นักการตลาด ชี้สมรภูมิสินค้าอุปโภคบริโภคปีหนูแข่งเดือด หลังตลาดโตเพียง 3-5% ผู้ประกอบการผจญต้นทุนพุ่งจากราคาน้ำมัน ต้องควักคัมภีร์การตลาดฝ่ามรสุม กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง เทรนด์ผู้บริโภคเปลี่ยน ก้าวสู่ยุคปัจเจกบุคคลหมดยุคแมสมาร์เก็ตติ้ง วงจรสินค้าสั้นลง กลยุทธ์ซอยเซกเมนต์ทะลวงเฉพาะไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่มบูม
ในปี 2551 บ้างก็ว่าเป็นปีหนูไฟ หรือเป็นปีแห่งความวุ่นวายสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะตัวแปรภายนอกประเทศ อย่างราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น หรือกระทั่งปัจจัยภายในประเทศ ความมั่นคงของรัฐบาลชุดใหม่ จากการเป็นรัฐบาลผสม กำลังการซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงจากราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้น
แต่ท่ามกลางปัจจัยลบต่างๆ นานา ส่วนอีกแง่มุมหนึ่งหลายคนกล่าวว่าปี 2551 จะเป็นปีหนูทอง หรือมีความเชื่อมั่นว่า จะเป็นปีที่ดีสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะการมีรัฐบาลชุดใหม่ ที่ได้จากการเลือกตั้งมาบริหารประเทศ น่าจะเป็นการเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนจากต่างประเทศได้บ้าง ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
สำหรับปีหมูไฟหรือปี 2550 ท่ามกลางเศรษฐกิจไม่สู้ดีมากนัก ทัพสินค้าอุปโภคบริโภคขับเคี่ยวกันอย่างหนัก ทั้งสงครามราคา การทำโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม ทวีความรุนแรงจนหยดสุดท้ายจริงๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนภาพรวมสินค้าอุปโภคบริโภคปี 2551 นักการตลาดหลายท่าน ทั้งเจ้าพ่อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า ,โอสถสภา,ไลอ้อน กล่าวว่าเป็นปีที่ยากยิ่งอีกปีหนึ่งเช่นกันสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ประธาน บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยปี 2551 ไม่ได้แตกต่างจากปี 2550 มากนัก โดยจีดีพีหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศมีอัตราการเติบโต 4-5% เท่านั้น ส่วนด้านกำลังการซื้อผู้บริโภคไทยในปี 2551 ไม่ค่อยดีมากนัก เนื่องจากค่าครองชีพสูงเพิ่มขึ้นจากที่มีสินค้าหลากหลายกลุ่มปรับราคาเพิ่มขึ้น เพราะผลพวงจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มรากหญ้ายิ่งได้รับผลกระทบหนัก เพราะรายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น ในทางกลับกันรายจ่ายก็ยังเพิ่มมากขึ้นด้วย
สำหรับตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ขณะที่กลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ก็คือกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยโดยเฉพาะเสื้อผ้า อย่างไรก็ตามในปี2551 การแข่งขันตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทำโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม เพื่อกระตุ้นยอดขาย
ส่วนการปรับราคาสินค้าขึ้น จากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ในส่วนนี้เชื่อว่ามีการปรับอย่างสมเหตุสมผล เพราะกลไกตลาดหรือการแข่งขันเป็นตัวบีบอยู่แล้ว หากปรับราคาขึ้นมาก็จะมีผลทำให้ผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าคู่แข่ง ซึ่งอาจทำให้แบรนด์สูญเสียส่วนแบ่งตลาด
“ในปี2551 จะมีสินค้าจำนวนมาก ยื่นต่อกรมการค้าภายในเพื่อขอปรับราคาขึ้น สิ่งนี้ผมมองว่าภาครัฐไม่ควรเบรกกลุ่มผู้ประกอบการ ในภาวะอย่างนี้ผมไม่ได้กลัวว่าจะเกิดภาวะเงินเฟ้อ แต่กลัวรายได้ของประชาชนว่าจะไม่ดี อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจจะฟื้นหรือไม่ฟื้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งด้วย”
**ไลอ้อนชี้นวัตกรรมใหม่เจาะเฉพาะส่วน**
นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลอ้อน ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในปี 2551 จะมีนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ส่วนด้านราคาสินค้าคาดว่าจะมีการปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากขณะนี้ต้นทุนการผลิตเริ่มทยอยปรับราคาเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามการปรับราคาขึ้นในครั้งนี้ คาดว่าผู้บริโภคจะรับได้และไม่ตื่นตระหนก เพราะเข้าใจถึงเหตุผลที่สินค้าต้องปรับราคาขึ้น
**โอสถสภาระบุเทรนด์ซอยเซกเมนต์บูม**
นายวิเชียร สันติมหกุลเลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในปี 2551 จะมีอัตราการเติบโตน้อย เมื่อเทียบกับปี2550 มีอัตราการเติบโต 3-5% ทั้งนี้พบว่ากลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคแทบทุกกลุ่ม มีอัตราการเติบโตน้อยลงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ตลาดแป้ง ตลาดผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย มีแต่เฉพาะตลาดผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล สำหรับผู้ชายที่มีอัตราการเติบโต เพราะมีฐานตลาดขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามเทรนด์ของตลาดจะมีการซอยเซกเมนต์ทางการตลาดมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เฉพาะเจาะจง
**แมสมาร์เก็ตติงเสื่อมมนต์จริงหรือ**
นางสาวลักขณา ลีละยุทธโยธิน ประธานกรรมการบริหาร ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เซเรบอส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายซุปไก่สกัดตราแบรนด์ กล่าวว่า ในปี 2551 เป็นยุคแห่งปัจเจกบุคคล ดังนั้นจึงหมดยุคของการทำแมส มาร์เก็ตติง โดยผู้บริโภคจะไม่ยึดเหนี่ยวสิ่งเก่าๆ สนใจการดูแลตัวเองมากขึ้น มีการเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วทำให้วงจรสินค้าสั้นลง ดังนั้นในยุคนี้การตลาดจะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประสบการณ์เท่านั้น จากนี้ไปนักการตลาดจะต้องมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ อาทิ การเปิดโชว์รูมพิเศษ สร้างประสาทสัมผัสทั้งทุกส่วนของร่างกาย
ขณะที่กลยุทธ์หนึ่งที่น่าสนใจและสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดได้เป็นอย่างดี คือ การสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค เนื่องจากเป็นยุคที่ผู้บริโภคมีความเกรงกลัวโรคภัยไข้เจ็บ การก่อการร้าย ความปลอดภัยด้านอาหาร
สำหรับในปี 2551 จะเป็นปีที่เข้าสู่ยุคผู้บริโภคต้องการกลับคืนสู่สามัญ หรือย้อนไปใช้สินค้าในอดีต ความต้องการใช้สินค้าเริ่มหาสิ่งที่ผลิตด้วยธรรมชาติมากขึ้น ขณะเดียวกันพฤติกรรมการซื้อสินค้าจะนิยมสินค้าที่ผลิตแบบสดๆ หรือเห็นด้วยตาเลยว่าเป็นของสดใหม่จริงๆ อีกทั้งยังมีความใส่ใจการอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ยิ่งขึ้น ว่ามีอะไรเป็นองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์
“ผู้บริโภคในยุคนี้จะเน้นคุณภาพของสินค้ามากกว่าปริมาณ อีกทั้งยังยอมจ่ายเงินแพงเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้ามีคุณภาพ ทั้งนี้สืบเนื่องจากกระแสสุขภาพที่มาแรงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคไทยใส่ใจในเรื่องของสุขภาพมากขึ้น”
**สร้างมูลค่าเพิ่มด้วยอาหารสมองเกิด**
นางสาวลักขณา กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากเทรนด์ของกระแสสุขภาพที่มาแรงในปี 2551 แล้ว ท่ามกลางความเร่งรีบในชีวิตประจำวัน มีผลเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้คนไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างเห็นได้ชัด เริ่มจากกลุ่มแม่บ้านในยุคนี้จะไม่มีเวลาทำอาหารให้ลูกรับประทาน เนื่องจากข้อจำกัดการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบ ดังนั้นจึงต้องการอาหารที่ดีมีคุณภาพให้กับลูกรับประทาน ขณะเดียวก็จะเป็นอาหารที่พร้อมประทานเลย นอกจากนี้ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ต้องการการเรียนรู้ไม่สิ้นสุด จึงไม่แปลกกับข้อมูลตัวนี้ว่า 75% ของคนจะต้องการอาหารและผลิตภัณฑ์ที่ป้องการสมองเสื่อม
บทสรุปปีหนูไฟ ทัพสินค้าอุปโภคบริโภคต้องผจญกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น กับกลไกตลาดที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง บีบคั้นการขึ้นราคา บวกกับเทรนด์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป มีความเป็นปัจเจกบุคคลมากขึ้น ฉลาดและรอบรู้ แมสมาร์เก็ตจะเสื่อมมนต์ขลังหรือไม่ กลยุทธ์การตลาดอย่างไรถึงจะฝ่ามรสุมกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง จากค่าครองชีพสูงขึ้น และนักการตลาดจะปรับตัวอย่างไร เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่ง และได้มาซึ่งกำไรด้วยนั้น จึงเป็นการบ้านอย่างหนักในปีชวดนี้
ในปี 2551 บ้างก็ว่าเป็นปีหนูไฟ หรือเป็นปีแห่งความวุ่นวายสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะตัวแปรภายนอกประเทศ อย่างราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น หรือกระทั่งปัจจัยภายในประเทศ ความมั่นคงของรัฐบาลชุดใหม่ จากการเป็นรัฐบาลผสม กำลังการซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงจากราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้น
แต่ท่ามกลางปัจจัยลบต่างๆ นานา ส่วนอีกแง่มุมหนึ่งหลายคนกล่าวว่าปี 2551 จะเป็นปีหนูทอง หรือมีความเชื่อมั่นว่า จะเป็นปีที่ดีสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะการมีรัฐบาลชุดใหม่ ที่ได้จากการเลือกตั้งมาบริหารประเทศ น่าจะเป็นการเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนจากต่างประเทศได้บ้าง ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
สำหรับปีหมูไฟหรือปี 2550 ท่ามกลางเศรษฐกิจไม่สู้ดีมากนัก ทัพสินค้าอุปโภคบริโภคขับเคี่ยวกันอย่างหนัก ทั้งสงครามราคา การทำโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม ทวีความรุนแรงจนหยดสุดท้ายจริงๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนภาพรวมสินค้าอุปโภคบริโภคปี 2551 นักการตลาดหลายท่าน ทั้งเจ้าพ่อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า ,โอสถสภา,ไลอ้อน กล่าวว่าเป็นปีที่ยากยิ่งอีกปีหนึ่งเช่นกันสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ประธาน บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยปี 2551 ไม่ได้แตกต่างจากปี 2550 มากนัก โดยจีดีพีหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศมีอัตราการเติบโต 4-5% เท่านั้น ส่วนด้านกำลังการซื้อผู้บริโภคไทยในปี 2551 ไม่ค่อยดีมากนัก เนื่องจากค่าครองชีพสูงเพิ่มขึ้นจากที่มีสินค้าหลากหลายกลุ่มปรับราคาเพิ่มขึ้น เพราะผลพวงจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มรากหญ้ายิ่งได้รับผลกระทบหนัก เพราะรายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น ในทางกลับกันรายจ่ายก็ยังเพิ่มมากขึ้นด้วย
สำหรับตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ขณะที่กลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ก็คือกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยโดยเฉพาะเสื้อผ้า อย่างไรก็ตามในปี2551 การแข่งขันตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทำโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม เพื่อกระตุ้นยอดขาย
ส่วนการปรับราคาสินค้าขึ้น จากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ในส่วนนี้เชื่อว่ามีการปรับอย่างสมเหตุสมผล เพราะกลไกตลาดหรือการแข่งขันเป็นตัวบีบอยู่แล้ว หากปรับราคาขึ้นมาก็จะมีผลทำให้ผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าคู่แข่ง ซึ่งอาจทำให้แบรนด์สูญเสียส่วนแบ่งตลาด
“ในปี2551 จะมีสินค้าจำนวนมาก ยื่นต่อกรมการค้าภายในเพื่อขอปรับราคาขึ้น สิ่งนี้ผมมองว่าภาครัฐไม่ควรเบรกกลุ่มผู้ประกอบการ ในภาวะอย่างนี้ผมไม่ได้กลัวว่าจะเกิดภาวะเงินเฟ้อ แต่กลัวรายได้ของประชาชนว่าจะไม่ดี อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจจะฟื้นหรือไม่ฟื้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งด้วย”
**ไลอ้อนชี้นวัตกรรมใหม่เจาะเฉพาะส่วน**
นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลอ้อน ประเทศไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในปี 2551 จะมีนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ส่วนด้านราคาสินค้าคาดว่าจะมีการปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากขณะนี้ต้นทุนการผลิตเริ่มทยอยปรับราคาเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามการปรับราคาขึ้นในครั้งนี้ คาดว่าผู้บริโภคจะรับได้และไม่ตื่นตระหนก เพราะเข้าใจถึงเหตุผลที่สินค้าต้องปรับราคาขึ้น
**โอสถสภาระบุเทรนด์ซอยเซกเมนต์บูม**
นายวิเชียร สันติมหกุลเลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในปี 2551 จะมีอัตราการเติบโตน้อย เมื่อเทียบกับปี2550 มีอัตราการเติบโต 3-5% ทั้งนี้พบว่ากลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคแทบทุกกลุ่ม มีอัตราการเติบโตน้อยลงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ตลาดแป้ง ตลาดผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย มีแต่เฉพาะตลาดผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล สำหรับผู้ชายที่มีอัตราการเติบโต เพราะมีฐานตลาดขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามเทรนด์ของตลาดจะมีการซอยเซกเมนต์ทางการตลาดมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เฉพาะเจาะจง
**แมสมาร์เก็ตติงเสื่อมมนต์จริงหรือ**
นางสาวลักขณา ลีละยุทธโยธิน ประธานกรรมการบริหาร ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เซเรบอส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายซุปไก่สกัดตราแบรนด์ กล่าวว่า ในปี 2551 เป็นยุคแห่งปัจเจกบุคคล ดังนั้นจึงหมดยุคของการทำแมส มาร์เก็ตติง โดยผู้บริโภคจะไม่ยึดเหนี่ยวสิ่งเก่าๆ สนใจการดูแลตัวเองมากขึ้น มีการเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วทำให้วงจรสินค้าสั้นลง ดังนั้นในยุคนี้การตลาดจะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประสบการณ์เท่านั้น จากนี้ไปนักการตลาดจะต้องมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ อาทิ การเปิดโชว์รูมพิเศษ สร้างประสาทสัมผัสทั้งทุกส่วนของร่างกาย
ขณะที่กลยุทธ์หนึ่งที่น่าสนใจและสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดได้เป็นอย่างดี คือ การสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค เนื่องจากเป็นยุคที่ผู้บริโภคมีความเกรงกลัวโรคภัยไข้เจ็บ การก่อการร้าย ความปลอดภัยด้านอาหาร
สำหรับในปี 2551 จะเป็นปีที่เข้าสู่ยุคผู้บริโภคต้องการกลับคืนสู่สามัญ หรือย้อนไปใช้สินค้าในอดีต ความต้องการใช้สินค้าเริ่มหาสิ่งที่ผลิตด้วยธรรมชาติมากขึ้น ขณะเดียวกันพฤติกรรมการซื้อสินค้าจะนิยมสินค้าที่ผลิตแบบสดๆ หรือเห็นด้วยตาเลยว่าเป็นของสดใหม่จริงๆ อีกทั้งยังมีความใส่ใจการอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ยิ่งขึ้น ว่ามีอะไรเป็นองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์
“ผู้บริโภคในยุคนี้จะเน้นคุณภาพของสินค้ามากกว่าปริมาณ อีกทั้งยังยอมจ่ายเงินแพงเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้ามีคุณภาพ ทั้งนี้สืบเนื่องจากกระแสสุขภาพที่มาแรงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคไทยใส่ใจในเรื่องของสุขภาพมากขึ้น”
**สร้างมูลค่าเพิ่มด้วยอาหารสมองเกิด**
นางสาวลักขณา กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากเทรนด์ของกระแสสุขภาพที่มาแรงในปี 2551 แล้ว ท่ามกลางความเร่งรีบในชีวิตประจำวัน มีผลเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้คนไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างเห็นได้ชัด เริ่มจากกลุ่มแม่บ้านในยุคนี้จะไม่มีเวลาทำอาหารให้ลูกรับประทาน เนื่องจากข้อจำกัดการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบ ดังนั้นจึงต้องการอาหารที่ดีมีคุณภาพให้กับลูกรับประทาน ขณะเดียวก็จะเป็นอาหารที่พร้อมประทานเลย นอกจากนี้ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ต้องการการเรียนรู้ไม่สิ้นสุด จึงไม่แปลกกับข้อมูลตัวนี้ว่า 75% ของคนจะต้องการอาหารและผลิตภัณฑ์ที่ป้องการสมองเสื่อม
บทสรุปปีหนูไฟ ทัพสินค้าอุปโภคบริโภคต้องผจญกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น กับกลไกตลาดที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง บีบคั้นการขึ้นราคา บวกกับเทรนด์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป มีความเป็นปัจเจกบุคคลมากขึ้น ฉลาดและรอบรู้ แมสมาร์เก็ตจะเสื่อมมนต์ขลังหรือไม่ กลยุทธ์การตลาดอย่างไรถึงจะฝ่ามรสุมกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง จากค่าครองชีพสูงขึ้น และนักการตลาดจะปรับตัวอย่างไร เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่ง และได้มาซึ่งกำไรด้วยนั้น จึงเป็นการบ้านอย่างหนักในปีชวดนี้