจจับตาตรวจสอบอยู่ แต่ก็ยังแอบขน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำองค์กรท้องถิ่นบินจากเชียงราย บินมาแจกเงินและวางแผนกันถึงที่ทำการพรรคพลังประชาชน ที่สำคัญยังใช้รถทางราชการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ตัวเองเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการ มารับส่งตลอกการเดินทาง แต่พอถูกจับได้ไล่ทันก็กล่าวหาว่าเป็นการจัดฉาก กลั่นแกล้ง ทั้งที่มีวีดีโอบันทึกภาพตั้งแต่ช่วงเดินทางจากเชียงราย ขึ้นเครื่องบินมาลงสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วต่อมาที่ทำการพรรคก่อนไปพักที่โรงแรม
งานนี้ทำท่าจะย้อนรอย “ไทยรักไทย” ที่อดีตแกนนำพรรคใช้กระทรวงกลาโหมเป็นจุดแจกเงินและบัญชาการเมื่อการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 แต่ก็ถูกฟ้องด้วยภาพจากทีวีวงจรปิดภายในกระทรวง จนในที่สุดตุลาการรัฐธรรมนูญ ก็มีมติให้ยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรค 111 คน 5 ปี เห็นที “พลังประชาชน”จะมีชะตากรรมที่ไม่ต่างกันเสียแล้ว