หนองคาย-เจ้าของเต็นท์รถมือ 2 รายใหญ่เผยตลาดรถชะลอตัว เหตุ การเมืองไม่นิ่ง ซ้ำเงินบาทแข็ง-น้ำมันพุ่งสูง เผยยอดจำหน่ายลดลงกว่าร้อยละ 40 หลังรัฐบาลทำ FTA กับจีน ส่งผลกับตลาดรถพ่อค้าไม่ซื้อรถกระบะบรรทุกสินค้า ชี้ ปี 51 ยังไม่ใช่ปีทองของตลาดรถยนต์ ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์เพิ่มจุดขายติดตั้ง NGA ช่วยประหยัดเงินประหยัดน้ำมัน
นางสาวกิตติธรา รวมธรรม ประธานกรรมการห้างหุ้นส่วนจำกัด หลานนายสา ตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพหนองคาย – อุดรธานี อ.เมืองอุดรธานี ศูนย์กลางจำหน่ายรถยนต์มือ 2 ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดอุดรธานี เปิดเผยว่า จากการที่ทำธุรกิจจำหน่ายรถยนต์มือ 2 มาตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา จนถึงขณะนี้ล่วงเข้า 11 ปีแล้ว เห็นได้ว่าตลาดรถยนต์มือ 2 ที่ จ.อุดรธานี เป็นตลาดรถยนต์มือ 2 ที่ใหญ่ที่สุดของภาคอีสานตอนบน มีลูกค้าจากหลายจังหวัดในภาคอีสาน เช่น จ.หนองคาย สกลนคร อุดรธานีขอนแก่น เลย และนครพนม
ทั้งนี้ เนื่องจากในพื้นที่ จ.อุดรธานี มีผู้ประกอบธุรกิจจำหน่ายรถยนต์มือ 2 ประมาณ 100 ราย มีการลงทุนซื้อที่ดิน สร้างอาคาร รวมถึงมีการสต๊อกรถยนต์ไว้จำหน่ายรายละ 100-200 คัน ถือว่าเป็นเรื่องปกติของธุรกิจรถยนต์มือ 2 ซึ่งทำให้ลูกค้ามีโอกาสเลือกสินค้าที่มีความหลากหลาย ประกอบกับเต็นท์รถมือ 2 บางรายมีการให้บริการที่ได้มาตรฐาน รับประกันคุณภาพรถยนต์มือ 2 ไม่ต่างจากโชว์รูมรถใหม่
นับตั้งแต่มีการปฏิวัติรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 รัฐบาลภายใต้การบริหารงานของ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เรียกได้ว่านักธุรกิจต่างประสบปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ภาคธุรกิจทุกประเภทถดถอยเรื่อย ๆ ทั้งนี้การเมืองมีส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจถดถอย ประกอบกับราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลประกอบการถดถอยมากถึงร้อยละ 40
นางสาวกิตติธาราระบุว่า ก่อนหน้านี้ชาวบ้านนิยมซื้อรถยนต์กระบะมือ 2 กันมาก เพื่อไปซื้อผักผลไม้จากต่างจังหวัดมาขายในพื้นที่ แต่หลังจากรัฐบาลทำ FTA กับจีนFTA ผักผลไม้จากจีนทะลักเข้ามามาก พ่อค้าแม่ค้าไม่ต้องลงทุนขับรถกระบะไปซื้อผักผลไม้ถึงต่างจังหวัด ทำให้ลูกค้าที่ซื้อรถกระบะเพื่อบรรทุกผักผลไม้กลุ่มนี้หายไปทันที
ผลที่ตามมาคือผลไม้ไทยตกต่ำ เกษตรกรขาดทุน ผู้ประกอบการรถยนต์มือ 2 ก็ขาดลูกค้ากลุ่มนี้ไป เป็นผลกระทบลูกโซ่ ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะภาคการส่งออกเท่านั้น
“ ต้องยอมรับว่าเงินที่หมุนเวียนในตลาดเมืองอุดรฯ ส่วนใหญ่มาจากแรงงานที่ไปทำงานต่างประเทศส่งเงินกลับมาให้ญาติพี่น้องในประเทศ ค่าเงินบาทแข็งเงินที่เข้ามาถึงเมืองไทยก็มีลดลง จึงตั้งความหวังไว้กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งว่าคงจะสามารถทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศดีขึ้น”
สำหรับทิศทางตลาดรถยนต์มือ 2 ในปี 2551 นางสาวกิตติธรา มองว่า กำลังซื้อของลูกค้าจะหดตัวขึ้น ซึ่งไม่ใช่ปีทองของรถมือ 2 แน่นอน ทั้งนี้ธุรกิจรถยนต์มือ 2 เริ่มถดถอยอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ช่วงเดือน พฤษภาคม 2550 เป็นต้นมา และในปี 51 นั้น ราคาน้ำมันไม่มีทางที่จะลดลง ประกอบกับเสถียรภาพทางการเมือง รัฐบาลที่อาจจะไม่มั่นคง ดังนั้นปี 51 คาดการณ์ว่าจะมีแต่ทรงกับทรุด
จากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น เต็นท์พยายามควบคุมปริมาณรถยนต์ค้างสต๊อก จะไม่มีการสต๊อก สินค้ามากเกินความจำเป็น ในอดีตเมื่อถึงช่วงเดือนธันวาคมซึ่งถือว่าเป็นฤดูกาลขายรถมือ 2 ที่ดีที่สุด จะมีการสต๊อกรถไว้มากจนล้นไม่มีที่จอด แต่ขณะนี้ต้องปรับใหม่ไม่ให้มีรถค้างสต๊อกมาก เอาแค่ให้สามารถหมุนเวียนได้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เปรียบเทียบสถิติตั้งแต่จำหน่ายรถยนต์มือ 2 มา ปรากฏว่าในปี 2549 เป็นปีที่ขายรถดีที่สุด ยอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต่พอมาถึงปี 2550 ยอดขายกลับลดลง ซึ่ง หจก.หลานนายสา จะไม่ลงทุนเพิ่ม วิเคราะห์ปัจจัยที่กระทบต่อภาคธุรกิจ ไม่ตั้งเป้าจำหน่ายที่เกินตัว แต่จะต้องดำเนินการให้เหมาะสมกับสถานการณ์และมีความเป็นไปได้จริง
โชคดีที่ หจก.หลานนายสา ทำธุรกิจรถมือ 2 มานาน องค์กรมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ถือว่า หจก.หลานนายสา เป็นแหล่งรถมือ 2 ที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งมีทีมช่างคอยดูแลลูกค้าที่มีปัญหาเรื่องรถยนต์พร้อมออกให้บริการตลอด
นอกจากนี้ ยังได้มีการปรับกลยุทธ์เพิ่มเติมด้วยการรับติดตั้งระบบแก๊ส NGV ซึ่ง หจก.หลานนายสาได้ส่งพนักงานไปรับการอบรมที่กรมพลังงาน ขณะนี้มีลูกค้ามาติดตั้งระบบแก๊ส NGV ปริมาณมากจนต้องลงทะเบียนจองคิวไว้ แต่จะไม่มีการเร่งติดตั้งจนละเลยมาตรฐาน จะยึดการให้บริการที่ได้มาตรฐานแน่นอนเป็นหลัก ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งในการหาทางออกช่วยลูกค้าที่แบกรับภาระน้ำมันแพง แล้วต้องการหันมาเติมแก๊สแทน เพื่อประหยัดเงิน
นางสาวกิตติธาราเปิดเผยว่า ในอนาคตหากเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นมีโครงการที่จะขยายสาขา โดยได้มีการเตรียมเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ ในพื้นที่ จ.อุดรธานี ทำศูนย์รวมรถยนต์มือ 2 ที่มีการบริการครบวงจร แต่ช่วงนี้ชะลอโครงการไว้ก่อน
“ธุรกิจรถยนต์มือ 2 สามารถสะท้อนความเป็นอยู่ของชาวบ้านในระดับรากหญ้าได้อย่างชัดเจน สาเหตุว่าเหตุใดในปี 50 ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์จึงลดลง เนื่องจากขีดความสามารถในการซื้อรถยนต์ตั้งแต่คนระดับกลางถึงล่างลดลง หรืออาจจะมองได้ว่าฟองสบู่แตกแล้ว กำลังซื้อหดหายไป ช่องทางการทำมาหากินของชาวบ้านหายไปอย่างมาก”นางสาวกิตติธารากล่าว
