xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

ปัญหาการเมืองในเลบานอน : จากอดีตถึงปัจจุบัน

เผยแพร่:   โดย: ศราวุฒิ อารีย์

การประท้วงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในเลบานอนเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2007 นับเป็นเหตุการณ์สำคัญที่บ่งชี้ถึงความเปราะบางทางการเมืองของประเทศที่มีความหลากหลายทางด้านชาติพันธุ์และนิกายศาสนา การประท้วงโดยการปิดถนนทั้งประเทศครั้งนี้ ขยายตัวลุกลามจนเกิดเหตุรุนแรงขึ้น ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก กลุ่มที่เป็นแกนนำในการประท้วงคือ “หิซบุลลอฮฺ” (ซึ่งเป็นกลุ่มมุสลิมฝ่ายชีอะห์) ที่ต้องการบีบให้รัฐบาลชุดปัจจุบันของเลบานอน (ซึ่งมีกลุ่มสุหนี่และชาติตะวันตกหนุนหลัง) ลาออก เพื่อเปิดทางให้มีการจัดตั้งรัฐบาลปรองดองแห่งชาติชุดใหม่ และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาขึ้นโดยเร็ว

กลุ่มหิซบุลลอฮฺได้นั่งประท้วงอยู่นอกที่ทำการของรัฐบาลในกรุงเบรุตมาตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2006 การประท้วงที่ยืดเยื้อและนำไปสู่ความรุนแรงดังกล่าว เกิดขึ้นในช่วงที่สภาพทางเศรษฐกิจของเลบานอนยังคงอ่อนแออยู่ อันเป็นผลมาจากสงครามครั้งล่าสุดที่อิสราเอลได้เข้ามารุกราน ยิ่งกว่านั้น สภาพการเมืองและสังคมในเลบานอน ก็ยังอยู่ในภาวะบอบช้ำจากสงครามกลางเมืองที่เพิ่งจะปิดฉากลงไปเมื่อ 10 กว่าปีมานี้เอง

ดังนั้น การที่จะเข้าใจวิกฤตการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันของเลบานอน เราคงต้องหวนกลับไปทบทวนพัฒนาการทางการเมือง และความขัดแย้งของเลบานอนในอดีตเสียก่อน

ความจริงแล้ว ลักษณะสำคัญของการเมืองการปกครองของเลบานอน นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก็คือ การแบ่งสรรอำนาจทางการเมืองระหว่างกลุ่มนิกายทางศาสนา ที่มีจำนวนประชากรของแต่ละกลุ่มพอๆ กัน ซึ่งได้แก่ กลุ่มคริสเตียนมาโรไนต์ มุสลิมสายสุหนี่ มุสลิมสายชีอะห์ และดรูซ

การแบ่งสรรอำนาจการบริหารทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ ดังกล่าว เกิดขึ้นครั้งแรกในรูปของ “สภาบริหาร” (Administrative Council) ซึ่งดำเนินงานภายใต้การชี้นำของจักรวรรดิออตโตมาน (Ottoman Empire) สภาบริหารดังกล่าวมี 12 ที่นั่ง โดยที่นั่งจะถูกแบ่งสรรให้แก่กลุ่มนิกายศาสนา ตามอัตราส่วนของจำนวนประชากรแต่ละกลุ่ม

หลังการล่มสลายของอาณาจักรออตโตมาน เลบานอนตกเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใช้เป็นครั้งแรกในปี 1926 รัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้อำนาจอย่างมากแก่คริสเตียนมาโรไนต์ โดยกำหนดให้คนคริสเตียนดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี เพราะเป็นชนกลุ่มใหญ่ที่สุดของประเทศในขณะนั้น

ต่อมาเมื่อเลบานอนได้รับเอกราชในปี 1943 จึงมีข้อตกลงใหม่เกิดขึ้นเรียกว่า “ข้อตกลงแห่งชาติ” (National Pact) ซึ่งมีเนื้อหาในการจัดสรรแบ่งอำนาจกัน ระหว่างชาวคริสเตียนและชาวมุสลิมในสัดส่วน 6 ต่อ 5 คือคริสเตียนจะได้รับ 6 ที่นั่ง และมุสลิมจะได้รับ 5 ที่นั่งในรัฐสภา ตำแหน่งประธานาธิบดีจะต้องเป็นของมาโรไนต์ นายกรัฐมนตรีจะมาจากฝ่ายสุหนี่ และโฆษกรัฐสภามาจากฝ่ายชีอะห์ สูตรการแบ่งสรรอำนาจลักษณะนี้ ได้มีการนำไปใช้กับตำแหน่งบริหารสำคัญๆ ในระดับรองลงมาอีกด้วย

ประเด็นสำคัญของข้อตกลงแห่งชาติอีกประการ ซึ่งเป็นข้อตกลงในเชิงคำพูดที่ไม่เคยถูกระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรคือ การตกลงกันระหว่างกลุ่มศาสนาทั้งสองว่า จะปูพื้นฐานประชาคมของทั้งสองศาสนาให้เกิดความเป็นเอกภาพภายใต้สังคมประชาชาติหนึ่งเดียว กล่าวคือ ฝ่ายมุสลิมจะต้องเลิกเรียกร้องให้เลบานอนเข้าไปรวมอยู่กับซีเรีย ซึ่งเป็นประเทศแกนนำของอุดมการณ์ชาตินิยม ที่พยายามจะรวมอาหรับให้เป็นหนึ่งเดียว ในขณะเดียวกันฝ่ายคริสเตียนก็จะต้องไม่ไปพึ่งพิงแสวงหาการปกป้องจากตะวันตก โดยการเปิดทางให้ตะวันตกเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศ

การตกลงร่วมกันเช่นนี้ นอกจากจะเป็นการจำกัดอำนาจอิทธิพลของต่างชาติ ทั้งในระดับระหว่างประเทศและภูมิภาค ต่อประชาคมกลุ่มต่างๆ ของเลบานอนแล้ว ยังเป็นการวางรากฐานให้ชาวเลบานอน ต้องทำงานเพื่อรักษาผลประโยชน์แห่งชาติของตนเองอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงที่ผ่านมา นับตั้งแต่ได้รับเอกราชจนถึงปัจจุบัน เลบานอนก็ต้องเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งภายในครั้งใหญ่ถึง 3 ครั้งด้วยกัน ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1958 จากการก้าวขึ้นมาของ กามาล อับดุล นัซเซอร์ ผู้นำอียิปต์ ในฐานะผู้ชูอุดมการณ์ชาตินิยมอาหรับ ซึ่งได้รับความนิยมชมชอบจากชาวเลบานอนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่มุสลิม

อิทธิพลของนัซเซอร์ได้สร้างความหวั่นวิตกให้แก่ชาวคริสเตียนเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันชาวคริสเตียนส่วนใหญ่ในเลบานอน ก็หันไปสนับสนุนประธานาธิบดีของตนเอง ที่สนับสนุนหลักการหรือนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่า ชาวคริสเตียนเลือกที่จะอยู่กับฝ่ายตะวันตก ด้วยเหตุนี้ การจลาจลจึงปะทุขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ แล้วจบลงหลังจากที่มีรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของ ฟูอัด ชิฮาบ (Fouad Shehab) ขึ้นมาปกครอง

ปัญหาความขัดแย้งครั้งที่ 2 ซึ่งมีความสำคัญมากที่สุด คือสงครามกลางเมืองในเลบานอน ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1975 สาเหตุใหญ่ที่ก่อให้เกิดสงครามขึ้นก็คือ การที่จำนวนผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ในเลบานอนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และการย้ายฐานที่มั่นของกลุ่ม “องค์กรปลดปล่อยปาเลสไตน์” หรือ PLO (Palestinian Liberation Organization) มาอยู่ในเลบานอน ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงเชิงประชากรศาสตร์ของประเทศ ในลักษณะที่จำนวนประชากรมุสลิมเติบโตขึ้นจนมีสัดส่วนมากกว่าชาวคริสเตียนและที่สำคัญยิ่งก็คือ การที่ชาวมุสลิมได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับกลุ่ม PLO

นอกจากนั้น PLO ยังได้ขยายแนวร่วม และเข้าเป็นพันธมิตรกับพวกฝ่ายซ้ายที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนั้น พรรคขบวนการแห่งชาติเลบานอน (Lebanese National Movement) ภายใต้การนำของ กามาล ญัมบลัท (Kamal Jumblatt) ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับพรรคคอมมิวนิสต์เลบานอน (Lebanese Communist Party) กลุ่มชาตินิยมอาหรับ และกลุ่มคริสเตียนสายกลาง เช่น เรมอนด์ เอดดี้ (Raymond Edde) ขบวนการเหล่านี้ เรียกร้องให้ยกเลิกการแบ่งสรรอำนาจการเมืองตามสัดส่วนของกลุ่มนิกายศาสนา แต่ให้นำเอาระบบการเมืองแบบซิคิวล่าร์มาใช้แทน นอกจากนั้น ยังสนับสนุนสิทธิการต่อสู้ดิ้นรนด้วยอาวุธของชาวปาเลสไตน์ แม้ว่าจะใช้เลบานอนเป็นฐานที่มั่นในการต่อสู้ก็ตาม

ข้อเรียกร้องเช่นนี้ สร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มคริสเตียนมาโรไนต์เป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดพวกเขาจึงก่อตั้งพรรค “แนวหน้าเลบานอน” (Lebanese Front) ขึ้นมา เพื่อที่จะปกป้องระบบการเมืองและรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มคริสเตียนมาโรไนต์เอาไว้

ขณะเดียวกัน อิสราเอล ซึ่งต้องการกวาดล้างขบวนการ PLO อยู่แล้ว จึงเข้ามาในเลบานอนเพื่อช่วยเหลือฝ่ายมาโรไนต์ อิสราเอลได้ใช้ระเบิดโจมตีดินแดนที่ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ในเลบานอนอาศัยอยู่ การสู้รบระหว่างฝ่ายคริสเตียนและมุสลิมรุนแรงขึ้น ซีเรียได้ใช้ความพยายามทั้งทางการทูตและกำลังทหารเพื่อไม่ให้สงครามขยายตัว โดยได้รับความไว้วางใจจากสันนิบาตอาหรับ ให้เข้าไปแก้ไขปัญหาเลบานอนนับตั้งแต่ช่วงต้นๆ ของสงคราม ประธานาธิบดีอัซซาดแห่งซีเรียจึงส่งทหารจำนวน 30,000 นาย เข้าไปประจำการในเลบานอน

ความวุ่นวายในเลบานอนแผ่ขยายออกไปอีก เมื่อกองกำลังอิสราเอลเข้ายึดครองเลบานอนภาคใต้ในปี 1978 โดยเข้าครอบครองภาคใต้ของแม่น้ำลิตานี (Litani) ทั้งหมด ยกเว้นเฉพาะเมืองไทร์ คณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติจึงออกมติที่ 425 และ 426 เรียกร้องให้อิสราเอลถอนตัวออกไป และมอบดินแดนที่ยึดครองไว้ให้อยู่ภายใต้การดูแลของกองกำลังสันติภาพของสหประชาชาติในเลบานอน (UNIFIL) แต่อิสราเอลกลับไม่ยอมถอนทหารออกไป อีกทั้งยังส่งกำลังทหารจำนวนมากเข้ามาในเลบานอนอีกในปี 1982

สงครามกลางเมืองใช้เวลา 15 ปีจึงยุติลง แต่ประเด็นสำคัญคือ สงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นทำให้อำนาจภายนอกเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของเลบานอนอย่างลึกซึ้ง จนอาจเรียกได้ว่าสงครามที่เกิดขึ้นถือเป็น “สมรภูมิรบของคนอื่น” สงครามที่เกิดขึ้นทำให้ซีเรียสามารถเข้ามาตั้งฐานทัพในเลบานอน และคงฐานทัพเอาไว้ในช่วงเวลาที่ยาวนานหลังจากสงครามจบลง (1976 - 2005) อิสราเอลยกทัพขนาดใหญ่เข้ามารุกรานและยึดครองเลบานอนถึง 2 ครั้ง คือในปี 1978 และ 1982 นอกจากนั้น เรายังเห็นบทบาทของอียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย อิรัก อิหร่าน ลิเบีย ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต

สงครามกลางเมืองยุติลงหลังจากทุกฝ่ายยอมรับข้อตกลงฏออีฟ (Ta’if Agreement) รัฐธรรมนูญของเลบานอนได้รับการปรับปรุงแก้ไขในเรื่องสูตรการแบ่งสรรอำนาจ โดยแบ่งโอนอำนาจของประธานาธิบดีไปให้แก่นายกรัฐมนตรีและรัฐสภา พร้อมทั้งมีการให้คำมั่นว่าจะค่อยๆ ยกเลิกระบบการเมืองแบบแบ่งตามนิกายศาสนา ไปเป็นระบบการเมืองแบบรัฐสภา และให้มีระบบการกระจายอำนาจ

หมายเหตุ: ผู้สนใจสามารถเข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน Website: http://www.thaiworld.org
กำลังโหลดความคิดเห็น