xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

กีหนังการเมืองแห่งทศวรรษของอินโดนีเซีย

เผยแพร่:   โดย: สิทธา เลิศไพบูลย์ศิริ

“กี” ( GIE ; เป็นการออกเสียงที่ถูกต้องตามไวยากรณ์ภาษาอินโดนีเซีย-Tata Bahasa Indonesia) เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากชีวประวัติของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองอินโดนีเซีย นามว่า “ซู ฮก กี” ( Soe Hok Gie) และได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของอินโดนีเซียในปี 2005 เรื่องราวของ “กี” ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางหลังจากบรรยากาศทางการเมืองในอินโดนีเซีย ได้เปิดกว้างมากขึ้น เมื่ออดีตประธานาธิบดี ซูฮาร์โต้ (Soeharto) ลงจากตำแหน่งเมื่อปี 1998 ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย รีรี รีซา (Riri Riza) และนำแสดงโดย นิโคลาส ซาปูตรา (Nicholas Saputra) นักแสดงขวัญใจวัยรุ่นอินโดนีเซีย

“กี” เป็นนักเขียนและนักต่อสู้ทางการเมืองในช่วงทศวรรษที่ 60 อันเป็นช่วงเวลามืดมนที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองอินโดนีเซีย หลังจากได้รับเอกราชเพียงแค่สองทศวรรษ อินโดนีเซียก็เริ่มประสบปัญหาอันหนักหน่วงเรื่องการดำรงมั่นคงของชาติ บุรุษที่เคยได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษในการเรียกร้องเอกราชจากเจ้าอาณานิคมดัตช์อย่าง ซูการ์โน (Soekarno) เริ่มกลายเป็นผู้ต้องคำครหาเรื่องคอร์รัปชัน และความมุ่งหมายที่จะมีอำนาจเบ็ดเสร็จในทางการเมือง ประชาธิปไตยแบบมีการนำ (Guided Democracy) ที่ถูกนำมาใช้ในปี 1959 เริ่มแสดงให้เห็นถึงความคลุมเครือทางอำนาจอันเป็นธรรมที่ผู้นำประเทศพึงมี ต่อมาจนถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 60 เริ่มมีการเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรงระหว่างกองทัพอินโดนีเซีย กับพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย(Partai Komunis Indonesia---PKI) ที่ซูการ์โนให้การสนับสนุน ซึ่งหลังจากที่เขาหมดอำนาจไปและพร้อมกับการขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศของนายพลซูฮาร์โต้นั้น พบว่ามีการปราบปรามผู้ที่มีแนวคิดสังคมนิยม ต่อต้านรัฐบาลทหารและนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง กล่าวกันว่า ทั่วอินโดนีเซียมีประชาชนถูกสังหารไปกว่า 6 ล้านคน

สิ่งหนึ่งที่แสดงออกอย่างชัดเจนผ่านตัวละครหลักของเรื่องคือ อุดมการณ์ทางการเมืองภาคประชาชน ที่ยึดถือประโยชน์ของสาธารณะ ผลประโยชน์พื้นฐานอันพึงมีของประชาชนเป็นสำคัญ “กี” กล้าที่จะเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารภายใต้การนำของนายพลซูฮาร์โต้ ต่อกรณีการสังหารหมู่กลุ่มบุคคลที่เป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียกว่าแสนคนบนเกาะบาหลี ซึ่งเขาเห็นว่า รัฐบาลทหารเองที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนในฐานะผู้ร่วมสร้างชาติอินโดนีเซียขึ้นมา เมื่อถึงวันหนึ่งที่มีอำนาจเพิ่มมากขึ้น ก็มิได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน ไม่ต่างอะไรไปกับรัฐบาลพลเรือนของซูการ์โนที่ถูกโค่นล้มไปก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ ลักษณะของนักต่อสู้ทางการเมืองอย่างเขา ผู้ที่ไม่พยายามสนองและทำตัวสอดคล้องไปกับผลประโยชน์ทางการเมืองของชนชั้นนำนั้น จะต้องกลายเป็นศัตรูทางการเมืองและเป็นเป้าหมายที่จะต้องถูกกำจัดไปในที่สุด

อย่างไรก็ดี “กี” พยายามทำความเข้าใจชีวิตอันโหดร้าย ผ่านความเข้าถึงแก่นแท้ของธรรมชาติ เขาเลือกที่จะใช้ความอ่อนโยนของธรรมชาติ เป็นเครื่องบำบัดจิตใจและปลดเปลื้องความเจ็บปวดผ่านกิจกรรมปีนเขาจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต หากจะเทียบความคล้ายคลึงกับภาพยนตร์ไทยแล้ว “กี” น่าจะมีความใกล้เคียงกับ ภาพยนตร์เรื่อง “คนล่าจันทร์” (The Moon Hunter) ที่เล่าถึง ชีวประวัติของ ผู้นำนักศึกษาในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 1973 “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล” ผ่านช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ และอารมณ์ความรู้สึกในชีวิตส่วนตัวของตัวละครหลัก ปรัชญาและวิธีคิดส่วนนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะช่วย การแตกยอดทางปัญญาและแนวคิดของคนรุ่นใหม่ ให้ตระหนักและเข้าใจใน “คุณค่า” และ “ตัวตน” ในความเป็นปัญญาชน ระดับมันสมองของสังคม

หลังจากที่ภาพยนตร์ชีวประวัติของเขาได้ออกฉายไปทั่วอินโดนีเซีย ภาพลักษณ์ของเขาก็ถูกให้ความหมายในเชิงบวกอย่างแพร่หลาย ซึ่งนั่นก็เกิดขึ้นไปพร้อมกับความตื่นตัวทางการเมืองอย่างต่อเนื่องของนักศึกษาอินโดนีเซีย นับตั้งแต่การประกาศตัวบนถนนทางการเมืองอย่างภาคภูมิเมื่อ ปี ค.ศ. 1998 ทั้งนี้มีตัวเลขระบุว่า ในปี ค.ศ. 2005 คือ ปีที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายนั้น มีผู้ชมราว 300,000 คน เข้าไปชมในโรงภาพยนตร์ หากคิดในทางกลับกันในกรณีของประเทศไทย บรรยากาศของขบวนการนักศึกษาเมื่อ 30-40 ปีก่อน ก็มี “จิตร ภูมิศักดิ์” นักคิด นักเขียนทางการเมืองภาคประชาชนคนสำคัญ เป็นวีรบุรุษของใครหลายๆ คน

กล่าวกันว่า ในช่วง “ระเบียบใหม่” ( New Order) ภายใต้การปกครองของนายพลซูฮาร์โต้นั้น สิทธิเสรีภาพของสื่อถูกปิดกั้น ขบวนการภาคประชาชนต่างๆ ถูกคุกคาม สิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตยและการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นทางการเมืองเป็นสิ่งต้องห้าม นักศึกษาในฐานะคนรุ่นใหม่ และพลังบริสุทธิ์ของสังคม เริ่มตระหนักถึงบทบาทของตนเอง และเริ่มรวมตัวกันตามวงเสวนาต่างๆ ในมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย นักศึกษาจำนวนไม่น้อย ให้ความสนใจกับวรรณกรรมการเมือง ข้อเขียนและบทวิจารณ์การเมืองต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งงานเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ถูกผลิตจากจิตวิญญาณของนักคิด นักเขียนชาวอินโดนีเซีย ที่ต่างถูกคุกคามจับกุมคุมขังด้วยอำนาจมืดของรัฐบาล งานเขียนของพวกเขาแม้จะถูกสั่งห้ามพิมพ์เผยแพร่หรือมีไว้ในครอบครอง แต่นักศึกษาเหล่านั้น ก็สามารถเสาะหามาเผยแพร่ในหมู่ของพวกเขาได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นงานเขียนของ “กี” และคงจะไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า งานเขียนและวรรณกรรมทางการเมืองที่นักศึกษาไทยยุคก่อน 14 ตุลาคม 1973 อ่านกันนั้น ก็มีส่วนอย่างมากเช่นกันที่ทำให้อุดมการณ์อันแรงกล้าของพวกเขาเหล่านั้น หล่อหลอมและตกตะกอน จนกลายเป็นแรงขับเคลื่อนที่นำไปสู่การแสดงออกทางการเมือง ซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

นักศึกษาอินโดนีเซียในช่วงเวลานั้น ต่างรู้สึกร่วมกันว่า ภารกิจทางการเมืองที่นักศึกษารุ่นพี่ได้ทำไว้ นับแต่ช่วงทศวรรษที่ 60 เรื่อยมา ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ดังนั้นมันจึงควรจะเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะต้องสานต่อภารกิจนั้น นั่นก็คือ “การนำพาประเทศให้หลุดพ้นจากระบอบเผด็จการ” “สถาปนาสังคมประชาธิปไตยให้กับอินโดนีเซีย” และภารกิจเฉพาะหน้าที่สำคัญที่สุดคือ “การขับไล่ซูฮาร์โต้ออกจากตำแหน่ง” ซึ่งท้ายที่สุดภารกิจดังกล่าวก็สำเร็จเมื่อ ซูฮาร์โต้ ต้องออกจากตำแหน่งไป หลังครองตำแหน่งผู้นำประเทศมายาวนานกว่า 32 ปี

เกือบหนึ่งทศวรรษที่ผ่านไป ดูเหมือนว่าอินโดนีเซียได้กลายเป็นประเทศ ที่มีอัตราการเจริญเติบโตของสิทธิ และเสรีภาพทางการเมืองมากที่สุด ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปแล้ว (แม้ประเทศนี้จะยังคงประสบปัญหาร้อยแปดรุ้มเร้าอยู่ ทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปัญหาเศรษฐกิจถดถอย การก่อการร้ายและอื่นๆ) ที่น่าสนใจอย่างมากก็คือใน ปี ค.ศ.2004 นั้น อินโดนีเซียมีการจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นครั้งแรก แต่ทว่ากลับมีเหตุร้ายและความรุนแรงอันเกี่ยวเนื่องกับการเลือกตั้งน้อยมาก หากเทียบกับฟิลิปปินส์ ประเทศที่ (ครั้งหนึ่งเคย)ได้ชื่อว่ามีสังคมการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีการจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีเดียวกัน

อย่างไรก็ดีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวของภาพยนตร์อินโดนีเซีย และการปรากฏตัวของภาพยนตร์เรื่อง “กี” นี้ กลับไม่ค่อยได้รับความสนใจจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยเท่าใดนัก เช่นเดียวกันกับบทเรียนทางประวัติศาสตร์การเมืองภาคประชาชนของอินโดนีเซียก็ถูกรับรู้อย่างเบาบาง เรามีความเข้าใจเพื่อนบ้านน้อยมากต่อประเด็นดังกล่าวและอื่นๆ

หลายครั้งเราคิดว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความก้าวหน้าทางประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพมากที่สุดในภูมิภาคนี้ แต่หารู้ไม่ว่า “อัตราการเจริญเติบโตของสิทธิและเสรีภาพทางการเมือง” นั้น มีขึ้นมีลง เฉกเช่น “อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ” และอัตรานั้น จะลดต่ำลง หากคุณภาพทางประชาธิปไตยถูกบั่นทอนลง ในสถานการณ์ปัจจุบัน คงเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า คุณภาพของประชาธิปไตยไทยกำลังอยู่ในระดับใด

ลองจินตนาการดูว่า ประเทศที่เคยได้ชื่อว่า มีระบอบเผด็จการที่เข้มแข็งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สามารถผลิตภาพยนตร์การเมืองที่วิพากษ์ระบอบเผด็จการที่เพิ่งจะล้มไปได้ไม่นานได้เปิดกว้างเช่นนี้ ซึ่งหากพิจารณาว่า สื่อภาพยนตร์นั้นถือเป็นช่องทางการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น และเสรีภาพของประชาชนทั่วไปแล้ว นั่นย่อมเป็นที่เข้าใจได้ไม่ยากว่า มันก็คือ ดัชนีอย่างหนึ่งที่ชี้วัดเสรีภาพและกระบวนการเป็นประชาธิปไตยได้เป็นอย่างดี ในทางกลับกันประเทศที่ได้ลิ้มรสกับประชาธิปไตยมาแล้วอย่างประเทศไทย ซึ่งมีพื้นที่สาธารณะอย่างเพียงพอที่จะแสดงออกซึ่งความคิดเห็นทางการเมือง กลับมีแต่บรรยากาศของความเงียบเหงาอย่างน่าเศร้าใจสำหรับภาพยนตร์ทางการเมือง
หมายเหตุ: ผู้สนใจสามารถเข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน Website: http://www.thaiworld.org
กำลังโหลดความคิดเห็น