xs
xsm
sm
md
lg

ในหลวง-พระราชินีเสด็จฯประกอบพระราชพิธีพระราชทานน้ำสรงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน – สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้สำนักพระราชวังจัดการพระศพ ถวายพระเกียรติสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พร้อมพระราชทานเศวตฉัตร 5 ชั้น คณะแพทย์ฯเผยเสด็จสู่สวรรคาลัยอย่างสงบ ด้านพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าพร้อมใจกันแต่งชุดดำเพื่อเดินทางไปไว้อาลัยที่โรงพยาบาลศิริราช พร้อมทั้งร่วมถวายน้ำสรงพระศพที่ศาลาสหทัยสมาคมอย่างเนืองแน่น

วานนี้(2 ม.ค.) เวลา 05.30 น. สำนักพระราชวังได้ออกประกาศ เรื่องสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์ ความว่า "สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์ ได้เสด็จประทับรักษาพระอาการประชวร ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2550 ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบเป็นระยะแล้วนั้น แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ และสิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 02.54 น. วันที่ 2 มกราคม 2551 รวมพระชันษา 84 ปี 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สำนักพระราชวังจัดการพระศพ ถวายพระเกียรติสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์ถวายมีกำหนด 100 วัน ตั้งแต่วันสิ้นพระชนม์เป็นต้นไป

อนึ่ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายน้ำสรงพระศพหน้าพระฉายาลักษณ์ ซึ่งประดิษฐาน ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 13.00-16.00 น. วันพุธที่ 2 ม.ค.2551

หลังจากประกาศสำนักพระราชวัง ประชาชนที่อยู่บริเวณอาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ต่างร่ำไห้ด้วยความเศร้าเสียใจต่อการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เป็นอย่างมาก พร้อมใจก้มลงกราบ บ้างก็สวดพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศล 

จากนั้น ในเวลาประมาณ 08.00 น. ทางสำนักพระราชวังได้นำพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่ประดิษฐาน ณ ศาลาศิริราช 100 ปี ไปประดิษฐานที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวังเพื่อให้ประชาชนเข้าถวายน้ำสรงพระศพหน้าพระฉายาลักษณ์ โดยทางโรงพยาบาลศิริราชได้นำพระฉายาลักษณ์ใหม่ในฉลองพระองค์ชุดสีน้ำเงิน ทรงสายสะพายมหาจักรีนำมาประดิษฐานแทนเพื่อให้ประชาชนได้ถวายราชสักการะ
       
**เผยเสด็จสู่สวรรคาลัยอย่างสงบ

เวลาประมาณ 09.30 น. ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ กุลนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้นำคณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาลงมาถวายราชสักการะพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ พร้อมทั้งเปิดเผยว่า ทางโรงพยาบาลศิริราชจะไว้ทุกข์เป็นเวลา 3 เดือน โดยให้บุคลากรทุกฝ่ายสวมชุดไว้ทุกข์ที่เหมาะสม รวมทั้งทางโรงพยาบาลศิริราชจะไม่มีการจัดฉลองรื่นเริงใดๆ ทั้งสิ้นเป็นเวลา 3 เดือน

    ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ เปิดเผยต่อไปว่า ในช่วงก่อนที่จะเสด็จสู่สวรรคาลัย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ มีพระอาการทั่วไปสงบ โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ เฝ้าฯ อย่างใกล้ชิดทุกพระองค์

     “สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงเป็นแบบอย่างของคนไข้ได้เป็นอย่างดี ทรงมีกำลังพระทัยที่ดีมาก ทรงมีความสงบในระหว่างการถวายการรักษาตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งการที่ทรงสิ้นพระชนม์ครั้งนี้ก็เป็นไปตามพระอาการ ไม่ทรงพระทรมาน และทรงไปอย่างสงบ”

      “ความรู้สึกของคณะแพทย์ก็ไม่แตกต่างจากประชาชนคนไทยทั้งประเทศ พวกเราเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการจากไปของพระองค์ท่าน ทั้งนี้ ตลอดเวลาที่ได้ถวายการรักษาไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อย่างหาที่สุดมิได้” ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ กล่าว

       พร้อมกันนี้ ทางโรงพยาบาลศิริราชได้ติดผ้าแพรสีขาว-ดำ เพื่อถวายความอาลัย 9 จุด คือที่ประตูทางเข้าด้านวังหลัง ด้านพรานนก ตึกผู้ป่วยนอก ตึกอุบัติเหตุ ศาลาท่าน้ำ รวมทั้งมีการแสดงนิทรรศการแสดงพระราชประวัติ และพระกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่บริเวณศาลาศิริราช 100 ปี เป็นเวลา 3 เดือนเพื่อให้ประชาชนได้ถวายราชสักการะด้วย

 **ปชช.มุ่งหน้าศิริราชถวายความอาลัย

        ภายหลังสำนักพระราชวังได้ออกประกาศ เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯสิ้นพระชนม์ ในช่วงเช้า ประชาชนชาวไทยที่ทราบข่าวต่างเต็มไปด้วยความอาลัยในการจากไปของพระองค์ท่าน พร้อมทั้งพร้อมใจกันแต่งชุดสีดำเดินทางไปยังโรงพยาบาลศิริราช เพื่อร่วมไว้อาลัยและรอส่งเสด็จพระศพที่จะเคลื่อนจากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง

        นอกจากนี้ ยังได้พร้อมใจกันถวายสักการะพระฉายาลักษณ์ของพระองค์ ณ ศาลาศิริราช 100 ปี ซึ่งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลศิริราชได้มีการจัดนิทรรศการไว้อาลัย พร้อมทั้งถ่ายภาพพระฉายาลักษณ์ของพระองค์ รวมถึงประกาศสำนักพระราชวัง เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ สิ้นพระชนม์ไว้เพื่อนำไปถวายสักการะด้วย

        นางเกตุชญา กิมตงเห อาชีพรับจ้างเฝ้าไข้ที่โรงพยาบาลศิริราช ในฐานะอาสาสมัครของมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีหรือ พอ.สว.,อาสาสมัครสาธารณสุข(อสม.) จ.ชลบุรีและอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน(อปพร.) จ.ชลบุรี เปิดเผยว่า การที่มีอาชีพรับจ้างเฝ้าไข้ที่โรงพยาบาลศิริราชทำให้ได้มีโอกาสได้ติดตามพระอาการของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ นับตั้งแต่เข้ารับถวายการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งก็รู้สึกเป็นห่วงพระองค์ท่านเป็นอย่างมาก

      ทั้งนี้ โดยส่วนตัวเคยมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯในฐานะอาสาสมัคร พอ.สว.หลายครั้ง รวมทั้งเคยมีโอกาสติดตามพระองค์ท่านเสด็จฯเยี่ยมอาสาสมัครพอ.สว.ที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งก็ได้เห็นพระราชจริยวัตรอันงดงามขณะทรงงาน ทรงมีพระราชอัธยาศัยดี ไม่เคยถือพระองค์ อาสาสมัครนอนแบบไหน พระองค์ท่านก็บรรทมแบบนั้น โดยเคยเห็นพระองค์ท่านประทับบรรทมในเต้นท์และเสวยพระกระยาหารแบบเดียวกับที่คณะแพทย์ พอ.สว.กินกัน

      "ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้ดิฉันตัดสินใจเป็นอาสาสมัครถึง 3 หน่วยงานด้วยกัน เมื่อคืนนี้(2 ม.ค.) ได้ทราบข่าวจากคณะแพทย์ตอนตี 3 ถึงการสิ้นพระชนม์ ซึ่งไม่อยากเชื่อและไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ไม่อยากให้พระผู้ทรงคุณแก่แผ่นดินไปจากไปจากคนไทย"

      "ดิฉันร้องไห้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุด ตั้งใจเอาไว้ว่าจะเป็นอาสาสมัครพอ.สว.ต่อไปจนกว่าจะทำไม่ได้ และจะแต่งชุดดำเพื่อไว้ทุกข์ให้พระองค์ท่านอย่างไม่มีกำหนด"นางเกตุชยากล่าว

**ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในการเป็นครู

   เวลา 11.40 น.นางสุนีย์ สินธุเดชะ อธิการบดีม.รัตนบัณฑิต ได้นำคณะผู้บริหารจำนวน 7 คนเดินทางมาถวายราชสักการะพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่ศาลาศิริราช 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช

      จากนั้นนางสุนีย์ได้เปิดเผยว่า ทันทีที่ได้ทราบข่าวพระอาการประชวรของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ก็รู้สึกกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสำนักพระราชวังมีแถลงการณ์เรื่องการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ก็ยิ่งไม่สบายใจจนไม่อยากฟังข่าวอีก และเมื่อมีประกาศเรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ท่านก็รู้สึกเสียใจจนมิอาจหาคำใดมากล่าวได้

      อย่างไรก็ตาม ในความเสียใจก็มีความชื่นใจระคนกันเมื่อเห็นพสกนิกรชาวไทยพร้อมใจกันแต่งชุดดำเพื่อร่วมถวายความอาลัยต่อการจากไปของพระองค์ท่าน ส่วนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ขอน้อมเกล้าฯ ถวายความเข้มแข็งให้พระองค์ท่านมากที่สุดเท่าที่จะมากได้

     นางสุนีย์กล่าวด้วยว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงเคยเป็นพระอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งในขณะนั้นตนเองเป็นอาจารย์สอนอยู่ด้วย ทั้งนี้ นิสิตจุฬาฯ ทุกคนต่างซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ เพราะทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในการเป็นครู ทรงลึกซึ้งในศาสตร์ที่พระองค์ทรงสอน ทรงสอนให้เข้าใจง่าย โดยทรงมีเทคนิคที่ทำให้นิสิตไม่เบื่อและนิสิตทุกคนต่างก็รอให้ถึงชั่วโมงที่พระองค์สอน

**ปชช.รอส่งเสด็จพระศพเนืองแน่น

สำหรับในช่วงบ่าย ประชาชนได้ทยอยเดินทางมายังโรงพยาบาลศิริราชเพิ่มมากขึ้นเพื่อรอการส่งเสด็จพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ไปประดิษฐานยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง        

นางบรรจง บุญพันธุ์ อายุ 68 ปี ชาว จ.ร้อยเอ็ด แต่ปัจจุบันอาศัยอยู่ใน กทม.กล่าวว่า เมื่อเวลาประมาณ 06.00 น.ได้เปิดโทรทัศน์และทราบข่าวจากแถลงการณ์สำนักพระราชวังก็รู้สึกเสียใจ และสำนึกพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เป็นอย่างมาก เพราะพระองค์ทรงสานต่อโครงการ พอ.สว.จากสมเด็จย่า และได้เดินทางไปทุกอำเภอ ทุกจังหวัดที่เป็นถิ่นทุรกันดารที่สาธารณสุขยังเข้าไปไม่ถึงมากนัก ทำให้ผู้ป่วยที่อยู่ห่างไกลได้รับการรักษาอย่างทั่วถึง โดยมีพระกระแสรับสั่งให้จังหวัดต่างๆ คอยดูแลผู้ป่วยในพระบรมราชานุเคราะห์อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงตั้งมูลนิธิโรคไตเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคไต เพราะประชาชนจำนวนมากป่วยด้วยโรคไต และผู้ป่วยมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เมื่ออยู่ในความดูแลของมูลนิธิฯ ประชาชนได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

         นอกจากนี้ พระองค์ยังมีรับสั่งให้ทำแขนขาเทียมแก่ผู้พิการทางร่างกาย ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณต่างๆ ที่พระองค์ทำ ช่วยให้คุณภาพชีวิตของประชาชนจำนวนมากดีขึ้น และสามารถช่วยเหลือตนเองได้

              นางจริยา แซ่ลี้ อายุ 57 ปี อาชีพค้าขาย จาก จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ทราบข่าวบนรถไฟระหว่างเดินทางมา กทม.เพื่อทำธุระ จึงเปลี่ยนเป้าหมายมายังโรงพยาบาลศิริราชทันที โดยมารอที่โรงพยาบาลตั้งแต่ตี 5 โดยส่วนตัวติดตามพระราชกรณียกิจของพระองค์มาโดยตลอด และติดตามพระอาการประชวรอย่างใกล้ชิด รู้สึกเสียใจและเสียดายเพราะประเทศไทยได้ขาดบุคคลสำคัญไป

       “เสียใจอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้คิดอยู่ว่าพระองค์ท่านคงหมดทุกข์ ไม่ต้องทนทรมานกับอาการประชวรอีกต่อไป และต่อจากนี้ไป อยากให้พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์อย่าจากประชาชนชาวไทยไปอีกเลย”นางจริยากล่าว
         
**สมเด็จพระบรมฯ ทรงเป็นองค์อำนวยการเคลื่อนพระศพ

          สำหรับเส้นทางเคลื่อนพระศพนั้น สำนักพระราชวังได้กำหนดให้ใช้เส้นทางจากโรงพยาบาลศิริราช ขึ้นสะพานอรุณอมรินทร์ ลงสะพานอรุณอมรินทร์ เลี้ยวขวาขึ้นสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ลงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เลี้ยวขวาเข้าถนนหน้าพระลานต่อเนื่องถนนมหาราช สู่ประตูเทวาภิรมย์ พระบรมมหาราชวัง โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็นองค์อำนวยการดำเนินการในการเคลื่อนพระศพ และสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม เป็นผู้นำพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ออกจากโรงพยาบาลศิริราช
    
       ต่อมาในเวลา 13.12 น. สมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินยังอาคารเฉลิมพระเกียรติ และเสด็จพระราชดำเนินกลับในเวลา 13.30 น.
   
      ในเวลาเดียวกันนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เดินทางมายังอาคารเฉลิมพระเกียรติ เพื่อร่วมส่งเสด็จพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ

ต่อมาเวลา 14.06 น.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินขึ้นอาคารเฉลิมพระเกียรติ จากนั้น เวลา 14.30 น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จพระราชดำเนินถึงโรงพยาบาลศิริราชเพื่อเตรียมเคลื่อนพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯไปยังพระบรมมหาราชวัง

**ในหลวงเสด็จฯออกจากศิริราช

เมื่อเวลา 14.36 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินด้วยเครื่องช่วยพยุงพระองค์ลงจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช โดยฉลองพระองค์ตัวในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว ส่วนฉลองพระองค์ตัวนอกเป็นสูทสีเทาเข้ม ทรงพระสนับเพลาสีดำ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพยักพระพักตร์พระราชทานให้แก่ประชาชนที่เฝ้าฯ รอรับเสด็จอยู่บริเวณอาคารเฉลิมพระเกียรติ จากนั้นได้เสด็จประทับรถยนต์พระที่นั่งออกจากโรงพยาบาลศิริราชกลับพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน หลังจากประทับที่อาคารเฉลิมพระเกียรติเพื่อเฝ้าติดตามพระอาการสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

        ขณะที่ประชาชนที่เฝ้ารอรับเสด็จต่างชูพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯเอาไว้เหนือศีรษะ พร้อมกับร่ำไห้เสียใจต่อการสิ้นพระชนม์ของพระองค์   

       ทั้งนี้ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักพระราชวังได้เคลื่อนพระศพของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ออกจากโรงพยาบาลศิริราชมายังพระบรมมหาราชวัง
         
**พร้อมใจถวายน้ำสรงพระศพ ณ สหทัยสมาคม

         สำหรับบรรยากาศที่ศาลาสหทัยสมาคม ภายในพระบรมมหาราชวัง ที่ทางสำนักพระราชวังได้จัดเตรียมสถานที่ไว้ให้ประชาชนได้เข้าถวายน้ำสรงพระศพหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ตั้งแต่เวลา 13.00-16.00 น.นั้น หลังจากที่เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้อนุญาตให้ประชาชนทยอยเข้ามาภายในพระบรมมหาราชวัง ก็มีประชาชนเดินทางมาถวายน้ำสรงพระศพเป็นจำนวนนับหมื่นคน ตั้งแต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทหาร และพลเรือน ทูตานุทูต ผู้มีชื่อเสียงในจากแวดวงต่าง ๆ รวมทั้งดารา

ทั้งนี้ สำนักพระราชวังอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาวและสีดำเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปถวายน้ำสรงพระศพได้ ส่วนผู้ที่แต่งกายเสื้อสีเหลืองหรือเสื้อสีอื่นๆ ไม่ได้รับอนุญาต

          น.ส.วันเพ็ญ นิลพันธุ์ อายุ 65 ปี จากย่านรัชดาภิเษก-ห้วยขวาง กล่าวว่า ทราบข่าวการสิ้นพระชนม์เมื่อเวลาประมาณ 06.00 น. ซึ่งหลังทราบก็รู้สึกเสียใจ ตัวชาทั้งตัวและน้ำตาไหลออกมา จากนั้นได้แต่งตัวออกมาจากบ้านเดินทางมายังพระบรมมหาราชวัง เพื่อรอสรงน้ำพระศพพระองค์ท่าน และได้เข้ามาในพระบรมมหาราชวังเป็นคนที่ 2 และได้สรงน้ำหน้าพระฉายาลักษณ์เป็นคนที่ 3

         “ดิฉันขอตั้งจิตอธิษฐานว่า หากเกิดชาติหน้าฉันใดขอให้เกิดในประเทศไทย และอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทยอีก”

         ด้านนางขนิษฐา ชุ่มเพี้ยน อายุ 42 ปี อาชีพรับจ้าง กล่าวว่าเดินทางมาพร้อมกับ ด.ญ.สินาภรณ์ วัย 10 ขวบ ซึ่งเป็นลูกสาว โดยหลังจากทราบว่าก็ได้ให้ลูกหยุดเรียนและแต่งตัวมาร่วมถวายความอาลัย ณ โรงพยาบาลศิริราช เพราะเฝ้าติดตามพระอาการมาโดยตลอด รวมทั้งได้เคยเดินทางมาลงนามถวายพระพรแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดคือเมื่อวันเสาร์ที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา เมื่อไปถึงและทราบข่าวว่าสำนักพระราชวังเปิดให้สรงน้ำพระศพได้ที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ก็รีบเดินทางมาทันที

       ขณะที่นางทองใส พิศพาร วัย 63 ปี ข้าราชการบำนาญ จากดอนเมือง กล่าวว่า ทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ตอนตี 5 รู้สึกเสียใจมากและร้องไห้กับการจากไปของพระองค์ท่าน จากนั้นก็ไปทำบุญตักบาตรเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลให้กับพระองค์ท่าน แล้วก็เดินทางมาจากบ้านเพื่อถวายน้ำสรงพระศพที่พระบรมมหาราชวัง

          ด้านนางบุญศรี สนองคุณ อายุ 75 ปี กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอเบ้าว่า รู้สึกเสียใจที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ สิ้นพระชนม์ และนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่ช่วยแบ่งเบาพระราชภาระในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการช่วยดูแลทุกข์ สุขประชาชน ด้านสาธารณสุข และด้านวัฒนธรรม พระองค์ได้อุปถัมภ์มูลนิธิต่างๆ ไว้ถึง 68 มูลนิธิ ซึ่งแต่ละมูลนิธิจะดูแลประชาชนหลากหลายด้าน ส่วนใหญ่จะดูด้านสาธารณสุขของประชาชน ส่วนตัวคิดว่าถ้าประชาชนมีสุขภาพแข็งแรงไร้โรคภัยไข้เจ็บก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อพระองค์มาดูแลเรื่องสุขภาพประชาชนก็แบ่งเบาพระราชภาระในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เยอะมาก เพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปดูแลทุกข์สุขของประชาชนด้านอื่นแทน

      ส่วนด้านวัฒนธรรม สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้อุปถัมภ์คณะละครหุ่นละครเล็กโจหลุยส์ เพราะไม่ต้องการให้หุ่นละครเล็ก ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของไทยต้องสูญหายไปถึงขนาดมีโครงการจะสร้างโรงละคร เพื่อให้คณะโจหลุยส์ได้มาจัดแสดง แต่โครงการนี้ยังไม่สำเร็จ ยังไม่รู้ว่าจะมีใครมาสานต่อหรือไม่ อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์คงจะเข้ามาสานต่อมูลนิธิทั้งหมดที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทำไว้

**หมอเสม ขอให้คนไทยยึดเป็นแบบอย่าง

น.พ.เสม พริ้งพวงแก้ว ปัจจุบันเป็นรองประธานมูลนิธิหม่อมเจ้าหญิงบุญจิราทร ชุมพล จุฑาธุช ซึ่งปัจจุบันอายุ 96 ปี ได้มาร่วมพิธีถวายน้ำสรงพระศพด้วย และเป็นอีกผู้หนึ่งที่เคยถวายงานรับใช้สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ พร้อมกล่าวว่า ถือเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของพสกนิกรชาวไทย ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้มีโอกาสกราบบังคมทูลลาพระองค์ท่าน

“พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความอ่อนโยน ทรงมีพระเมตตา ทรงเป็นผู้เสียสละและมีพระปรีชาสามารถ ทรงมีหิริโอตัปปะ ทรงมีความอดทน และไม่โปรดให้ใช้ความรุนแรง อยากให้ประชาชนคนไทยยึดถือสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต”

ต่อมานายชาตรี โสภณพนิช พร้อมด้วยนายชาติศิริและนางอินทิรา โสภณพนิช และทีมผู้บริหารระดับสูงของธนาคารกรุงเทพ มาร่วมพิธีด้วย โดยนายชาตรี กล่าวพร้อมใบหน้าที่แสดงถึงความเสียใจว่า ทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางฯจากวิทยุ จากนั้นได้ชักชวนครอบครัวและคณะผู้บริหารของธนาคารกรุงเทพเท่าที่รวบรวมได้ มาร่วมพิธีถวายน้ำสรงพระศพพระองค์ท่าน

ส่วนท่านผู้หญิงยศวดี อัมพรไพศาล เจ้าของโรงเรียนอัมพรไพศาล ซึ่งมีอายุมากถึง 100 ปีกับอีก 8 เดือน กล่าวว่า เมื่อทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ ก็รู้สึกใจหายและรีบเดินทางมาโดยตั้งใจมาเพื่อถวายน้ำสรงพระศพ เพราะปลาบปลื้มในพระราชจริยวัตรต่าง ๆ ของพระองค์อย่างมาก ทุกครั้งที่มีโอกาสเข้าเฝ้าฯใกล้ชิด ก็รู้สึกประทับใจในพระปรีชาสามารถของพระองค์ทางด้านภาษาที่ตรัสได้ถึง 5 ภาษาด้วยกัน

“โดยส่วนตัวแล้วดิฉันได้ยึดพระองค์เป็นแบบอย่างในการทำคุณความดี ความขยัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นพลังที่ช่วยให้ดิฉันมีอายุยืนมาถึงวันนี้ รวมทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเคยมีรับสั่งกับดิฉันว่าขอให้อยู่ถึง 108 ปี ”

 **ปชช.ต่อแถวยาวเหยียดรอสรงน้ำฯ

          สำหรับในช่วงเย็น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณด้านหน้าศาลาสหทัยสมาคม ประชาชนสวมชุดดำจำนวนมากได้เดินทางมาร่วมถวายน้ำสรงพระศพหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ โดยมีประชาชนต่อแถวยาวกว่า 10 แถว แถวละกว่า 10 เมตร ท่ามกลางแดดร้อนทำให้หลายคนเป็นลม

      นางพรรณี พฤทธานนทชัย อายุ 69 ปี ซึ่งเดินทางมาจากสีลม เขตบางรัก กล่าวว่า ตั้งใจเดินทางมาเพื่อที่จะถวายน้ำสรงพระศพหน้าพระฉายาลักษณ์ตั้งแต่ก่อนเที่ยง ซึ่งมีประชาชนมาต่อแถวรอสรงน้ำที่ศาลาสหทัยสมาคมยาวมาก กว่าจะได้เข้าไปก็ถึงกับเป็นลม และได้เข้าไปถวายน้ำสรงพระศพในเวลา 14.00 น.

“รู้สึกอาลัยพระองค์มาก ติดตามข่าวพระอาการประชวรมาโดยตลอด และได้เดินทางไปลงนามถวายพระพรที่ รพ.ศิริราชก่อนหน้านี้ ซึ่งตั้งแต่ได้ฟังข่าวแถลงการณ์สำนักพระราชวังที่แจ้งว่าพระวักกะ(ไต)ไม่ทำงานก็นอนไม่หลับ เปิดข่าวทั้งวิทยุและโทรทัศน์ติดตามอย่างใกล้ชิดตลอด พอทราบเมื่อตอนเช้ามืดว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ก็ตกใจมาก ตอนนี้ยังคิดอะไรไม่ออกแต่ตั้งใจจะไว้ทุกข์ถวายความอาลัยแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ”นางพรรณีกล่าว

       นอกจากนี้ มีนักเรียน ร.ร.ดุสิตพาณิชยการจำนวนหนึ่ง ได้เดินทางมาถวายน้ำสรงน้ำพระศพ. โดยระหว่างที่ต่อแถวรอก็ได้นำถุงมาช่วยกันเก็บขยะบริเวณด้านหน้าศาลาสหทัยสมาคม โดย น.ส.นันทกานต์ โฆษิตสถิตย์ อายุ 18 ปี นักเรียน ปวช.ชั้นปีที่ 3 ร.ร.ดุสิตฯ กล่าวว่า ทางโรงเรียนได้ส่งตัวแทนนักเรียนและอาจารย์มายังศาลาสหทัยสมาคม ซึ่งที่โรงเรียนได้จัดกิจกรรมตักบาตรและจัดนิทรรศการพระราชกรณียกิจสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ โดยครู อาจารย์ได้ร่วมกันไว้ทุกข์ถวายความอาลัยเป็นเวลา 100 วัน สำหรับตนเองรู้สึกเสียใจติดตามข่าวมาโดยตลอด และจากนี้ไปตั้งใจจะทำความดีถวายพระองค์ โดยตั้งใจเรียนให้มากขึ้น
         
**พระศพถึงพระบรมมหาราชวัง

          ในเวลา 15.20 น.พระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้เคลื่อนถึงพระบรมมหาราชวัง โดยเคลื่อนเข้าทางประตูเทวาภิรมย์ จากนั้นขบวนพระศพได้เคลื่อนไปยังพระที่นั่งพิมานรัถยา ซึ่งประชาชนส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้ถวายน้ำสรงพระศพหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ก็ยังคงเข้าคิวยาวเพื่อรอเข้าสรงน้ำฯ กันอย่างต่อเนื่อง

     ขณะที่บริเวณด้านนอก เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้แจกพระคาถาชินบัญชรและบทสวดมนต์ให้กับประชาชนที่มาเฝ้ารอรับเสด็จ โดยประชาชนส่วนหนึ่งได้ร่วมสวดมนต์ถวายสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ซึ่งมีประชาชนบางส่วนได้ทยอยเดินทางกลับ แต่ส่วนใหญ่ยังปักหลักอยู่ที่พระบรมมหาราชวังเพื่อรอส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์

          ส่วนประชาชนส่วนใหญ่ที่มารอส่งพระศพที่ รพ.ศิริราช ต่างมุ่งหน้าไปยังศาลาสหทัยสมาคม เพื่อถวายน้ำสรงพระศพหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ และเพื่อรอรับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ที่จะเสด็จไปยังพระบรมมหาราชวัง ซึ่งกรมเจ้าท่าได้นำเรือมาบริการฟรีให้แก่ประชาชนจากท่าวังหลังไปยังท่าช้าง เพื่อให้เดินทางไปยังศาลาสหทัยสมาคม

      ขณะเดียวกันร้านค้าย่านวังหลังได้นำเสื้อสีดำแบบต่างๆ ออกมาจำหน่าย โดยมีประชาชนสนใจซื้อจำนวนมาก เนื่องจากเพิ่งทราบว่าหากจะเข้าไปถวายน้ำสรงพระศพจะต้องสวมชุดดำหรือชุดขาวเท่านั้น โดยบางร้านได้จัดบริการกั้นม่านให้ประชาชนที่ซื้อเสื้อผ้าได้เปลี่ยนชุดด้วย นอกจากนี้ยังมีการจำหน่ายพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ หลากหลายรูปแบบ และหลากหลายราคาด้วย
         
**ในหลวงพระราชทานน้ำหลวงอาบพระศพ

เวลา 17.20 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งพิมานรัถยา ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อพระราชทานน้ำหลวงอาบพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

จากนั้นเจ้าพนักงานเชิญพระศพลงสู่หีบ ตำรวจหลวงเชิญไปประดิษฐานหลังพระแท่นแว่นฟ้าทอง ประกอบพระลองทองใหญ่ ภายใต้เศวตฉัตร 5 ชั้น แวดล้อมด้วยเครื่องสูง ทองแผ่ลวด บังแทรกชุมสาย ต้นไม้ทองเงิน ณ มุขตะวันตก พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงวางพวงมาลา ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะพระศพ

เสร็จแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียน เครื่องนมัสการพระพุทธรูปและทรงทอดผ้าไตรพระสงฆ์ 84 รูป พระสงฆ์สดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา

จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนที่พระแท่น พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม จากนั้นทั้งสองพระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินกลับ

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพิธีสวดพระอภิธรรมประจำทั้งกลางวันกลางคืน พระราชทานฉันเช้าพระสงฆ์ 8 รูปและเพล 8 รูป มีกำหนด 100 วัน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

นอกจากนี้ในการทรงน้ำอาบพระศพ พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมถวายน้ำสรงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ณ พระที่นั่งพิมานรัถยา ในพระบรมราชวัง ในฐานะที่เป็นตัวแทนของพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ จากนั้น คณะรัฐมนตรีได้ร่วมถวายน้ำสรงพระศพ ณ ศาลาสหทัยสมาคม

ส่วนบรรยากาศโดยรอบพระบรมมหาราชวัง ประชาชนที่เฝ้ารอรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทยอยเดินทางกลับ อย่างไรก็ตามยังคงมีประชาชนต่อแถวยาวเหยียดเพื่อถวายน้ำสรงพระศพ ซึ่งทางสำนักประราชวังได้ปิดการถวายน้ำสรงพระศพหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ถึงพระบรมมหาราชวัง แต่ยังคงให้ประชาชนเข้าไปในถวายราชสักการะพระฉายาลักษณ์ในศาลาสหทัยสมาคมได้อยู่ ต่อมาในเวลา 18.00 น.ประชาชนที่ต่อแถวรอถวายราชสักการะพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้ทยอยเข้าถวายราชสักการะจนหมด จากนั้นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้ยุติการอนุญาตให้ประชาชนเข้าถวายราชสักการะพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระพี่นางเธอฯ

    ทั้งนี้ สำนักพระราชวังจะเปิดให้ประชาชนถวายราชสักการะพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่ศาลาสหทัยสมาคมเป็นเวลา 7 วัน ตั้งแต่เวลา 8.30-16.30 น.

**วธ.พิมพ์หนังสือเฉลิมพระเกียรติแจก

          นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้รับหนังสือจากกองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง มอบหมายให้กรมการศาสนา (ศน.) ดำเนินการนิมนต์พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ จำนวน 84 รูป สดับปกรณ์ นิมนต์พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม ประจำทั้งกลางวัน กลางคืน รับพระราชทานฉันเช้า วันละ 8 รูป ฉันเพล วันละ 8 รูป กำหนด 100 วัน รวมทั้งดำเนินการจัดตู้พระธรรมไปตั้งที่หน้าพระสวดพระอภิธรรม และให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติราชการตามหน้าที่

      ส่วนกรมศิลปากรได้มอบหมายให้จัดเตรียมดนตรีประโคม สำหรับใช้ในพระราชพิธีศพด้วย นอกจากนี้ กระทรวงวัฒนธรรมยังได้จัดพิมพ์หนังสือเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เนื่องในโอกาสมหามงคลเจริญพระชนมายุ 7 รอบ จำนวน 200,000 เล่ม เพื่อนำไปแจกให้แก่ประชาชนที่เดินทางไปถวายราชสักการะพระศพที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง และที่ศาลากลางจังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้ หากจำนวนหนังสือไม่เพียงพอ ทางกระทรวงวัฒนธรรมได้เตรียมจัดพิมพ์เพิ่มอีก 300,000 เล่ม

                  
         
กำลังโหลดความคิดเห็น