ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ท่าอากาศยานภูเก็ตเปิดอาคารส่วนขยาย รองรับนักท่องเที่ยวเดินทางเข้า ลดความแออัดเผยยอดเครื่องบินเข้าภูเก็ตสูงสัปดาห์ละ 484 เที่ยว เพิ่มขึ้นจากฤดูหนาวปี 2549 สัปดาห์ละ 100 เที่ยวบิน
น.ต.พรชัย เอื้ออารี ผู้อำนวยการท่าอากาศยานภูเก็ต กล่าวถึงการเปิดให้บริการอาคารผู้โดยสาร 2 ว่า อาคารส่วนนี้จะเป็นส่วนขยายเพื่อให้บริการเคาน์เตอร์ตรวจบัตรผู้โดยสารหรือเช็กอิน ที่เดินทางเข้ามาประเทศด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนที่แจ้งไว้ 6 สายการบิน เช่น BELAIR, AIR FINLAND, ATLASJET เป็นต้น
ทั้งนี้ เพื่อลดความแออัดของผู้โดยสารในห้องโดยสารปกติ ที่ปัจจุบันนี้มีเที่ยวบินปกติและเช่าเหมาลำเฉลี่ย สัปดาห์ละ 484 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากฤดูหนาวปี 2549 สัปดาห์ละ 100 เที่ยวบิน หรือ 26.04% ทั้งนี้ ในส่วนของเที่ยวบินเช่าเหมาลำ มีจำนวน 15 สายการบิน และเที่ยวบินประจำ 23 สายการบิน
สำหรับห้องโดยสารที่เปิดให้บริการใหม่นี้จะรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 600 คน สำหรับผู้โดยสารกับเครื่องบินขนาด 747 จำนวน 2 ลำ และประมาณ 700-750 คน สำหรับผู้โดยสารกับเครื่องแอร์บัสจำนวน 3 ลำ ซึ่งเป็นไปตามแผนการพัฒนาท่าอากาศยานที่วางไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่เมื่อดำเนินการเสร็จแล้วก็คิดว่าจะยังไม่เพียงพอ
ทั้งนี้ เนื่องจากแนวโน้มของสายการบินเช่าเหมาลำ จะเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็คาดว่าอาจจะต้องมีการปรับขยายเพิ่มอีกในอนาคตตามแผนพัฒนาฉบับใหม่ ซึ่งคณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศไทย จำกัด ได้ให้ข้อเสนอแนะไว้ในคราวที่มาติดตามงานเมื่อปลายปีที่แล้ว เนื่องจากมองว่าที่ผ่านมานั้น เป็นการมองเพียงระยะเวลาสั้นๆ และเป็นการทำทีละเล็กทีละน้อย จึงไม่ทันและเพียงพอกับการขยายตัวของนักท่องเที่ยว ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ในการวางแผนครั้งใหม่ควรจะมองระยะไปถึง 20 ปี ให้ครอบคลุมทุกด้านและให้เกิดการใช้พื้นที่ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
น.ต.พรชัย กล่าวด้วยว่า นอกจากการขยายในส่วนของเคาน์เตอร์เช็กอินแล้ว ยังได้มีการเตรียมพัฒนาในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ด้วย เช่น ลานจอดรถยนต์ การให้บริการของตรวจคนเข้าเมือง เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นไปตามแผนงานที่มีการวางไว้ในแต่ละส่วน แต่บางครั้งด้วยข้อจำกัดของขนาดพื้นที่และปัจจัยอื่นๆ จึงทำให้การพัฒนาและขยายที่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวก ในการรองรับผู้โดยสารจะกลายเป็นความขัดแย้งไปในตัว ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการเห็นชอบด้วยที่จะให้วางแผนระยะยาว ที่จะครอบคลุมในทุกด้าน และเห็นผลชัดเจนในระยะสุดท้าย
อย่างไรก็ตาม น.ต.พรชัย ยังกล่าวด้วยว่า สิ่งหนึ่งที่คณะกรรมการให้ความสำคัญและให้ข้อเสนอแนะว่าควรที่จะดำเนินการแก้ไขเป็นการด่วน คือ เรื่องของปัญหาการจราจรซึ่งค่อนข้างคับคั่งด้วยปริมาณของผู้มาใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้น โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจจะเป็นจังหวัด หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการจัดระบบขนส่งมวลชนในจุดท่องเที่ยวสำคัญที่มีนักท่องเที่ยวพักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากมายังท่าอากาศยาน
กับอีกจุดหนึ่ง คือ ด้วยที่ตั้งของท่าอากาศยานมีทะเล ซึ่งเป็นฝั่งเดียวกับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น หาดป่าตอง หาดกะตะกะรน หาดกมลา หาดสุรินทร์ เป็นต้น ก็ควรที่จะมองถึงการพัฒนาให้มีท่าเทียบเรือมายังท่าอากาศยานหรือจากท่าอากาศยานไปยังแหล่งท่องเที่ยวโดยตรง เพื่อลดความแออัดของการจราจรทางบกได้อีกทางหนึ่งด้วย
การดำเนินการส่วนนี้ อยากให้มองว่าเราต้องการรองรับการท่องเที่ยวในระดับประเทศ และในกลุ่มของนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง ซึ่งจะเป็นทางเลือกหนึ่งของการเดินทางที่จะสะดวกมากขึ้น และยังลดการใช้ยานพาหนะในสนามบิน เพราะปัจจุบันก็ค่อนข้างแออัดอยู่แล้ว โดยเฉพาะในเวลาเร่งด่วน
น.ต.พรชัย เอื้ออารี ผู้อำนวยการท่าอากาศยานภูเก็ต กล่าวถึงการเปิดให้บริการอาคารผู้โดยสาร 2 ว่า อาคารส่วนนี้จะเป็นส่วนขยายเพื่อให้บริการเคาน์เตอร์ตรวจบัตรผู้โดยสารหรือเช็กอิน ที่เดินทางเข้ามาประเทศด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนที่แจ้งไว้ 6 สายการบิน เช่น BELAIR, AIR FINLAND, ATLASJET เป็นต้น
ทั้งนี้ เพื่อลดความแออัดของผู้โดยสารในห้องโดยสารปกติ ที่ปัจจุบันนี้มีเที่ยวบินปกติและเช่าเหมาลำเฉลี่ย สัปดาห์ละ 484 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากฤดูหนาวปี 2549 สัปดาห์ละ 100 เที่ยวบิน หรือ 26.04% ทั้งนี้ ในส่วนของเที่ยวบินเช่าเหมาลำ มีจำนวน 15 สายการบิน และเที่ยวบินประจำ 23 สายการบิน
สำหรับห้องโดยสารที่เปิดให้บริการใหม่นี้จะรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 600 คน สำหรับผู้โดยสารกับเครื่องบินขนาด 747 จำนวน 2 ลำ และประมาณ 700-750 คน สำหรับผู้โดยสารกับเครื่องแอร์บัสจำนวน 3 ลำ ซึ่งเป็นไปตามแผนการพัฒนาท่าอากาศยานที่วางไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่เมื่อดำเนินการเสร็จแล้วก็คิดว่าจะยังไม่เพียงพอ
ทั้งนี้ เนื่องจากแนวโน้มของสายการบินเช่าเหมาลำ จะเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็คาดว่าอาจจะต้องมีการปรับขยายเพิ่มอีกในอนาคตตามแผนพัฒนาฉบับใหม่ ซึ่งคณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศไทย จำกัด ได้ให้ข้อเสนอแนะไว้ในคราวที่มาติดตามงานเมื่อปลายปีที่แล้ว เนื่องจากมองว่าที่ผ่านมานั้น เป็นการมองเพียงระยะเวลาสั้นๆ และเป็นการทำทีละเล็กทีละน้อย จึงไม่ทันและเพียงพอกับการขยายตัวของนักท่องเที่ยว ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ในการวางแผนครั้งใหม่ควรจะมองระยะไปถึง 20 ปี ให้ครอบคลุมทุกด้านและให้เกิดการใช้พื้นที่ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
น.ต.พรชัย กล่าวด้วยว่า นอกจากการขยายในส่วนของเคาน์เตอร์เช็กอินแล้ว ยังได้มีการเตรียมพัฒนาในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ด้วย เช่น ลานจอดรถยนต์ การให้บริการของตรวจคนเข้าเมือง เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นไปตามแผนงานที่มีการวางไว้ในแต่ละส่วน แต่บางครั้งด้วยข้อจำกัดของขนาดพื้นที่และปัจจัยอื่นๆ จึงทำให้การพัฒนาและขยายที่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวก ในการรองรับผู้โดยสารจะกลายเป็นความขัดแย้งไปในตัว ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการเห็นชอบด้วยที่จะให้วางแผนระยะยาว ที่จะครอบคลุมในทุกด้าน และเห็นผลชัดเจนในระยะสุดท้าย
อย่างไรก็ตาม น.ต.พรชัย ยังกล่าวด้วยว่า สิ่งหนึ่งที่คณะกรรมการให้ความสำคัญและให้ข้อเสนอแนะว่าควรที่จะดำเนินการแก้ไขเป็นการด่วน คือ เรื่องของปัญหาการจราจรซึ่งค่อนข้างคับคั่งด้วยปริมาณของผู้มาใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้น โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจจะเป็นจังหวัด หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการจัดระบบขนส่งมวลชนในจุดท่องเที่ยวสำคัญที่มีนักท่องเที่ยวพักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากมายังท่าอากาศยาน
กับอีกจุดหนึ่ง คือ ด้วยที่ตั้งของท่าอากาศยานมีทะเล ซึ่งเป็นฝั่งเดียวกับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น หาดป่าตอง หาดกะตะกะรน หาดกมลา หาดสุรินทร์ เป็นต้น ก็ควรที่จะมองถึงการพัฒนาให้มีท่าเทียบเรือมายังท่าอากาศยานหรือจากท่าอากาศยานไปยังแหล่งท่องเที่ยวโดยตรง เพื่อลดความแออัดของการจราจรทางบกได้อีกทางหนึ่งด้วย
การดำเนินการส่วนนี้ อยากให้มองว่าเราต้องการรองรับการท่องเที่ยวในระดับประเทศ และในกลุ่มของนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง ซึ่งจะเป็นทางเลือกหนึ่งของการเดินทางที่จะสะดวกมากขึ้น และยังลดการใช้ยานพาหนะในสนามบิน เพราะปัจจุบันก็ค่อนข้างแออัดอยู่แล้ว โดยเฉพาะในเวลาเร่งด่วน
