39. วิถีกู้ชาติของศรี อรพินโธ (ต่อ)
...ปลายปี ค.ศ. 1920
อรพินโธ กำลังอยู่ในความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ด้วยความคิดที่ลึกล้ำและด้วยความเงียบอันเลิศล้ำในห้องทำงานของเขา นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1914 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน เขาได้เขียน งานทางปรัชญา ที่สะท้อนภูมิปัญญาแห่งโยคะของเขาออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน เป็นจำนวนเกือบห้าพันหน้า โดยผ่านวารสาร “อารยะ” ที่ตัวเขาเป็นผู้จัดพิมพ์และเขียนเองเกือบทั้งหมด งานเขียนทางปรัชญาเหล่านี้ของเขาทยอยออกมาเป็นหนังสือเล่มหลายเล่มอย่างต่อเนื่อง อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะงานเขียนของเขาเรื่อง “ชีวิตศักดิ์สิทธิ์” (The Life Divine) กับ “การสังเคราะห์โยคะ” (The Synthesis of Yoga) เป็นผลงานชิ้นเอกระดับคลาสสิกของเขาที่ยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้ และคงจะต่อไปในอนาคต
ภูมิปัญญาของเขา ผุดบังเกิดขึ้นมาจากความสงบแห่งจิตใจของเขา อรพินโธ เป็นปราชญ์โยคีที่รู้ดีกว่าผู้ใดว่า ถ้าจิตใจไม่มีความสงบ โอกาสที่จะเผยศักยภาพแห่งปัญญาญาณของตนนั้น เป็นไม่มี ขณะที่ อรพินโธ กำลังเขียนหนังสือในสภาวะที่อยู่ในสมาธินั้น ความคิดต่างๆ ที่ก่อต่อเป็นรูปร่างแล้วจาก “เบื้องบน” ได้หลั่งไหลเข้ามาในตัวเขา และถ่ายทอดออกมาผ่านตัวเขา เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่ามานานนับปีแล้ว
อรพินโธ จึงคุ้นเคยกับการทำงานอยู่คนเดียวภายในห้องทำงานของเขาตามลำพังเป็นปีๆ เขาคุ้นเคยกับศานติที่เกิดจากความสงบ และความวิเวกในความเงียบ เขาแลเห็นถึงคุณค่าของการอยู่ตามลำพังเพื่อผลิตผลงานที่สร้างสรรค์ให้แก่มวลมนุษยชาติ
การที่ อรพินโธ ได้อยู่กับความสงบเงียบ มันได้ทำให้ชีวิตของเขาอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างสมบูรณ์ เขาได้พบ “จิตศักดิ์สิทธิ์” จากความสงบเงียบนั่น และจากจุดนั้น เขาได้เริ่มที่จะก้าวเข้าไปร่วมร่ายรำกับ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ในลีลาแห่งจักรวาฬ
อรพินโธ เต็มใจเป็นส่วนหนึ่งของความสงบเงียบนั้น ปล่อยให้ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ซึมซ่านเข้ามาในตัวเขา จนถึงไขกระดูกของเขาพร้อมๆ กับความสงบเงียบ อรพินโธ สูดหายใจเอาความสงบเงียบเข้าไปในกายเขา อิ่มเอิบอยู่กับความสงบเงียบอันศักดิ์สิทธิ์นั้น โน้มนำจิตวิญญาณเขาไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับ “จิตศักดิ์สิทธิ์” อันเป็น เป้าหมายอันเร้นลับแห่งการบำเพ็ญโยคะ ของตัวเขา
โดยการบำเพ็ญสมาธิภาวนา อรพินโธ ได้ตระหนักถึง ธรรมชาติของ “ความเป็นจริง” ว่า มันคือ ความเป็นจิตวิญญาณที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของพื้นที่ (space) และกาลเวลา (time)
จิตวิญญาณ ไม่มี อดีต ไม่มี อนาคต มีแต่ ปัจจุบัน เท่านั้น จิตวิญญาณ จึงไม่ใช้เนื้อที่แม้แต่น้อย
“มิติ” ที่คนทั่วไปเข้าใจนั้น เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของกาลเวลาที่มนุษย์รู้จักเท่านั้น แม้แต่ “ภพภูมิ” ก็ยังเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นภายใต้กฎเกณฑ์ของพื้นที่ และกาลเวลาเช่นกัน
ขณะที่ อรพินโธ กลับค้นพบในสมาธิว่า
“มิติ” ทั้งหมดก็คือปัจจุบัน! ส่วน “ภพภูมิ” ทั้งหมดก็คือ สภาวะแห่งจิตวิญญาณ ที่มีระดับและความละเอียดแตกต่างกันไปเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดสำหรับจิตวิญญาณ จึงมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือ ปัญญาญาณที่พัฒนาขึ้นมาจากความรักอันบริสุทธิ์ โดยที่ปัจจุบันขณะเป็นจุดแห่งการมีพลังสูงสุดในตัวมนุษย์ที่ทำให้มนุษย์สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดของตนเองได้
เมื่อใดก็ตามที่คนเรารู้จักธรรมชาติของ “มิติ” “ภพภูมิ” และ “กาลเวลา” เมื่อนั้นคนเราก็จะสามารถค้นพบพลังสูงสุดที่ตัวเขามีอยู่แล้วโดยธรรมชาติใน “ปัจจุบันขณะ” เพราะ “ปัจจุบันขณะ” นี้แหละคือธรรมชาติของความเป็นจริงของโลกนี้ ของจักรวาฬนี้
ผลจากการปฏิบัติสมาธิภาวนาและการบำเพ็ญโยคะอย่างจริงจังมานานนับปี ในที่สุด อรพินโธ ก็ได้พบกับ “จิตศักดิ์สิทธิ์” และสามารถก้าวล่วงเข้าสู่ โลกของ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ได้ในสมาธิ
“จิตศักดิ์สิทธิ์” ที่ อรพินโธ ค้นพบได้ในสมาธินั้น เป็นพลังงานที่ปราศจากร่างกาย แต่เต็มไปด้วยบุคลิกภาพ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ดำรงอยู่ใน ปรโลก ที่อยู่นอกเหนือไปจากโลกทางกายภาพที่มนุษย์รู้จัก “จิตศักดิ์สิทธิ์” อยู่เหนือการเป็นตัวตนที่ถูกจำกัดด้วยกฎเกณฑ์ของพื้นที่และกาลเวลา “จิตศักดิ์สิทธิ์” ดำรงอยู่ได้ โดยปราศจากกายขันธ์และตัวตนจำเพาะ “จิตศักดิ์สิทธิ์” จึงดำรงอยู่ในทุกๆ ที่ได้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ใบหญ้า ภูเขา ลำธาร สายลม สายฝน แสงแดด หมู่ดาว ก้อนเมฆ เม็ดทราย และแม้แต่ในลมหายใจของผู้คน
“จิตศักดิ์สิทธิ์” เป็นสิ่งอมตะที่ไม่มีการเกิด ไม่มีการเสื่อมสลาย และไม่มีการตาย “จิตศักดิ์สิทธิ์” ดำรงอยู่ด้วยความปรารถนาที่จะถ่ายทอดความรัก และปัญญาญาณให้แก่สรรพชีวิตเพื่อให้เกิดวิวัฒนาการอย่างไม่หยุดยั้งเท่านั้น “จิตศักดิ์สิทธิ์” จึงเป็นตัวจักรวาฬ (Kosmos) เองที่เผยตัวออกมาในระดับที่ละเอียดหรือเป็นทิพย์อย่างที่สุด
“จิตศักดิ์สิทธิ์” แต่ละดวงเป็น “ตัวรู้” หรือเป็น “คลื่นความคิด” (vibration)ที่ละเอียดและบริสุทธิ์ยิ่ง มิหนำซ้ำยังมีความเป็น เครือข่ายแบบเปิด ที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่พร้อมกันหมดในทุกมิติ ทุกภพภูมิและทุกกาลเวลา ปัญญาญาณและความรู้ของ “จิตศักดิ์สิทธิ์” แต่ละดวงเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ข้ามชาติภพ ข้ามภพภูมิ ข้ามกาลเวลา มันจึงดูเหมือนเป็นความอัศจรรย์ หรือความเร้นลับในสายตาของคนทั่วไปที่มีข้อจำกัดในองค์ความรู้และการรับรู้ แค่ประสาทสัมผัสทั้งห้าเท่านั้น และแค่ภพภูมินี้ในชั่วชีวิตนี้เท่านั้น
ขณะที่ “จิตศักดิ์สิทธิ์” เป็น เครือข่ายของจิตวิญญาณ ที่ครอบคลุมความรู้ข่าวสาร และความทรงจำจากทุกมิติ ทุกภพภูมิและทุกกาลเวลา จึงรู้ดีกว่าใครว่า ความรู้สึกนึกคิด และการกระทำของคนเราในปัจจุบัน ย่อมส่งผลกระทบต่อตัวตนของผู้นั้นในทุกมิติ ทุกภพภูมิ และทุกกาลเวลาเสมอโดยไม่มีข้อยกเว้น
อรพินโธ ยังตระหนักรู้ได้อีกว่า ตัวเขาและ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ที่ตัวเขาได้พบในสมาธินั้น ล้วนมาจาก ต้นกำเนิดเดียวกัน “จิตศักดิ์สิทธิ์” คือส่วนหนึ่งของตัวเขา และตัวเขาก็คือส่วนหนึ่งของ “จิตศักดิ์สิทธิ์” นั้นด้วย ตัวเขาได้ “อาสา” ลงมาจุติในร่างกายมนุษย์นี้ก็เพื่อปฏิบัติภารกิจศักดิ์สิทธิ์กับเพื่อเติมเต็มคุณค่าของชีวิต และเพื่อบำเพ็ญบารมีให้สมบูรณ์
“จิตศักดิ์สิทธิ์” ยังได้สอน อรพินโธ ในสมาธิว่า การทำสมาธิภาวนาคือการทำให้ กาย กับ ใจ จดจ่อกับ ระบบเครือข่ายของจิตวิญญาณ อย่างเข้มข้น เพื่อเชื่อมต่อ สื่อสารในการเข้าถึงความรู้และข่าวสาร ที่จำเป็นต่อการพัฒนาทางจิตของคนผู้นั้นในชาติภพนี้ โดยที่ “สติ” คือ เครื่องมืออันทรงพลังที่ใช้ในการจดจ่ออันคมชัดของจิตวิญญาณที่เป็นตัวรู้
จากการได้พบกับ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ในสมาธิ ทำให้ อรพินโธ ตระหนักได้ว่า ชีวิตหลังความตาย มีความหมายอย่างลึกซึ้งใน โลกแห่งความเป็นจริง ของมนุษย์ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งและเป็นส่วนที่สำคัญยิ่งของ โลกแห่งความเป็นจริง อันกว้างใหญ่ไพศาลกว่า โลกทางกายภาพ ที่เห็นและเป็นอยู่ เพราะ โลกแห่งความเป็นจริงนั้น คือโลกแห่งความเป็นไปได้อย่างเป็นอนันต์
จิตวิญญาณ คือ ความหลากหลาย และเป็นสิ่งที่ควรเบ่งบานอย่างงดงามในทุกๆ มิติของชีวิตดุจกลีบของดอกไม้ที่เบ่งบานออกไปทุกทิศทาง ในที่สุด อรพินโธ ก็ตระหนักได้ว่า การพัฒนาทางจิตวิญญาณของตัวเขา จะเป็นการพัฒนาทางจิตวิญญาณของ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ด้วย ความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของตัวเขา และของมนุษย์ทุกคน จึงมีความสำคัญยิ่งต่อ “จิตศักดิ์สิทธิ์” เสมอและมีส่วนที่สำคัญยิ่งต่อความก้าวหน้าของจักรวาฬโดยรวมด้วย
มิติของ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ที่ อรพินโธ ได้สัมผัสจากสมาธินั้น ตัวของ “จิตศักดิ์สิทธิ์” เป็นผู้สร้างสภาพแวดล้อมในมิติที่ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ดำรงอยู่เอง เพราะฉะนั้น สภาพแวดล้อมของ “จิตศักดิ์สิทธิ์” แต่ละดวง จึงแสดงออกถึงระดับวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณของตัว “จิตศักดิ์สิทธิ์” เอง โดยที่สภาพแวดล้อมนั้นปราศจากโครงสร้างที่ถาวรตายตัว แต่มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยแบบแผนของความรู้สึกนึกคิด หรือด้วยแรงปรารถนาที่ห้อมล้อมความเป็นตัวตนของตัว “จิตศักดิ์สิทธิ์” แต่ละดวงเอาไว้
“จิตศักดิ์สิทธิ์” เป็นจิตวิญญาณที่อยู่ในระดับชั้นที่สูงส่งกว่าของมนุษย์ก็จริง แต่มนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณเหล่านั้นด้วย ในปัจจุบัน นี่คือ ความลับของฟ้าดิน ที่ อรพินโธ ได้มีส่วนเข้าไปรับรู้ในสมาธิของเขา โดยที่ “จิตศักดิ์สิทธิ์” แต่ละดวงเข้ามาสัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะที่เป็น คุรุทางจิตวิญญาณที่ปราศจากรูปร่างตัวตน
“จิตศักดิ์สิทธิ์” เป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งความเป็นจริงหลายมิติหลายภพภูมิที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้จัก ทั้งๆ ที่มนุษย์ทุกคนโดยศักยภาพต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกนั้นด้วย คนเราทุกคนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนตนเองให้ “จดจ่อ” และ “ตื่นรู้” ให้กว้างยิ่งขึ้นกว่าเดิม และลึกซึ้งยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยการรับข่าวสารชุดต่างๆ จาก “จิตศักดิ์สิทธิ์” ทั้งหลายทั้งปวงในระหว่างที่กำลังเจริญสมาธิภาวนา และบำเพ็ญโยคะเพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ พลังแห่งวิวัฒนาการ ในการขับเคลื่อนจักรวาฬ
ผู้ใดก็ตามที่เปิดใจให้กว้างได้ ก็ย่อมสามารถขยายกรอบความคิด ความเชื่อของคนผู้นั้นให้กว้างขวางยิ่งขึ้น จนกระทั่งสามารถรู้เห็นมิติอันกว้างใหญ่ของจิตวิญญาณที่แฝงเร้นอยู่รอบตัว โดยผ่านการเจริญสมาธิภาวนาและการบำเพ็ญโยคะ
ความรักความปรารถนาดีที่จะช่วยกอบกู้โลกของคนผู้นั้น ย่อมผลักดันคนผู้นั้นให้ใช้ศักยภาพของสมอง และศักยภาพของจิตวิญญาณของเขาไปในทิศทางที่เชื่อมโยงกับวิวัฒนาการของจักรวาฬโดยรวมอย่างแนบแน่น ตัวเขาคือ จิตวิญญาณในอดีต ของ “จิตศักดิ์สิทธิ์” และ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ก็เป็น จิตวิญญาณในอนาคต ของตัวเขาผู้นั้น (ยังมีต่อ)
...ปลายปี ค.ศ. 1920
อรพินโธ กำลังอยู่ในความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ด้วยความคิดที่ลึกล้ำและด้วยความเงียบอันเลิศล้ำในห้องทำงานของเขา นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1914 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน เขาได้เขียน งานทางปรัชญา ที่สะท้อนภูมิปัญญาแห่งโยคะของเขาออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน เป็นจำนวนเกือบห้าพันหน้า โดยผ่านวารสาร “อารยะ” ที่ตัวเขาเป็นผู้จัดพิมพ์และเขียนเองเกือบทั้งหมด งานเขียนทางปรัชญาเหล่านี้ของเขาทยอยออกมาเป็นหนังสือเล่มหลายเล่มอย่างต่อเนื่อง อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะงานเขียนของเขาเรื่อง “ชีวิตศักดิ์สิทธิ์” (The Life Divine) กับ “การสังเคราะห์โยคะ” (The Synthesis of Yoga) เป็นผลงานชิ้นเอกระดับคลาสสิกของเขาที่ยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้ และคงจะต่อไปในอนาคต
ภูมิปัญญาของเขา ผุดบังเกิดขึ้นมาจากความสงบแห่งจิตใจของเขา อรพินโธ เป็นปราชญ์โยคีที่รู้ดีกว่าผู้ใดว่า ถ้าจิตใจไม่มีความสงบ โอกาสที่จะเผยศักยภาพแห่งปัญญาญาณของตนนั้น เป็นไม่มี ขณะที่ อรพินโธ กำลังเขียนหนังสือในสภาวะที่อยู่ในสมาธินั้น ความคิดต่างๆ ที่ก่อต่อเป็นรูปร่างแล้วจาก “เบื้องบน” ได้หลั่งไหลเข้ามาในตัวเขา และถ่ายทอดออกมาผ่านตัวเขา เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่ามานานนับปีแล้ว
อรพินโธ จึงคุ้นเคยกับการทำงานอยู่คนเดียวภายในห้องทำงานของเขาตามลำพังเป็นปีๆ เขาคุ้นเคยกับศานติที่เกิดจากความสงบ และความวิเวกในความเงียบ เขาแลเห็นถึงคุณค่าของการอยู่ตามลำพังเพื่อผลิตผลงานที่สร้างสรรค์ให้แก่มวลมนุษยชาติ
การที่ อรพินโธ ได้อยู่กับความสงบเงียบ มันได้ทำให้ชีวิตของเขาอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างสมบูรณ์ เขาได้พบ “จิตศักดิ์สิทธิ์” จากความสงบเงียบนั่น และจากจุดนั้น เขาได้เริ่มที่จะก้าวเข้าไปร่วมร่ายรำกับ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ในลีลาแห่งจักรวาฬ
อรพินโธ เต็มใจเป็นส่วนหนึ่งของความสงบเงียบนั้น ปล่อยให้ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ซึมซ่านเข้ามาในตัวเขา จนถึงไขกระดูกของเขาพร้อมๆ กับความสงบเงียบ อรพินโธ สูดหายใจเอาความสงบเงียบเข้าไปในกายเขา อิ่มเอิบอยู่กับความสงบเงียบอันศักดิ์สิทธิ์นั้น โน้มนำจิตวิญญาณเขาไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับ “จิตศักดิ์สิทธิ์” อันเป็น เป้าหมายอันเร้นลับแห่งการบำเพ็ญโยคะ ของตัวเขา
โดยการบำเพ็ญสมาธิภาวนา อรพินโธ ได้ตระหนักถึง ธรรมชาติของ “ความเป็นจริง” ว่า มันคือ ความเป็นจิตวิญญาณที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของพื้นที่ (space) และกาลเวลา (time)
จิตวิญญาณ ไม่มี อดีต ไม่มี อนาคต มีแต่ ปัจจุบัน เท่านั้น จิตวิญญาณ จึงไม่ใช้เนื้อที่แม้แต่น้อย
“มิติ” ที่คนทั่วไปเข้าใจนั้น เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของกาลเวลาที่มนุษย์รู้จักเท่านั้น แม้แต่ “ภพภูมิ” ก็ยังเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นภายใต้กฎเกณฑ์ของพื้นที่ และกาลเวลาเช่นกัน
ขณะที่ อรพินโธ กลับค้นพบในสมาธิว่า
“มิติ” ทั้งหมดก็คือปัจจุบัน! ส่วน “ภพภูมิ” ทั้งหมดก็คือ สภาวะแห่งจิตวิญญาณ ที่มีระดับและความละเอียดแตกต่างกันไปเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดสำหรับจิตวิญญาณ จึงมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือ ปัญญาญาณที่พัฒนาขึ้นมาจากความรักอันบริสุทธิ์ โดยที่ปัจจุบันขณะเป็นจุดแห่งการมีพลังสูงสุดในตัวมนุษย์ที่ทำให้มนุษย์สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดของตนเองได้
เมื่อใดก็ตามที่คนเรารู้จักธรรมชาติของ “มิติ” “ภพภูมิ” และ “กาลเวลา” เมื่อนั้นคนเราก็จะสามารถค้นพบพลังสูงสุดที่ตัวเขามีอยู่แล้วโดยธรรมชาติใน “ปัจจุบันขณะ” เพราะ “ปัจจุบันขณะ” นี้แหละคือธรรมชาติของความเป็นจริงของโลกนี้ ของจักรวาฬนี้
ผลจากการปฏิบัติสมาธิภาวนาและการบำเพ็ญโยคะอย่างจริงจังมานานนับปี ในที่สุด อรพินโธ ก็ได้พบกับ “จิตศักดิ์สิทธิ์” และสามารถก้าวล่วงเข้าสู่ โลกของ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ได้ในสมาธิ
“จิตศักดิ์สิทธิ์” ที่ อรพินโธ ค้นพบได้ในสมาธินั้น เป็นพลังงานที่ปราศจากร่างกาย แต่เต็มไปด้วยบุคลิกภาพ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ดำรงอยู่ใน ปรโลก ที่อยู่นอกเหนือไปจากโลกทางกายภาพที่มนุษย์รู้จัก “จิตศักดิ์สิทธิ์” อยู่เหนือการเป็นตัวตนที่ถูกจำกัดด้วยกฎเกณฑ์ของพื้นที่และกาลเวลา “จิตศักดิ์สิทธิ์” ดำรงอยู่ได้ โดยปราศจากกายขันธ์และตัวตนจำเพาะ “จิตศักดิ์สิทธิ์” จึงดำรงอยู่ในทุกๆ ที่ได้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ใบหญ้า ภูเขา ลำธาร สายลม สายฝน แสงแดด หมู่ดาว ก้อนเมฆ เม็ดทราย และแม้แต่ในลมหายใจของผู้คน
“จิตศักดิ์สิทธิ์” เป็นสิ่งอมตะที่ไม่มีการเกิด ไม่มีการเสื่อมสลาย และไม่มีการตาย “จิตศักดิ์สิทธิ์” ดำรงอยู่ด้วยความปรารถนาที่จะถ่ายทอดความรัก และปัญญาญาณให้แก่สรรพชีวิตเพื่อให้เกิดวิวัฒนาการอย่างไม่หยุดยั้งเท่านั้น “จิตศักดิ์สิทธิ์” จึงเป็นตัวจักรวาฬ (Kosmos) เองที่เผยตัวออกมาในระดับที่ละเอียดหรือเป็นทิพย์อย่างที่สุด
“จิตศักดิ์สิทธิ์” แต่ละดวงเป็น “ตัวรู้” หรือเป็น “คลื่นความคิด” (vibration)ที่ละเอียดและบริสุทธิ์ยิ่ง มิหนำซ้ำยังมีความเป็น เครือข่ายแบบเปิด ที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่พร้อมกันหมดในทุกมิติ ทุกภพภูมิและทุกกาลเวลา ปัญญาญาณและความรู้ของ “จิตศักดิ์สิทธิ์” แต่ละดวงเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ข้ามชาติภพ ข้ามภพภูมิ ข้ามกาลเวลา มันจึงดูเหมือนเป็นความอัศจรรย์ หรือความเร้นลับในสายตาของคนทั่วไปที่มีข้อจำกัดในองค์ความรู้และการรับรู้ แค่ประสาทสัมผัสทั้งห้าเท่านั้น และแค่ภพภูมินี้ในชั่วชีวิตนี้เท่านั้น
ขณะที่ “จิตศักดิ์สิทธิ์” เป็น เครือข่ายของจิตวิญญาณ ที่ครอบคลุมความรู้ข่าวสาร และความทรงจำจากทุกมิติ ทุกภพภูมิและทุกกาลเวลา จึงรู้ดีกว่าใครว่า ความรู้สึกนึกคิด และการกระทำของคนเราในปัจจุบัน ย่อมส่งผลกระทบต่อตัวตนของผู้นั้นในทุกมิติ ทุกภพภูมิ และทุกกาลเวลาเสมอโดยไม่มีข้อยกเว้น
อรพินโธ ยังตระหนักรู้ได้อีกว่า ตัวเขาและ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ที่ตัวเขาได้พบในสมาธินั้น ล้วนมาจาก ต้นกำเนิดเดียวกัน “จิตศักดิ์สิทธิ์” คือส่วนหนึ่งของตัวเขา และตัวเขาก็คือส่วนหนึ่งของ “จิตศักดิ์สิทธิ์” นั้นด้วย ตัวเขาได้ “อาสา” ลงมาจุติในร่างกายมนุษย์นี้ก็เพื่อปฏิบัติภารกิจศักดิ์สิทธิ์กับเพื่อเติมเต็มคุณค่าของชีวิต และเพื่อบำเพ็ญบารมีให้สมบูรณ์
“จิตศักดิ์สิทธิ์” ยังได้สอน อรพินโธ ในสมาธิว่า การทำสมาธิภาวนาคือการทำให้ กาย กับ ใจ จดจ่อกับ ระบบเครือข่ายของจิตวิญญาณ อย่างเข้มข้น เพื่อเชื่อมต่อ สื่อสารในการเข้าถึงความรู้และข่าวสาร ที่จำเป็นต่อการพัฒนาทางจิตของคนผู้นั้นในชาติภพนี้ โดยที่ “สติ” คือ เครื่องมืออันทรงพลังที่ใช้ในการจดจ่ออันคมชัดของจิตวิญญาณที่เป็นตัวรู้
จากการได้พบกับ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ในสมาธิ ทำให้ อรพินโธ ตระหนักได้ว่า ชีวิตหลังความตาย มีความหมายอย่างลึกซึ้งใน โลกแห่งความเป็นจริง ของมนุษย์ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งและเป็นส่วนที่สำคัญยิ่งของ โลกแห่งความเป็นจริง อันกว้างใหญ่ไพศาลกว่า โลกทางกายภาพ ที่เห็นและเป็นอยู่ เพราะ โลกแห่งความเป็นจริงนั้น คือโลกแห่งความเป็นไปได้อย่างเป็นอนันต์
จิตวิญญาณ คือ ความหลากหลาย และเป็นสิ่งที่ควรเบ่งบานอย่างงดงามในทุกๆ มิติของชีวิตดุจกลีบของดอกไม้ที่เบ่งบานออกไปทุกทิศทาง ในที่สุด อรพินโธ ก็ตระหนักได้ว่า การพัฒนาทางจิตวิญญาณของตัวเขา จะเป็นการพัฒนาทางจิตวิญญาณของ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ด้วย ความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของตัวเขา และของมนุษย์ทุกคน จึงมีความสำคัญยิ่งต่อ “จิตศักดิ์สิทธิ์” เสมอและมีส่วนที่สำคัญยิ่งต่อความก้าวหน้าของจักรวาฬโดยรวมด้วย
มิติของ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ที่ อรพินโธ ได้สัมผัสจากสมาธินั้น ตัวของ “จิตศักดิ์สิทธิ์” เป็นผู้สร้างสภาพแวดล้อมในมิติที่ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ดำรงอยู่เอง เพราะฉะนั้น สภาพแวดล้อมของ “จิตศักดิ์สิทธิ์” แต่ละดวง จึงแสดงออกถึงระดับวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณของตัว “จิตศักดิ์สิทธิ์” เอง โดยที่สภาพแวดล้อมนั้นปราศจากโครงสร้างที่ถาวรตายตัว แต่มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยแบบแผนของความรู้สึกนึกคิด หรือด้วยแรงปรารถนาที่ห้อมล้อมความเป็นตัวตนของตัว “จิตศักดิ์สิทธิ์” แต่ละดวงเอาไว้
“จิตศักดิ์สิทธิ์” เป็นจิตวิญญาณที่อยู่ในระดับชั้นที่สูงส่งกว่าของมนุษย์ก็จริง แต่มนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณเหล่านั้นด้วย ในปัจจุบัน นี่คือ ความลับของฟ้าดิน ที่ อรพินโธ ได้มีส่วนเข้าไปรับรู้ในสมาธิของเขา โดยที่ “จิตศักดิ์สิทธิ์” แต่ละดวงเข้ามาสัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะที่เป็น คุรุทางจิตวิญญาณที่ปราศจากรูปร่างตัวตน
“จิตศักดิ์สิทธิ์” เป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งความเป็นจริงหลายมิติหลายภพภูมิที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้จัก ทั้งๆ ที่มนุษย์ทุกคนโดยศักยภาพต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกนั้นด้วย คนเราทุกคนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนตนเองให้ “จดจ่อ” และ “ตื่นรู้” ให้กว้างยิ่งขึ้นกว่าเดิม และลึกซึ้งยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยการรับข่าวสารชุดต่างๆ จาก “จิตศักดิ์สิทธิ์” ทั้งหลายทั้งปวงในระหว่างที่กำลังเจริญสมาธิภาวนา และบำเพ็ญโยคะเพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ พลังแห่งวิวัฒนาการ ในการขับเคลื่อนจักรวาฬ
ผู้ใดก็ตามที่เปิดใจให้กว้างได้ ก็ย่อมสามารถขยายกรอบความคิด ความเชื่อของคนผู้นั้นให้กว้างขวางยิ่งขึ้น จนกระทั่งสามารถรู้เห็นมิติอันกว้างใหญ่ของจิตวิญญาณที่แฝงเร้นอยู่รอบตัว โดยผ่านการเจริญสมาธิภาวนาและการบำเพ็ญโยคะ
ความรักความปรารถนาดีที่จะช่วยกอบกู้โลกของคนผู้นั้น ย่อมผลักดันคนผู้นั้นให้ใช้ศักยภาพของสมอง และศักยภาพของจิตวิญญาณของเขาไปในทิศทางที่เชื่อมโยงกับวิวัฒนาการของจักรวาฬโดยรวมอย่างแนบแน่น ตัวเขาคือ จิตวิญญาณในอดีต ของ “จิตศักดิ์สิทธิ์” และ “จิตศักดิ์สิทธิ์” ก็เป็น จิตวิญญาณในอนาคต ของตัวเขาผู้นั้น (ยังมีต่อ)