จากการที่ได้ศึกษาภาพยนตร์สารคดีและหนังสือเรื่อง ฟาเรนไฮต์ 9/11 ซึ่งสร้างและจัดทำโดย นายไมเคิล มัวร์ (Michael Moore) ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดีและหนังสือดังกล่าวได้มีการนำเสนอข้อมูลความสัมพันธ์ของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช กับกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายในเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 และเห็นว่าเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์สารคดีนี้อาจจะสามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการประเมินสถานการณ์การก่อการร้ายสากลที่เกิดขึ้นในโลก

ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศการถ่ายทำยอดเยี่ยมในเทศกาลภาพยนตร์ที่เมืองคานส์ปี 2547 และยังได้รับคำแนะนำจากอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชาวอเมริกันควรจะได้มีโอกาสเข้าชมเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ดีประชาชนทั่วไปที่จะสนใจภาพยนตร์สารคดีการเมืองระหว่างประเทศโดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ที่มีอายุหรืออยู่ในวัยทำงานซึ่งคงจะไม่ค่อยมีโอกาสชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์สักเท่าไหร่นัก ส่วนผู้ที่มีโอกาสและมีเวลาที่จะชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ก็คงจะไม่ค่อยสนใจเรื่องประเภทอย่างนี้เช่นกัน จึงทำให้ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ไม่ประสบผลสำเร็จในด้านจำนวนผู้เข้าชมเท่าใดนักทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งยังถูกห้ามเผยแพร่ในบางประเทศที่เกี่ยวข้องในสารคดีนี้อีกด้วย
ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้เมื่อรวมกับหนังสือที่มีชื่อเรื่องเดียวกันได้พยายามโน้มน้าวและแสดงหลักฐานเพื่อทำให้เชื่อว่าครอบครัวบินลาดินและครอบครัวจอร์จ ดับเบิลยู. บุชนั้น มีความเกี่ยวข้องกันทางธุรกิจอย่างแนบแน่น และสงครามการก่อการร้ายของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกานั้น เป็นเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตนทั้งสิ้น

และหากจะมีการเชื่อมโยงและต่อภาพเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในโลกและความไม่สงบในโลกและความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยแล้ว ก็อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจและสามารถที่จะถูกพัฒนาและชวนให้เกิดทฤษฎีการสมรู้ร่วมคิดอีกทฤษฎีหนึ่งที่อาจจะต้องถูกนำมาชั่งน้ำหนักเพื่อพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้อย่างมีความระมัดระวังมากขึ้น ดังนั้นในเบื้องต้นจึงขอสรุปเนื้อหาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายจากฟาเรนไฮต์ 9/11 ได้ดังนี้
1. ภาพยนตร์สารคดีดังกล่าวเริ่มต้นด้วยผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่นาย จอร์จ ดับเบิลยู. บุช จากพรรครีพับลิกัลป์ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยข้อกล่าวหาว่าผลการเลือกตั้งที่นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้รับชัยชนะที่รัฐฟลอริดานั้นไม่ถูกต้อง ซึ่งในเวลาต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษายอมรับผลการเลือกตั้งดังกล่าว ท่ามกลางการต่อต้านอย่างรุนแรงของกลุ่มประชาชนของสหรัฐอเมริกานับหลายหมื่นคนที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในวันแรกที่นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งในช่วงเริ่มต้นนั้นผลสำรวจความนิยมของประชานเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2544 อยู่ที่ร้อยละ 53 ซึ่งต่อมาได้ลดลงมาเหลือเพียงร้อยละ 45 ในวันที่ 5 กันยายน 2544 จากการเก็บข้อมูลของหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ พบว่า นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ใช้เวลาประมาณร้อยละ 42 ในการพักร้อนเป็นเวลาประมาณ 8 เดือนก่อนเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความนิยมในทางการเมืองของนาย จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ลดลงไปเรื่อย ๆ
2. โศกนาฏกรรมการก่อการร้ายเครื่องบินพุ่งชนอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 มีประชาชนชาวอเมริกันเสียชีวิตประมาณเกือบ 3,000 คน ซึ่งในวันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวทันทีที่เครื่องบินลำแรกได้พุ่งชนอาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้เดินทางไปร่วมรับฟังการเรียนการสอนในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในมลรัฐฟลอริดา หลังจากที่เครื่องบินลำที่สองได้พุ่งชนอาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปในห้องเรียนและได้บอกกับประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ว่าประเทศได้ถูกโจมตี ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกายังคงนั่งอยู่ในห้องเรียนและอ่านเรื่องสัตว์เลี้ยงสุนัขของฉันร่วมกับกลุ่มนักเรียนประถมศึกษาต่อไป แม้ว่าจะผ่านไปกว่า 7 นาที ก็ยังไม่ได้มีใครได้สั่งการทำอะไรทั้งสิ้น

3. จากหลักฐานหนังสือสำนักอัยการสูงสุดประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2544 พบว่า จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เป็นผู้คัดค้านและขอให้ตัดงบประมาณการต่อต้านการก่อการร้ายของเอฟบีไอ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช เคยได้รับรายงานด้านความมั่นคงเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2544 แล้วว่า นายโอซามาบินลาดิน วางแผนที่จะโจมตีคนอเมริกัน ด้วยการปล้นเครื่องบิน แต่บางทีนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช อาจจะไม่กังวลต่อคำขู่ดังกล่าวเพราะหลังจากที่ได้รับรายงานดังกล่าวแล้ว นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ก็ได้ใช้เวลาไปพักผ่อนตกปลาทันที
4. หลังจากเกิดเหตุการณ์เครื่องบินได้พุ่งชนอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์แล้ว เครื่องบินพาณิชย์ทั้งหมดได้ยกเลิกและหยุดเที่ยวบินทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่เที่ยวบินของนายจอร์จ บุช อดีตประธานาธิบดีและบิดาของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน แต่ปรากฏว่ามีเที่ยวบินพิเศษสำหรับสมาชิกครอบครัวของบินลาดิน ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาเป็นการเฉพาะเพื่อกลับไปที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย
4.1 จากการเปิดเผยของนายไบรอน ดอร์แกนวุฒิสมาชิกแห่งมลรัฐนอร์ธ ดาโคตา ในฐานะอนุกรรมาธิการด้านการบินได้ให้ข้อมูลว่า สหรัฐอเมริกาได้มีเที่ยวบินพิเศษที่ได้รับอนุญาตจากนักการเมืองของรัฐบาลระดับสูงของประเทศในการรับสมาชิกบางคนในตระกูลบินลาดินและชาวซาอุดิอาระเบียบางคนที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาเพื่อบินกลับไปยังประเทศซาอุดิอาระเบียอย่างน้อยก็เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว 6 ลำ และเครื่องบินพาณิชย์อีกเกือบ 24 ลำ ตามตัวอย่างบางรายละเอียดดังนี้
วันที่ 11 กันยายน 2544 ท่าอากาศยานแอตแลนต้า เที่ยวบิน SA 210
วันที่ 13 กันยายน 2544 ท่าอากาศยาน DFW เที่ยวบิน AA 070
วันที่ 13 กันยายน 2544 ท่าอากาศยาน LAW เที่ยวบิน SR 129
วันที่ 13 กันยายน 2544 ท่าอากาศยาย JFK เที่ยวบิน SV 020
ประชาชนสัญชาติซาอุดิอาระเบีย 124 คน ซึ่งรวมถึงสมาชิกของคนในครอบครัวบินลาดิน 24 คน ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้ออกนอกประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้ง ๆ ที่ความสัมพันธ์ของลูกชายคนหนึ่งของนายบินลาดินพึ่งจะได้แต่งงานกับคนในอัฟกานิสถานเมื่อช่วง ฤดูร้อนในปี 2544 ก่อนเกิดเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2544 และยังมีอีกหลายคนในตระกูลบินลาดินได้แต่งงานกับหลายตระกูลในประเทศอัฟกานิสถาน แสดงความสัมพันธ์ของนาย โอซามา บินลาดินซึ่งอยู่ในประเทศอัฟกานิสถาน ยังคงไม่ได้ตัดขาดกับครอบครัวตระกูลบินลาดิน อย่างที่หลายฝ่ายได้วิเคราะห์ว่านายโอซามา บินลาดินเป็นเสมือนแกะดำที่ถูกตัดขาดจากตระกูลบินลาดิน
4.2 เรื่องการส่งครอบครัวบินลาดินกลับประเทศซาอุดิอาระเบียอาจฟังดูเป็นข้อกล่าวหาที่แทบไม่น่าเชื่อถือเลย หากไม่มีเจ้าชาย แบนดาร์ บิน สุลต่าน เอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจำประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เคยออกอากาศสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ของซีเอ็นเอ็น ดำเนินรายการโดย นายลารี่ คิง ได้กล่าวความตอนหนึ่งยอมรับว่า มีสมาชิกครอบครัวบินลาดินอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวน 24 คน และกษัตริย์แห่งซาอุดิอาระเบียทรงรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมต่อคนเหล่านั้นที่จะต้องเป็นผู้รับชะตากรรมในการได้รับอันตรายใด ๆ ในอีกด้านหนึ่งประเทศซาอุดิอาระเบียได้มีความเข้าใจเป็นอย่างดีต่อความรู้สึกที่รุนแรงของประชาชนอเมริกัน ดังนั้นทางสถานทูตฯ จึงได้ประสานงานและติดต่อกับเอฟบีไอ ในการที่จะได้นำบุคคลเหล่านี้ออกนอกประเทศ
4.3 นายแจ็ค คลูแนน เป็นเจ้าหน้าที่ เอฟบีไอที่เกษียณตัวเองออกมาได้ให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้าเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2544 นายแจ็ค คลูแนนได้ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่อาวุโสในความร่วมมือระหว่างเอบีไอ กับซีไอเอ ในกรณีกองกำลังของกลุ่มอัลกออิดะห์ ในฐานะผู้ที่ทำหน้าที่สืบสวนไม่ต้องการที่จะให้บุคคลตระกูลบินลาดินออกนอกประเทศเลยและควรใช้หมายศาลเรียกคนเหล่านั้นมาให้การเพื่อบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานจึงจะเป็นขั้นตอนที่ถูกต้องและเหมาะสม
4.4 เปรียบเทียบกับกรณีการก่อการร้ายโดยการวางระเบิดที่เมืองโอกลาโฮม่า มลรัฐโอกลาโฮม่า ประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนหน้านี้ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่าง นายบิล คลินตัน ก็มิได้เคยจัดเที่ยวบินพิเศษออกนอกประเทศให้กับครอบครัว แมคเวจ์ ซึ่งสมาชิกของครอบครัวดังกล่าวเป็นผู้ก่อการร้ายในเหตุการณ์ครั้งนั้นอย่างใด
5.จากคำสัมภาษณ์ของเจ้าชาย แบนดาร์ บิน สุลต่าน เอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจำประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้เคยออกอากาศสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ของ ซีเอ็นเอ็น ดำเนินรายการโดย นายลารี่คิง ได้ให้ข้อมูลว่า เมื่อกลางทศวรรษที่ 1980 ประเทศซาอุดิอาระเบียและประเทศสหรัฐอเมริกาได้เคยสนับสนุนกลุ่มมูจาฮีดีนเพื่อปลดปล่อยประเทศอัฟกานิสถานให้เป็นอิสระจากสหภาพโซเวียต นายโฮซามา บินลาดินได้มาขอบคุณท่านเอกอัครราชทูตที่ได้ใช้ความพยายามในการนำประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นพันธมิตรของประเทศซาอุดิอาระเบียเข้ามาช่วยในการต่อต้านพวกผู้ที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง ต่อต้านพวกคอมมิวนิสต์ และกล่าวยอมรับว่าอย่างไรก็ตามในวันนี้ นาย โอซามา บินลาดิน อาจจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อกรณีการก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกา

6. ครอบครัวบินลาดินมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับครอบครัวของนาย จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุชพยายามปิดเรื่องดังกล่าวให้เป็นความลับ
6.1 ในช่วงต้นปี 2547 นายไมเคิล มัวร์ ได้แสดงปาฐกถาที่มลรัฐนิวแฮมเชียร์ โดยได้กล่าวว่านายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เป็นคนละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ทางหาร ในสมัยที่นาย จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกองทัพอากาศของมลรัฐเท็กซัส ซึ่งทำให้ทำเนียบขาวต้องออกมาตอบโต้โดยการเปิดเผยบันทึกข้อมูลทางการทหารของนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช โดยมีความคาดหวังว่าจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ แต่นายไมเคิล มัวร์ กลับมีบันทึกทางการทหารที่ไม่ได้ปกปิดข้อความใด ๆ ซึ่งได้มาตั้งแต่ปี 2543 และ หลักฐานดังกล่าวมีความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับข้อมูลที่มีการเปิดเผยในปี 2547 ของทำเนียบขาว บันทึกทางการทหารในปี 2547 ได้มีการขีดคาดสีดำในส่วนของชื่อบุคคลบางคนออกไป โดยในบันทึกทางทหารฉบับไม่ปกปิดเดือนกันยายน พ.ศ. 2515 ได้ระบุว่า นักบิน 2 คน ได้ถูกพักงานเพราะผลการตรวจสอบสุขภาพไม่ผ่าน (เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เป็นเพราะมีการละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่อย่างที่ถูกกล่าวหา) คนหนึ่งคือนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช และอีกคนหนึ่งก็คือ นาย เจมส์ อาร์. บาธ
6.2 บันทึกทางการทหารที่นาย ไมเคิล มัวร์ ได้รับมาตั้งแต่ปี 2543 นั้นได้แสดงรายชื่อทั้งสองคน แต่บันทึกทางการทหารที่ทำเนียบขาวได้เปิดเผยในปี 2547 นั้นเปิดเผยรายชื่อเฉพาะ นาย จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ส่วนชื่อของนายเจมส์ อาร์. บาธ นั้นได้ใช้แถบสีดำขีดคาดปกปิดเอาไว้
6.3 สาเหตุที่ต้องปกปิดชื่อของ นายเจมส์ อาร์. บาธ นั้นก็เพราะว่าบางทีนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช อาจจะกังวลว่าคนอเมริกันอาจะได้พบว่า ครั้งหนึ่ง นายเจมส์ อาร์. บาธ ก็คือผู้จัดการทางด้านการเงินในเท็กซัสของตระกูลบินลาดิน และในสมัยที่ทั้งสองคนยังรับใช้อยู่ในกองทัพอาการแห่งชาติของมลรัฐเท็กซัสนั้นทั้งคู่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

6.4 หลังจากที่ทั้งคู่ได้ถูกปลดประจำการ เมื่อนายจอร์จ บุช ซึ่งเป็นบิดาของนาย จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าของ ซีไอเอในขณะนั้น นายเจมส์ อาร์. บาธ ได้เปิดธุรกิจการบินหลังจากที่ขายเครื่องบินให้กับชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า นายซาเลม บินลาดิน ทายาทของ ตระกูลที่มีความร่ำรวยที่สุดเป็นลำดับที่สองของประเทศซาอุดิอาระเบียเจ้าของกลุ่มธุรกิจ ซาอุดิ บินลาดิน
6.5 ในขณะนั้น จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เริ่มต้นด้วยการเป็นนักธุรกิจ และมีความพยายามที่จะก้าวหน้าให้ได้อย่าง นายจอร์จ บุช จึงเริ่มด้วยการหันเหไปในทางธุรกิจ และเข้าสู่วงการธุรกิจน้ำมัน และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่งที่มีชื่อ ว่า อาร์บุสโต เป็นบริษัทขุดเจาะน้ำมันที่ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จในการพบแหล่งน้ำมันเท่าใดนักและเป็นที่น่าเคลือบแคลงสงสัยว่าเงินเหล่านี้ได้มาอย่างไร? แม้ว่านายจอร์จ บุช ซึ่งเป็นบิดามีฐานะที่ร่ำรวย แต่ในความเป็นจริงไม่เคยมีหลักฐานบ่งชี้ว่านายจอร์จ บุชได้เคยเขียนเช็คให้กับนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช สำหรับการเริ่มต้นบริษัทดังกล่าวนี้เลย
6.6 บุคคลหนึ่งที่ได้ลงทุนให้กับนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ก็คือ นายเจมส์ อาร์. บาธ ซึ่งนายเจมส์ อาร์. บาธ ก็คือบุคคลที่ถูกจ้างโดยนายซาเลม บินลาดิน สมาชิกของครอบครัวบินลาดินให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการเงินของสมาชิกครอบครัวบินลาดินในมลรัฐเท็กซัส และจัดการการลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งนายเจมส์ อาร์. บาธ ก็ได้กลับมาเป็นผู้ลงทุนในธุรกิจของ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในที่สุด
6.7 จอร์จ ดับเบิลยู. บุช มีอีกหลายบริษัท และหนึ่งในบริษัททั้งหลายเหล่านั้นได้ถูกซื้อไปโดย บริษัทพลังงานแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ฮาเคน เอ็นเนอร์ยี และได้มอบให้นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในบริษัท ซึ่งมีหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่าหลายปีในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีเงินมาลงทุนจากประเทศซาอุดิอาระเบียอย่างมากในธุรกิจน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นฮาเคน สเปรกตรัม 7 และฮาร์บุสโต ขุดเจาะน้ำมัน ซึ่งบริษัททั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทของตระกูลบุชทั้งสิ้น เมื่อใดก็ตามที่บริษัทเหล่านี้มีปัญหาก็จะมีเงินสนับสนุนเข้ามาในบริษัทเหล่านี้จำนวนมหาศาลอย่างต่อเนื่อง
6.8 จึงทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่า เหตุใดซาอุดิอาระเบียซึ่งมีน้ำมันมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกจึงต้องมาลงทุนไปทั่วโลกในบริษัทน้ำมันที่ไม่ประสบความสำเร็จและไม่ใช่บริษัทที่ดีแต่อย่างใด ทำให้เกิดความเชื่อว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าบริษัทอย่าง ฮาเคน มีกรรมการเป็นนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ซึ่งในเวลานั้นเป็นเวลาที่บิดของเขา นายจอร์จ บุช ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา
6.9 ต่อมานายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้เทขายหุ้นก่อนที่จะประกาศการขาดทุนครั้งใหญ่ที่สุดของบริษัท ฮาเคน ซึ่งหลังจากนั้นเพื่อนของนายจอร์จ บุช ได้มอบตำแหน่งกรรมการบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งเป็นของกลุ่มบริษัท คาร์ไลยล์ ให้กับนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ซึ่งกลุ่มบริษัทคาร์ไลยล์ ก็คือ กลุ่มบริษัทที่มีการลงทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ภายใต้นโยบายและงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เป็นองค์การที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจระหว่างประเทศ และได้ผลประโยชน์อย่างมหาศาลภายหลังจากเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2544 อันได้แก่ ธุรกิจด้านการสื่อสาร ธุรกิจด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจด้านการทหาร อาจกล่าวได้ว่าจอร์จ บุช และจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ต่างทำงานให้กับกลุ่มบริษัท คาร์ไลยล์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการลงทุนจากครอบครัวบินลาดิน
6.10 กลุ่มบริษัท คาร์ไลยล์ ได้มีการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีเมื่อเช้าวันที่ 11 กันยายน 2544 ที่โรงแรม ริทซ์-คาร์ตัน ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ผู้ที่เข้าร่วมประชุมในวันดังกล่าวได้แก่ นายจอห์น เบเกอร์ และนายจอห์น เมเจอร์ และแน่นอนว่า มีนายจอร์จ บุช ซึ่งได้ออกไปจากที่ประชุมในช่วงเช้าของวันที่ 11 กันยายน 2544 นายซาฟิค บินลาดิน น้องชายต่างมารดาของนายโอซามา บินลาดิน ซึ่งอยู่ในเมืองทำหน้าที่ดูแลการลงทุน กลุ่มบริษัท คาร์ไลยล์ ซึ่งในเช้าวันนั้นทุกคนได้อยู่ในห้องประชุมเดียวกันและได้รับชมรายการทางโทรทัศน์และเห็นภาพเครื่องบินพุ่งชนอาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ร่วมกันในการประชุมในวันดังกล่าว
6.11 งบประมาณด้านความมั่นคงของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการจัดสรรให้กับกลุ่มบริษัทคาร์ไลยล์ มากที่สุดเป็นลำดับที่ 11 ของงบประมาณด้านความมั่นคงของประเทศสหรัฐเมริกา เพียงแค่ 6 สัปดาห์หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 กลุ่มบริษัท คาร์ไลยล์ ก็ได้ปรากฏต่อสื่อมวลชนว่าเพียงแค่วันเดียวในเดือนก่อนหน้านี้ คาร์ไลยล์ได้ขายทำกำไรกว่า 237 ล้านเหรียญสหรัฐในกลุ่มอุตสาหกรรมด้านความมั่นคง
6.12. ทันทีที่หลายฝ่ายจับตามองไปที่สมาชิกของครอบครัวบินลาดินที่เป็นผู้ลงทุนรายสำคัญของกลุ่มบริษัท คาร์ไลยล์ แต่ในที่สุดครอบครัวบินลาดินก็ได้ถอนตัวจากการลงทุนดังกล่าวในเวลาต่อมา
6.13 จอร์จ บุช ได้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสของคณะกรรมการกลุ่มบริษัทคาร์ไลยล์ เอเชีย อีก 2 ปี และเป็นที่ทราบดีว่าจอร์จ บุช ได้เคยพบปะกับครอบครัวของบินลาดิน ในขณะที่นายโอซามา บินลาดินต้องการที่จะก่อการร้ายก่อนวันที่ 11 กันยายน 2544 อีกทั้งยังมีข้อน่าสังเกตว่าจอร์จ บุช ซึ่งเป็นอดีตประธานาธิบดีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับข้อมูลจาหน่วยราชการลับซึ่งควรจะรู้ข้อมูลทั้งหมดกลับได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตัวแทนของกลุ่มบริษัทคาร์ไลยล์ ไปพบกับพระบรมวงศานุวงศ์ของประเทศซาอุดีอาระเบีย และยังพบกับครอบครัวของบินลาดินอีกด้วย นับว่าเป็นการดำเนินการที่อยู่บนผลประโยชน์มหาศาลทางธุรกิจอย่างแท้จริง และหากจะรวบรวมการลงทุนของครอบครัวตระกูลบุชแล้วอาจมีมูลค่ารวมกันกว่า 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ (56,000 ล้านบาท)
7. นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้พยายามหยุดสภาคองเกรสในการจัดตั้งการสอบสวนเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 ด้วยตัวเองโดยให้เหตุผลว่าไม่ต้องการเปิดเผยวิธีการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ของทางการ ซึ่งจะทำให้ศัตรูของสหรัฐอเมริกาสามารถล่วงรู้ได้อย่างที่ศัตรูต้องการ เมื่อไม่สามารถยับยั้งสภาคองเกรสได้ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ก็ได้คัดค้านการตั้งคณะกรรมมาธิการในการสอบสวนเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 และเมื่อสภาคองเกรสทำรายงานการสอบสวนออกมา ประธานาธิบดีก็ได้ลบข้อมูลรายงานดังกล่าวเกือบ 28 หน้า ซึ่งสำนักข่าวเอ็นบีซี ได้เคยรายงานว่าข้อมูลที่ถูกปกปิดนั้นมีความเกี่ยวข้องกับประเทศซาอุดิอาระเบีย
8. ปัจจุบันประเทศซาอุดิอาระเบียมีเงินลงทุนอยู่ในสหรัฐอเมริกาประมาณ 860,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นประมาณร้อยละ 6 ถึง 7 ของการลงทุนทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา และการลงทุนส่วนใหญ่อยู่บริษัทชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา เช่น ซิตี้กรุ๊ป ซิตี้แบงก์ ซึ่งซาอุดิอาระเบียถือหุ้นใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ยังมี เอโอแอล-ไทม์วอนเนอร์ ที่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นชาวซาอุดิอาระเบีย
(อ่านต่อหน้า 2)

9. แม้ว่าโอซามา บินลาดิน จะเคยอาศัยอยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบีย แต่ประเทศซาอุดิอาระเบียก็เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้กับกลุ่มอัลกออิดะห์ อีกทั้งโจรสลัดอากาศที่ปล้นเครื่องบินจำนวน 15 คน จากทั้งหมด 19 คนต่างก็เป็นชาวซาอุดิอาระเบีย
10. ไม่มีใครทราบได้ว่าการสนทนาและการรับประทานอาหารเย็นระหว่างประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และเจ้าชายแบนดาร์ บิน สุลต่าน เอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจำประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นอย่างไรในคืนวันที่ 13 กันยายน 2544 แต่ผลที่ตามมากลับมีความพยายามในการกีดกันการสอบสวนและการพูดคุยกับชาวซาอุดิอาระเบียที่เป็นญาติพี่น้องของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการปล้นเครื่องบินทั้ง 15 คน และเหตุใดประเทศซาอุดิอาระเบียจึงแสดงความกระอักกระอ่วนในการอายัดทรัพย์สินของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการปล้นเครื่องบินทั้งหมด
11. นายริชาร์ด คลาค ได้แจ้งว่าเมื่อ วันที่ 12 กันยายน 2544 ประธานธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ต้องการให้ชี้และสรุปว่าอิรักอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์การก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 และไม่ได้กล่าวถึงกลุ่มอัลกออิดะห์ตั้งแต่เริ่มแรก แต่เนื่องจากนายโดนัลด์ รัมส์เฟลด์ ได้คัดค้านแนวคิดดังกล่าวเนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มอัลกออิดะห์ ซึ่งกลุ่มอัลกออิดะห์ อยู่ที่ประเทศอัฟกานิสถานแม้ว่าประธานาธิบดีจะต้องการทำสงครามกับประเทศอิรัก แต่ในที่สุดก็ได้ตัดสินใจในการบุกประเทศอัฟกานิสถานก่อน
12. จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ตัดสินใจบุกอัฟกานิสถานทำสงครามกับกลุ่มตาลีบัน ในข้อหาที่ว่าให้ที่พักพิงนายโอซามา บินลาดินแต่ในความเป็นจริงกลับส่งกองกำลังไปเพียงแค่ 11,000 นายไปที่อัฟกานิสถานเท่านั้น ซึ่งเปรียบเทียบแล้วถือว่าน้อยมาก และน้อยกว่าจำนวนเจ้าหน้าที่ตำรวจในแมนฮัตตัน นิวยอร์ก ด้วยซ้ำไป ยิ่งไปกว่านั้นกองกำลังเหล่านี้ก็ใช้เวลาถึง 2 เดือนกว่าจะให้กองทัพบกบุกโจมตีอัฟกานิสถานในทางราบ ซึ่งเวลา 1 เดือนนี้ไม่สมเหตุผลในการที่จะแสดงเจตนารมณ์ว่าจะต้องการจับนาย โอซามา บินลาดินอย่างจริงจัง
13 เหตุผลของการบุกอัฟกานิสถาน จึงน่าจะมีเรื่องอื่นแอบแฝงและพบข้อมูลย้อนหลังกลับไปว่าเมื่อปี 2540 ในขณะที่นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการมลรัฐเท็กซัส คณะผู้แทนของผู้นำตาลีบันจากอัฟกานิสถานได้บินมาที่เมืองฮุสตัน มลรัฐเท็กซัสประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการต้อนรับของนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เพื่อมาพบกับผู้บริหารของบริษัท ยูโนแคล ในการเจรจากันในเรื่องของการก่อสร้างท่อส่งก๊าซจากเตอร์กเมนิสถาน ผ่านอัฟกานิสถาน ไปสู่ปากีสถาน
14. ในวันเดียวกันที่ยูโนแคลได้ลงนามข้อตกลงในการก่อสร้างท่อส่งก๊าซ ผู้ที่ลงนามอีกข้อตกลงหนึ่งซึ่งเป็นการขุดเจาะแหล่งก๊าซธรรมชาติในทะเลยแคสเปียน ก็คือ นายดิก เซนีย์ แห่งบริษัทฮารีเบอร์ตัน ในขณะนั้น (ซึ่งก็คือรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา) โดยในวันที่ 27 ตุลาคม 2540 ทั้งบริษัท ยูโนแคล และบริษัท ฮารีเบอร์ตัน เอนเนอร์ยี ต่างแถลงข่าวร่วมกันในโครงการพลังงานในเตอร์กเมนิสถาน

15. เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2544 เพียงแต่ 5 เดือนครึ่งก่อนวันที่ 11 กันยายน 2544 สำนักงานของบุช ก็ได้ต้อนรับนาย ซัยยิด ราห์มาตุลาฮ์ ฮาสเฮมี ผู้แทนพิเศษจากรัฐบาลตาลีบันแห่งอัฟกานิสถาน ทั้ง ๆ ที่กลุ่มดังกล่าวสนับสนุนนายโอซามา บินลาดินอย่างเต็มที่ เพื่อพาชมสหรัฐอเมริกาเพื่อช่วยปรับปรุงภาพจน์รัฐบาลของตาลีบันภายหลังจากที่รัฐบาลตาลีบันได้ทำลายพระพุทธรูปในประเทศอัฟกานิสถาน นายฮาสเฮมีได้นำหนังสือจากรัฐบาลถึงประธานาดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เพื่อเรียกร้องทำให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหรัฐอเมริกาและอัฟกานิสถานและขอให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกายกเลิกการคว่ำบาตรทางการค้าที่ได้กระทำต่ออัฟกานิสถาน นอกจากนี้ผู้แทนพิเศษจากรัฐบาลตาลีบันผู้นี้กลับได้มีโอกาสไปปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งรวมถึง มหาวิทยาลัยยูเอสซี ยูซีแอลเอ ยูซีเบอร์กเลย์ และยังได้ไปที่นิวยอร์ก และต่อไปยังวอชิงตัน เพื่อนำหนังสือส่งให้สำนักงานของนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในที่สุด
16. ภายหลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้บุกโจมตีอัฟกานิสถานแล้ว ก็ได้ปรากฏว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของอัฟกานิสถานก็คือ นายฮามิด คาร์ไซย์ ซึ่งก็เคยเป็นลูกจ้างในฐานะที่ปรึกษาของบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ที่มีชื่อว่า ยูโนแคล บริษัทที่ได้ลงนามสัญญาก่อสร้างท่อส่งน้ำมันจากอุสเบกิสถาน ผ่านไปยังอัฟกานิสถานไปจนสุดท่าเรือที่ปากีสถาน
17. วันที่ 19 มีนาคม 2546 นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช และทหารจากสหรัฐอเมริกาได้บุกประเทศอิรัก ชนชาติที่ไม่เคยบุกโจมตีสหรัฐอเมริกา ชนชาติที่ไม่เคยขู่ที่จะโจมตีสหรัฐอเมริกาและเป็นชนชาติที่ไม่เคยฆ่าประชาชนชาวอเมริกาแม้แต่คนเดียว และไม่มีอาวุธร้ายแรงและอาวุธนิวเคลียร์อย่างที่ถูกกล่าวหาแต่ประการใด อีกทั้งไม่เคยมีรายงานจากซีไอเอว่า ชาวอิรักเป็นผู้สนับสนุนในการโจมตีต่อต้านผลประโยชน์ของคนอเมริกันตั้งแต่ปี 2534 ผลที่ตามมาทำให้สหรัฐอเมริกาต้องใช้จ่ายด้านงบประมาณอย่างมหาศาลทางด้านการทหาร การสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ และยังแลกมาด้วยการทำให้ทาหรอเมริกันถูกฆ่าเสียชีวิตไปมากกว่า 800 นาย และทำให้มีทหารอเมริกันบาดเจ็บอีกประมาณ 4,700 นาย โดยมีผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน การค้าอาวุธ และการก่อสร้าง คนอเมริกันเกิดความหวาดกลัวและวิตกจริตเพื่อใช้เป็นจุดขายทางด้านการเมืองและการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ดีเนื้อหาสาระในภาพยนตร์และหนังสือเรื่องนี้ยังไม่ได้ครอบคลุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา อันได้แก่ การที่นาวิกโยธินของสหรัฐอเมริกา จับกุมและล่วงละเมิดทางเพศ ตลอดจนทรมานทำให้นักโทษชาวอิรักบางส่วนต้องเสียชีวิต เป็นเรื่องที่สร้างเสื่อมเสียให้กับสหรัฐอเมริกาและเป็นการสร้างความโกธรแค้นต่อประชาชนชาวมุสลิมเกือบทั้งโลก
ภายหลังจากที่สารคดีดังกล่าวได้เผยแพร่ออกไปสู่สาธารณชนเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างครอบครัวบินลาดินและครอบครัวบุช อย่างแนบแน่นแล้ว ทำให้นักวิเคราะห์หลายฝ่ายได้สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวที่มีความแปลกประหลาดในระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งล่าสุดนั้น ปรากฏว่ามีการเผยแพร่ภาพออกอากาศคำขู่ของการนายโอซา มา บินลาดิน ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเพียง 5 วัน ซึ่งหากสังเกตผลสำรวจของประชาชนชาวอเมริกันที่มีมาอย่างต่อเนื่องได้แสดงให้เห็นว่าจุดขายของนายจอร์จ ดับเบิลยู บุช คือ ด้านความมั่นคงที่มีคะแนนนำ นายจอห์น แคร์รี่ย์ โดยตลอด ดังนั้นการที่มีภาพออกอากาศคำขู่ของนายโอซามา บินลาดิน จึงทำให้น้ำหนักด้านความมั่นคงมีผลต่อการตัดสินใจเพิ่มมากขึ้น และทำให้ นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุชกลับมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริการอบที่สองในที่สุด
ภายหลังจากภาพยนตร์สารคดีและหนังสือเรื่อง ฟาเรนไฮต์ 9/11 ได้เผยแพร่ไปยังสาธารณชน ได้มีความพยายามจากหลายฝ่ายที่จะกีดกันไม่ให้มีการเผยแพร่ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ในบางประเทศอย่างซาอุดิอาระเบียได้สั่งห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวในประเทศซาอุดิอาระเบียโดยเด็ดขาด
หากข้อมูลจากสารคดีดังกล่าวเป็นความจริง ก็จะทำให้เกิดภาพเชื่อมโยงอย่างต่อเนื่องในส่วนความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างครอบครัวบินลาดินและพระบรมวงศานุวงศ์ของซาอุดิอาระเบียที่มีต่อครอบครัวของบุช และอาจทำให้สถานการณ์ความไม่สงบทางจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยนั้นมีอีกทฤษฎีหนึ่งในความเชื่อมโยงกับเนื้อหาจากสารคดีนี้ได้อย่างน่าสนใจ
เป็นทราบกันดีว่าศาสนาอิสลามมีความขัดแย้งกันอยู่ในโลกนี้ ก็คือ นิกายซุนหนี่ นิกายซีอะห์ และนิกายวะฮาบีย์ และนิกายวาฮะบีย์ถือเป็นนิกายที่เริ่มต้นมาจากประเทศซาอุดิอาระเบียในช่วงศตวรรษที่ 17 และจากนิตยสารต่างประเทศ ไทมส์ ได้เคยอธิบายเรื่องของมุสลิมในโลกว่า นิกาย ดังกล่าวนั้นได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากชาติตะวันตกซึ่งรวมถึงประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งนิกายดังกล่าวหากจะอธิบายให้เกิดความเข้าใจอย่างง่ายก็คือนิกายที่เรียกกลุ่มตัวเองว่า “อิสลามบริสุทธิ์” มีความเชื่อทางความเป็นอิสลามที่บริสุทธิ์ และตัดความเชื่ออื่น ๆ ออกไปซึ่งรวมถึงการต่อต้านด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวในความเชื่อประเพณีและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศและแต่ละท้องถิ่น

นิกายวะฮาบีย์ นอกจากประชากรส่วนใหญ่ในซาอุดิอาระเบียนับถือกันอย่างกว้างขวางแล้ว ยังรวมไปถึงนายโอซามา บินลาดิน กลุ่มอัลกออิดะห์และกลุ่มตาลีบันอีกด้วย นอกจากนี้ยังได้มีการเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางไปในหลายประเทศด้วยการสนับสนุนทางด้านงบประมาณด้านการศึกษาจากประเทศซาอุดิอาระเบียอย่างมหาศาล และจากการให้งบประมาณทางด้านการศึกษาจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ก็ได้ทำให้มีการเผยแพร่ไปในประเทศที่ชาวมุสลิมมีความยากจนและขาดโอกาสทางการศึกษา อันได้แก่ กลุ่มประเทศในทวีปแอฟริกา และยังรวมถึงชาวมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยด้วย ซึ่งในปัจจุบันได้มีการเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง จนมีความเชื่อว่าในปัจจุบันมีการศึกษาทางศาสนาอิสลามนิกายวะฮาบีย์ในประเทศไทยเผยแพร่และทำให้มีจำนวนที่นับถือนิกายวะฮาบีย์ในปัจจุบันใกล้เคียงกับนิกายซุนหนี่แล้ว แต่อาจจะไม่เรียกตัวเองว่า นับถือนิกายวะฮาบีย์ แต่อาจจะเรียกกลุ่มตัวเองว่า สะลาฟียะฮ หรือ สะลีฟียูน หรือมุวะหิดูน ซึ่งก็คือผู้นับถือนิกายวะฮาบีย์ จนเมื่อครั้งหนึ่ง อายะตุลลอฮ โคไมนี่แห่งอิหร่าน ได้เคยมีคำวินิจฉัยว่า “อเมริกันอิสลาม” วะฮาบีย์ได้ขยายตัวในวงการศึกษาของประเทศไทยอย่างกว้างขวาง
ภายหลังจากที่ซาอุดิอาระเบียได้สั่งห้ามเผยแพร่สารคดีเรื่อง ฟาเรนไฮต์ 9/11 ซึ่งเป็นการสั่นคลอนต่อภาพพจน์ของกษัตริย์ฟาฮัดแห่งซาอุดิอาระเบียต่อประเทศมุสลิมจำนวนมาก กษัตริย์ฟาฮัดซึ่งเดิมอุปถัมภ์ค้ำจุนวะฮาบีย์และได้มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นกับครอบครัวบุชทรงประชวรลง จึงได้ทรงแต่งตั้งให้มกุฎราชกุมารอับดุลเลาะห์มีอำนาจมากขึ้น มกุฎราชกุมารอับดุลเลาะห์ได้คุมกำลังทางการทหารและด้านความมั่นคงตั้งแต่ปี 2546 ทรงเห็นว่าต้องการที่จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเรื่องของผลประโยชน์ของซาอุดิอาระเบีย จึงได้เปลี่ยนท่าทีใหม่โดยทรงเลิกจ้างผู้สอนศาสนาจากนิกายวะฮาบีย์จนถึงปัจจุบันกว่า 7,000 คน และทำให้เกิดเป็นที่มาของการก่อการร้ายในซาอุดิอาระเบียตามมา และหันไปจับมือดำเนินนโยบายต่างประเทศร่วมกับอิหร่าน อิยิปต์ คูเวต และบาห์เรน นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ที่ประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามที่มีความต่างนิกายระหว่างซีอะห์กับนิกายซุนหนี่ได้แสดงความร่วมมือกันอย่างมีเอกภาพเป็นครั้งแรก
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2547 สถานีโทรทัศน์อาราบิยาของซาอุดิอาระเบียได้เสนอข่าวว่า สถานการณ์ที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาสที่ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับวะฮาบีย์เหมือนกับที่ซาอุดิอาระเบียกำลังเผชิญหน้าอยู่ มกุฎราชกุมารอับดุลเลาะห์ได้ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดองค์กรที่มีชื่อว่าสันนิบาตมุสลิมโลก หรือรอบิเฎาะห์ ซึ่งเดิมเป็นองค์กรภายใต้ผู้นำศาสนาอิสลาม นิกาย วะฮาบีย์ ได้มีการเปลี่ยนท่าทีครั้งสำคัญโดยการมีมติว่าประเทศมุสลิมทั่วโลกจะต้องไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวหรือแทรกแซงกรณีเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย พร้อมทั้งจะให้ความร่วมมือในการให้การศึกษาทางศาสนาที่ถูกต้องและไม่ให้มีความบิดเบือนและถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำให้เกิดความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย
สารคดีดังกล่าวในส่วนของเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายนั้นเมื่อรวมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย มีความน่าสนใจและเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่อาจจะสามารถนำมาใช้ในการพิจารณาสถานการณ์การก่อการร้ายสากลได้และขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ดีข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาควรจะต้องทำเรื่องเหล่านี้ให้กระจ่ายชัดต่อชาวโลกมิใช่เพิกเฉยโดยไม่ให้คำตอบใด ๆ แต่ถ้าหากข้อมูลบางส่วนนั้นมีความสอดคล้องกันจริง บางทีสังคมทั้งโลกอาจจะต้องหาคำนิยามใหม่ของคำว่า “ผู้ก่อการร้าย” นั้นควรจะหมายถึงใคร?
ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศการถ่ายทำยอดเยี่ยมในเทศกาลภาพยนตร์ที่เมืองคานส์ปี 2547 และยังได้รับคำแนะนำจากอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชาวอเมริกันควรจะได้มีโอกาสเข้าชมเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ดีประชาชนทั่วไปที่จะสนใจภาพยนตร์สารคดีการเมืองระหว่างประเทศโดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ที่มีอายุหรืออยู่ในวัยทำงานซึ่งคงจะไม่ค่อยมีโอกาสชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์สักเท่าไหร่นัก ส่วนผู้ที่มีโอกาสและมีเวลาที่จะชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ก็คงจะไม่ค่อยสนใจเรื่องประเภทอย่างนี้เช่นกัน จึงทำให้ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ไม่ประสบผลสำเร็จในด้านจำนวนผู้เข้าชมเท่าใดนักทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งยังถูกห้ามเผยแพร่ในบางประเทศที่เกี่ยวข้องในสารคดีนี้อีกด้วย
ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้เมื่อรวมกับหนังสือที่มีชื่อเรื่องเดียวกันได้พยายามโน้มน้าวและแสดงหลักฐานเพื่อทำให้เชื่อว่าครอบครัวบินลาดินและครอบครัวจอร์จ ดับเบิลยู. บุชนั้น มีความเกี่ยวข้องกันทางธุรกิจอย่างแนบแน่น และสงครามการก่อการร้ายของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกานั้น เป็นเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตนทั้งสิ้น
และหากจะมีการเชื่อมโยงและต่อภาพเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในโลกและความไม่สงบในโลกและความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยแล้ว ก็อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจและสามารถที่จะถูกพัฒนาและชวนให้เกิดทฤษฎีการสมรู้ร่วมคิดอีกทฤษฎีหนึ่งที่อาจจะต้องถูกนำมาชั่งน้ำหนักเพื่อพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้อย่างมีความระมัดระวังมากขึ้น ดังนั้นในเบื้องต้นจึงขอสรุปเนื้อหาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายจากฟาเรนไฮต์ 9/11 ได้ดังนี้
1. ภาพยนตร์สารคดีดังกล่าวเริ่มต้นด้วยผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่นาย จอร์จ ดับเบิลยู. บุช จากพรรครีพับลิกัลป์ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยข้อกล่าวหาว่าผลการเลือกตั้งที่นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้รับชัยชนะที่รัฐฟลอริดานั้นไม่ถูกต้อง ซึ่งในเวลาต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษายอมรับผลการเลือกตั้งดังกล่าว ท่ามกลางการต่อต้านอย่างรุนแรงของกลุ่มประชาชนของสหรัฐอเมริกานับหลายหมื่นคนที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในวันแรกที่นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งในช่วงเริ่มต้นนั้นผลสำรวจความนิยมของประชานเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2544 อยู่ที่ร้อยละ 53 ซึ่งต่อมาได้ลดลงมาเหลือเพียงร้อยละ 45 ในวันที่ 5 กันยายน 2544 จากการเก็บข้อมูลของหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ พบว่า นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ใช้เวลาประมาณร้อยละ 42 ในการพักร้อนเป็นเวลาประมาณ 8 เดือนก่อนเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความนิยมในทางการเมืองของนาย จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ลดลงไปเรื่อย ๆ
2. โศกนาฏกรรมการก่อการร้ายเครื่องบินพุ่งชนอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 มีประชาชนชาวอเมริกันเสียชีวิตประมาณเกือบ 3,000 คน ซึ่งในวันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวทันทีที่เครื่องบินลำแรกได้พุ่งชนอาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้เดินทางไปร่วมรับฟังการเรียนการสอนในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในมลรัฐฟลอริดา หลังจากที่เครื่องบินลำที่สองได้พุ่งชนอาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปในห้องเรียนและได้บอกกับประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ว่าประเทศได้ถูกโจมตี ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกายังคงนั่งอยู่ในห้องเรียนและอ่านเรื่องสัตว์เลี้ยงสุนัขของฉันร่วมกับกลุ่มนักเรียนประถมศึกษาต่อไป แม้ว่าจะผ่านไปกว่า 7 นาที ก็ยังไม่ได้มีใครได้สั่งการทำอะไรทั้งสิ้น
3. จากหลักฐานหนังสือสำนักอัยการสูงสุดประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2544 พบว่า จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เป็นผู้คัดค้านและขอให้ตัดงบประมาณการต่อต้านการก่อการร้ายของเอฟบีไอ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช เคยได้รับรายงานด้านความมั่นคงเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2544 แล้วว่า นายโอซามาบินลาดิน วางแผนที่จะโจมตีคนอเมริกัน ด้วยการปล้นเครื่องบิน แต่บางทีนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช อาจจะไม่กังวลต่อคำขู่ดังกล่าวเพราะหลังจากที่ได้รับรายงานดังกล่าวแล้ว นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ก็ได้ใช้เวลาไปพักผ่อนตกปลาทันที
4. หลังจากเกิดเหตุการณ์เครื่องบินได้พุ่งชนอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์แล้ว เครื่องบินพาณิชย์ทั้งหมดได้ยกเลิกและหยุดเที่ยวบินทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่เที่ยวบินของนายจอร์จ บุช อดีตประธานาธิบดีและบิดาของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน แต่ปรากฏว่ามีเที่ยวบินพิเศษสำหรับสมาชิกครอบครัวของบินลาดิน ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาเป็นการเฉพาะเพื่อกลับไปที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย
4.1 จากการเปิดเผยของนายไบรอน ดอร์แกนวุฒิสมาชิกแห่งมลรัฐนอร์ธ ดาโคตา ในฐานะอนุกรรมาธิการด้านการบินได้ให้ข้อมูลว่า สหรัฐอเมริกาได้มีเที่ยวบินพิเศษที่ได้รับอนุญาตจากนักการเมืองของรัฐบาลระดับสูงของประเทศในการรับสมาชิกบางคนในตระกูลบินลาดินและชาวซาอุดิอาระเบียบางคนที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาเพื่อบินกลับไปยังประเทศซาอุดิอาระเบียอย่างน้อยก็เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว 6 ลำ และเครื่องบินพาณิชย์อีกเกือบ 24 ลำ ตามตัวอย่างบางรายละเอียดดังนี้
วันที่ 11 กันยายน 2544 ท่าอากาศยานแอตแลนต้า เที่ยวบิน SA 210
วันที่ 13 กันยายน 2544 ท่าอากาศยาน DFW เที่ยวบิน AA 070
วันที่ 13 กันยายน 2544 ท่าอากาศยาน LAW เที่ยวบิน SR 129
วันที่ 13 กันยายน 2544 ท่าอากาศยาย JFK เที่ยวบิน SV 020
ประชาชนสัญชาติซาอุดิอาระเบีย 124 คน ซึ่งรวมถึงสมาชิกของคนในครอบครัวบินลาดิน 24 คน ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้ออกนอกประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้ง ๆ ที่ความสัมพันธ์ของลูกชายคนหนึ่งของนายบินลาดินพึ่งจะได้แต่งงานกับคนในอัฟกานิสถานเมื่อช่วง ฤดูร้อนในปี 2544 ก่อนเกิดเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2544 และยังมีอีกหลายคนในตระกูลบินลาดินได้แต่งงานกับหลายตระกูลในประเทศอัฟกานิสถาน แสดงความสัมพันธ์ของนาย โอซามา บินลาดินซึ่งอยู่ในประเทศอัฟกานิสถาน ยังคงไม่ได้ตัดขาดกับครอบครัวตระกูลบินลาดิน อย่างที่หลายฝ่ายได้วิเคราะห์ว่านายโอซามา บินลาดินเป็นเสมือนแกะดำที่ถูกตัดขาดจากตระกูลบินลาดิน
4.2 เรื่องการส่งครอบครัวบินลาดินกลับประเทศซาอุดิอาระเบียอาจฟังดูเป็นข้อกล่าวหาที่แทบไม่น่าเชื่อถือเลย หากไม่มีเจ้าชาย แบนดาร์ บิน สุลต่าน เอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจำประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เคยออกอากาศสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ของซีเอ็นเอ็น ดำเนินรายการโดย นายลารี่ คิง ได้กล่าวความตอนหนึ่งยอมรับว่า มีสมาชิกครอบครัวบินลาดินอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวน 24 คน และกษัตริย์แห่งซาอุดิอาระเบียทรงรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมต่อคนเหล่านั้นที่จะต้องเป็นผู้รับชะตากรรมในการได้รับอันตรายใด ๆ ในอีกด้านหนึ่งประเทศซาอุดิอาระเบียได้มีความเข้าใจเป็นอย่างดีต่อความรู้สึกที่รุนแรงของประชาชนอเมริกัน ดังนั้นทางสถานทูตฯ จึงได้ประสานงานและติดต่อกับเอฟบีไอ ในการที่จะได้นำบุคคลเหล่านี้ออกนอกประเทศ
4.3 นายแจ็ค คลูแนน เป็นเจ้าหน้าที่ เอฟบีไอที่เกษียณตัวเองออกมาได้ให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้าเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2544 นายแจ็ค คลูแนนได้ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่อาวุโสในความร่วมมือระหว่างเอบีไอ กับซีไอเอ ในกรณีกองกำลังของกลุ่มอัลกออิดะห์ ในฐานะผู้ที่ทำหน้าที่สืบสวนไม่ต้องการที่จะให้บุคคลตระกูลบินลาดินออกนอกประเทศเลยและควรใช้หมายศาลเรียกคนเหล่านั้นมาให้การเพื่อบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานจึงจะเป็นขั้นตอนที่ถูกต้องและเหมาะสม
4.4 เปรียบเทียบกับกรณีการก่อการร้ายโดยการวางระเบิดที่เมืองโอกลาโฮม่า มลรัฐโอกลาโฮม่า ประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนหน้านี้ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่าง นายบิล คลินตัน ก็มิได้เคยจัดเที่ยวบินพิเศษออกนอกประเทศให้กับครอบครัว แมคเวจ์ ซึ่งสมาชิกของครอบครัวดังกล่าวเป็นผู้ก่อการร้ายในเหตุการณ์ครั้งนั้นอย่างใด
5.จากคำสัมภาษณ์ของเจ้าชาย แบนดาร์ บิน สุลต่าน เอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจำประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้เคยออกอากาศสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ของ ซีเอ็นเอ็น ดำเนินรายการโดย นายลารี่คิง ได้ให้ข้อมูลว่า เมื่อกลางทศวรรษที่ 1980 ประเทศซาอุดิอาระเบียและประเทศสหรัฐอเมริกาได้เคยสนับสนุนกลุ่มมูจาฮีดีนเพื่อปลดปล่อยประเทศอัฟกานิสถานให้เป็นอิสระจากสหภาพโซเวียต นายโฮซามา บินลาดินได้มาขอบคุณท่านเอกอัครราชทูตที่ได้ใช้ความพยายามในการนำประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นพันธมิตรของประเทศซาอุดิอาระเบียเข้ามาช่วยในการต่อต้านพวกผู้ที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง ต่อต้านพวกคอมมิวนิสต์ และกล่าวยอมรับว่าอย่างไรก็ตามในวันนี้ นาย โอซามา บินลาดิน อาจจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อกรณีการก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกา
6. ครอบครัวบินลาดินมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับครอบครัวของนาย จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุชพยายามปิดเรื่องดังกล่าวให้เป็นความลับ
6.1 ในช่วงต้นปี 2547 นายไมเคิล มัวร์ ได้แสดงปาฐกถาที่มลรัฐนิวแฮมเชียร์ โดยได้กล่าวว่านายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เป็นคนละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ทางหาร ในสมัยที่นาย จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกองทัพอากาศของมลรัฐเท็กซัส ซึ่งทำให้ทำเนียบขาวต้องออกมาตอบโต้โดยการเปิดเผยบันทึกข้อมูลทางการทหารของนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช โดยมีความคาดหวังว่าจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ แต่นายไมเคิล มัวร์ กลับมีบันทึกทางการทหารที่ไม่ได้ปกปิดข้อความใด ๆ ซึ่งได้มาตั้งแต่ปี 2543 และ หลักฐานดังกล่าวมีความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับข้อมูลที่มีการเปิดเผยในปี 2547 ของทำเนียบขาว บันทึกทางการทหารในปี 2547 ได้มีการขีดคาดสีดำในส่วนของชื่อบุคคลบางคนออกไป โดยในบันทึกทางทหารฉบับไม่ปกปิดเดือนกันยายน พ.ศ. 2515 ได้ระบุว่า นักบิน 2 คน ได้ถูกพักงานเพราะผลการตรวจสอบสุขภาพไม่ผ่าน (เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เป็นเพราะมีการละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่อย่างที่ถูกกล่าวหา) คนหนึ่งคือนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช และอีกคนหนึ่งก็คือ นาย เจมส์ อาร์. บาธ
6.2 บันทึกทางการทหารที่นาย ไมเคิล มัวร์ ได้รับมาตั้งแต่ปี 2543 นั้นได้แสดงรายชื่อทั้งสองคน แต่บันทึกทางการทหารที่ทำเนียบขาวได้เปิดเผยในปี 2547 นั้นเปิดเผยรายชื่อเฉพาะ นาย จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ส่วนชื่อของนายเจมส์ อาร์. บาธ นั้นได้ใช้แถบสีดำขีดคาดปกปิดเอาไว้
6.3 สาเหตุที่ต้องปกปิดชื่อของ นายเจมส์ อาร์. บาธ นั้นก็เพราะว่าบางทีนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช อาจจะกังวลว่าคนอเมริกันอาจะได้พบว่า ครั้งหนึ่ง นายเจมส์ อาร์. บาธ ก็คือผู้จัดการทางด้านการเงินในเท็กซัสของตระกูลบินลาดิน และในสมัยที่ทั้งสองคนยังรับใช้อยู่ในกองทัพอาการแห่งชาติของมลรัฐเท็กซัสนั้นทั้งคู่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
6.4 หลังจากที่ทั้งคู่ได้ถูกปลดประจำการ เมื่อนายจอร์จ บุช ซึ่งเป็นบิดาของนาย จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าของ ซีไอเอในขณะนั้น นายเจมส์ อาร์. บาธ ได้เปิดธุรกิจการบินหลังจากที่ขายเครื่องบินให้กับชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า นายซาเลม บินลาดิน ทายาทของ ตระกูลที่มีความร่ำรวยที่สุดเป็นลำดับที่สองของประเทศซาอุดิอาระเบียเจ้าของกลุ่มธุรกิจ ซาอุดิ บินลาดิน
6.5 ในขณะนั้น จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เริ่มต้นด้วยการเป็นนักธุรกิจ และมีความพยายามที่จะก้าวหน้าให้ได้อย่าง นายจอร์จ บุช จึงเริ่มด้วยการหันเหไปในทางธุรกิจ และเข้าสู่วงการธุรกิจน้ำมัน และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่งที่มีชื่อ ว่า อาร์บุสโต เป็นบริษัทขุดเจาะน้ำมันที่ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จในการพบแหล่งน้ำมันเท่าใดนักและเป็นที่น่าเคลือบแคลงสงสัยว่าเงินเหล่านี้ได้มาอย่างไร? แม้ว่านายจอร์จ บุช ซึ่งเป็นบิดามีฐานะที่ร่ำรวย แต่ในความเป็นจริงไม่เคยมีหลักฐานบ่งชี้ว่านายจอร์จ บุชได้เคยเขียนเช็คให้กับนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช สำหรับการเริ่มต้นบริษัทดังกล่าวนี้เลย
6.6 บุคคลหนึ่งที่ได้ลงทุนให้กับนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ก็คือ นายเจมส์ อาร์. บาธ ซึ่งนายเจมส์ อาร์. บาธ ก็คือบุคคลที่ถูกจ้างโดยนายซาเลม บินลาดิน สมาชิกของครอบครัวบินลาดินให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการเงินของสมาชิกครอบครัวบินลาดินในมลรัฐเท็กซัส และจัดการการลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งนายเจมส์ อาร์. บาธ ก็ได้กลับมาเป็นผู้ลงทุนในธุรกิจของ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในที่สุด
6.7 จอร์จ ดับเบิลยู. บุช มีอีกหลายบริษัท และหนึ่งในบริษัททั้งหลายเหล่านั้นได้ถูกซื้อไปโดย บริษัทพลังงานแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ฮาเคน เอ็นเนอร์ยี และได้มอบให้นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในบริษัท ซึ่งมีหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่าหลายปีในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีเงินมาลงทุนจากประเทศซาอุดิอาระเบียอย่างมากในธุรกิจน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นฮาเคน สเปรกตรัม 7 และฮาร์บุสโต ขุดเจาะน้ำมัน ซึ่งบริษัททั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทของตระกูลบุชทั้งสิ้น เมื่อใดก็ตามที่บริษัทเหล่านี้มีปัญหาก็จะมีเงินสนับสนุนเข้ามาในบริษัทเหล่านี้จำนวนมหาศาลอย่างต่อเนื่อง
6.8 จึงทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่า เหตุใดซาอุดิอาระเบียซึ่งมีน้ำมันมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกจึงต้องมาลงทุนไปทั่วโลกในบริษัทน้ำมันที่ไม่ประสบความสำเร็จและไม่ใช่บริษัทที่ดีแต่อย่างใด ทำให้เกิดความเชื่อว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าบริษัทอย่าง ฮาเคน มีกรรมการเป็นนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ซึ่งในเวลานั้นเป็นเวลาที่บิดของเขา นายจอร์จ บุช ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา
6.9 ต่อมานายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้เทขายหุ้นก่อนที่จะประกาศการขาดทุนครั้งใหญ่ที่สุดของบริษัท ฮาเคน ซึ่งหลังจากนั้นเพื่อนของนายจอร์จ บุช ได้มอบตำแหน่งกรรมการบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งเป็นของกลุ่มบริษัท คาร์ไลยล์ ให้กับนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ซึ่งกลุ่มบริษัทคาร์ไลยล์ ก็คือ กลุ่มบริษัทที่มีการลงทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ภายใต้นโยบายและงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เป็นองค์การที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจระหว่างประเทศ และได้ผลประโยชน์อย่างมหาศาลภายหลังจากเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2544 อันได้แก่ ธุรกิจด้านการสื่อสาร ธุรกิจด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจด้านการทหาร อาจกล่าวได้ว่าจอร์จ บุช และจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ต่างทำงานให้กับกลุ่มบริษัท คาร์ไลยล์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการลงทุนจากครอบครัวบินลาดิน
6.10 กลุ่มบริษัท คาร์ไลยล์ ได้มีการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีเมื่อเช้าวันที่ 11 กันยายน 2544 ที่โรงแรม ริทซ์-คาร์ตัน ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ผู้ที่เข้าร่วมประชุมในวันดังกล่าวได้แก่ นายจอห์น เบเกอร์ และนายจอห์น เมเจอร์ และแน่นอนว่า มีนายจอร์จ บุช ซึ่งได้ออกไปจากที่ประชุมในช่วงเช้าของวันที่ 11 กันยายน 2544 นายซาฟิค บินลาดิน น้องชายต่างมารดาของนายโอซามา บินลาดิน ซึ่งอยู่ในเมืองทำหน้าที่ดูแลการลงทุน กลุ่มบริษัท คาร์ไลยล์ ซึ่งในเช้าวันนั้นทุกคนได้อยู่ในห้องประชุมเดียวกันและได้รับชมรายการทางโทรทัศน์และเห็นภาพเครื่องบินพุ่งชนอาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ร่วมกันในการประชุมในวันดังกล่าว
6.11 งบประมาณด้านความมั่นคงของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการจัดสรรให้กับกลุ่มบริษัทคาร์ไลยล์ มากที่สุดเป็นลำดับที่ 11 ของงบประมาณด้านความมั่นคงของประเทศสหรัฐเมริกา เพียงแค่ 6 สัปดาห์หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 กลุ่มบริษัท คาร์ไลยล์ ก็ได้ปรากฏต่อสื่อมวลชนว่าเพียงแค่วันเดียวในเดือนก่อนหน้านี้ คาร์ไลยล์ได้ขายทำกำไรกว่า 237 ล้านเหรียญสหรัฐในกลุ่มอุตสาหกรรมด้านความมั่นคง
6.12. ทันทีที่หลายฝ่ายจับตามองไปที่สมาชิกของครอบครัวบินลาดินที่เป็นผู้ลงทุนรายสำคัญของกลุ่มบริษัท คาร์ไลยล์ แต่ในที่สุดครอบครัวบินลาดินก็ได้ถอนตัวจากการลงทุนดังกล่าวในเวลาต่อมา
6.13 จอร์จ บุช ได้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสของคณะกรรมการกลุ่มบริษัทคาร์ไลยล์ เอเชีย อีก 2 ปี และเป็นที่ทราบดีว่าจอร์จ บุช ได้เคยพบปะกับครอบครัวของบินลาดิน ในขณะที่นายโอซามา บินลาดินต้องการที่จะก่อการร้ายก่อนวันที่ 11 กันยายน 2544 อีกทั้งยังมีข้อน่าสังเกตว่าจอร์จ บุช ซึ่งเป็นอดีตประธานาธิบดีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับข้อมูลจาหน่วยราชการลับซึ่งควรจะรู้ข้อมูลทั้งหมดกลับได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตัวแทนของกลุ่มบริษัทคาร์ไลยล์ ไปพบกับพระบรมวงศานุวงศ์ของประเทศซาอุดีอาระเบีย และยังพบกับครอบครัวของบินลาดินอีกด้วย นับว่าเป็นการดำเนินการที่อยู่บนผลประโยชน์มหาศาลทางธุรกิจอย่างแท้จริง และหากจะรวบรวมการลงทุนของครอบครัวตระกูลบุชแล้วอาจมีมูลค่ารวมกันกว่า 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ (56,000 ล้านบาท)
7. นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้พยายามหยุดสภาคองเกรสในการจัดตั้งการสอบสวนเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 ด้วยตัวเองโดยให้เหตุผลว่าไม่ต้องการเปิดเผยวิธีการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ของทางการ ซึ่งจะทำให้ศัตรูของสหรัฐอเมริกาสามารถล่วงรู้ได้อย่างที่ศัตรูต้องการ เมื่อไม่สามารถยับยั้งสภาคองเกรสได้ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ก็ได้คัดค้านการตั้งคณะกรรมมาธิการในการสอบสวนเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 และเมื่อสภาคองเกรสทำรายงานการสอบสวนออกมา ประธานาธิบดีก็ได้ลบข้อมูลรายงานดังกล่าวเกือบ 28 หน้า ซึ่งสำนักข่าวเอ็นบีซี ได้เคยรายงานว่าข้อมูลที่ถูกปกปิดนั้นมีความเกี่ยวข้องกับประเทศซาอุดิอาระเบีย
8. ปัจจุบันประเทศซาอุดิอาระเบียมีเงินลงทุนอยู่ในสหรัฐอเมริกาประมาณ 860,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นประมาณร้อยละ 6 ถึง 7 ของการลงทุนทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา และการลงทุนส่วนใหญ่อยู่บริษัทชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา เช่น ซิตี้กรุ๊ป ซิตี้แบงก์ ซึ่งซาอุดิอาระเบียถือหุ้นใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ยังมี เอโอแอล-ไทม์วอนเนอร์ ที่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นชาวซาอุดิอาระเบีย
(อ่านต่อหน้า 2)
9. แม้ว่าโอซามา บินลาดิน จะเคยอาศัยอยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบีย แต่ประเทศซาอุดิอาระเบียก็เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้กับกลุ่มอัลกออิดะห์ อีกทั้งโจรสลัดอากาศที่ปล้นเครื่องบินจำนวน 15 คน จากทั้งหมด 19 คนต่างก็เป็นชาวซาอุดิอาระเบีย
10. ไม่มีใครทราบได้ว่าการสนทนาและการรับประทานอาหารเย็นระหว่างประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และเจ้าชายแบนดาร์ บิน สุลต่าน เอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจำประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นอย่างไรในคืนวันที่ 13 กันยายน 2544 แต่ผลที่ตามมากลับมีความพยายามในการกีดกันการสอบสวนและการพูดคุยกับชาวซาอุดิอาระเบียที่เป็นญาติพี่น้องของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการปล้นเครื่องบินทั้ง 15 คน และเหตุใดประเทศซาอุดิอาระเบียจึงแสดงความกระอักกระอ่วนในการอายัดทรัพย์สินของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการปล้นเครื่องบินทั้งหมด
11. นายริชาร์ด คลาค ได้แจ้งว่าเมื่อ วันที่ 12 กันยายน 2544 ประธานธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ต้องการให้ชี้และสรุปว่าอิรักอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์การก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 และไม่ได้กล่าวถึงกลุ่มอัลกออิดะห์ตั้งแต่เริ่มแรก แต่เนื่องจากนายโดนัลด์ รัมส์เฟลด์ ได้คัดค้านแนวคิดดังกล่าวเนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มอัลกออิดะห์ ซึ่งกลุ่มอัลกออิดะห์ อยู่ที่ประเทศอัฟกานิสถานแม้ว่าประธานาธิบดีจะต้องการทำสงครามกับประเทศอิรัก แต่ในที่สุดก็ได้ตัดสินใจในการบุกประเทศอัฟกานิสถานก่อน
12. จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ตัดสินใจบุกอัฟกานิสถานทำสงครามกับกลุ่มตาลีบัน ในข้อหาที่ว่าให้ที่พักพิงนายโอซามา บินลาดินแต่ในความเป็นจริงกลับส่งกองกำลังไปเพียงแค่ 11,000 นายไปที่อัฟกานิสถานเท่านั้น ซึ่งเปรียบเทียบแล้วถือว่าน้อยมาก และน้อยกว่าจำนวนเจ้าหน้าที่ตำรวจในแมนฮัตตัน นิวยอร์ก ด้วยซ้ำไป ยิ่งไปกว่านั้นกองกำลังเหล่านี้ก็ใช้เวลาถึง 2 เดือนกว่าจะให้กองทัพบกบุกโจมตีอัฟกานิสถานในทางราบ ซึ่งเวลา 1 เดือนนี้ไม่สมเหตุผลในการที่จะแสดงเจตนารมณ์ว่าจะต้องการจับนาย โอซามา บินลาดินอย่างจริงจัง
13 เหตุผลของการบุกอัฟกานิสถาน จึงน่าจะมีเรื่องอื่นแอบแฝงและพบข้อมูลย้อนหลังกลับไปว่าเมื่อปี 2540 ในขณะที่นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการมลรัฐเท็กซัส คณะผู้แทนของผู้นำตาลีบันจากอัฟกานิสถานได้บินมาที่เมืองฮุสตัน มลรัฐเท็กซัสประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการต้อนรับของนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เพื่อมาพบกับผู้บริหารของบริษัท ยูโนแคล ในการเจรจากันในเรื่องของการก่อสร้างท่อส่งก๊าซจากเตอร์กเมนิสถาน ผ่านอัฟกานิสถาน ไปสู่ปากีสถาน
14. ในวันเดียวกันที่ยูโนแคลได้ลงนามข้อตกลงในการก่อสร้างท่อส่งก๊าซ ผู้ที่ลงนามอีกข้อตกลงหนึ่งซึ่งเป็นการขุดเจาะแหล่งก๊าซธรรมชาติในทะเลยแคสเปียน ก็คือ นายดิก เซนีย์ แห่งบริษัทฮารีเบอร์ตัน ในขณะนั้น (ซึ่งก็คือรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา) โดยในวันที่ 27 ตุลาคม 2540 ทั้งบริษัท ยูโนแคล และบริษัท ฮารีเบอร์ตัน เอนเนอร์ยี ต่างแถลงข่าวร่วมกันในโครงการพลังงานในเตอร์กเมนิสถาน
15. เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2544 เพียงแต่ 5 เดือนครึ่งก่อนวันที่ 11 กันยายน 2544 สำนักงานของบุช ก็ได้ต้อนรับนาย ซัยยิด ราห์มาตุลาฮ์ ฮาสเฮมี ผู้แทนพิเศษจากรัฐบาลตาลีบันแห่งอัฟกานิสถาน ทั้ง ๆ ที่กลุ่มดังกล่าวสนับสนุนนายโอซามา บินลาดินอย่างเต็มที่ เพื่อพาชมสหรัฐอเมริกาเพื่อช่วยปรับปรุงภาพจน์รัฐบาลของตาลีบันภายหลังจากที่รัฐบาลตาลีบันได้ทำลายพระพุทธรูปในประเทศอัฟกานิสถาน นายฮาสเฮมีได้นำหนังสือจากรัฐบาลถึงประธานาดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เพื่อเรียกร้องทำให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหรัฐอเมริกาและอัฟกานิสถานและขอให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกายกเลิกการคว่ำบาตรทางการค้าที่ได้กระทำต่ออัฟกานิสถาน นอกจากนี้ผู้แทนพิเศษจากรัฐบาลตาลีบันผู้นี้กลับได้มีโอกาสไปปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งรวมถึง มหาวิทยาลัยยูเอสซี ยูซีแอลเอ ยูซีเบอร์กเลย์ และยังได้ไปที่นิวยอร์ก และต่อไปยังวอชิงตัน เพื่อนำหนังสือส่งให้สำนักงานของนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในที่สุด
16. ภายหลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้บุกโจมตีอัฟกานิสถานแล้ว ก็ได้ปรากฏว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของอัฟกานิสถานก็คือ นายฮามิด คาร์ไซย์ ซึ่งก็เคยเป็นลูกจ้างในฐานะที่ปรึกษาของบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ที่มีชื่อว่า ยูโนแคล บริษัทที่ได้ลงนามสัญญาก่อสร้างท่อส่งน้ำมันจากอุสเบกิสถาน ผ่านไปยังอัฟกานิสถานไปจนสุดท่าเรือที่ปากีสถาน
17. วันที่ 19 มีนาคม 2546 นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช และทหารจากสหรัฐอเมริกาได้บุกประเทศอิรัก ชนชาติที่ไม่เคยบุกโจมตีสหรัฐอเมริกา ชนชาติที่ไม่เคยขู่ที่จะโจมตีสหรัฐอเมริกาและเป็นชนชาติที่ไม่เคยฆ่าประชาชนชาวอเมริกาแม้แต่คนเดียว และไม่มีอาวุธร้ายแรงและอาวุธนิวเคลียร์อย่างที่ถูกกล่าวหาแต่ประการใด อีกทั้งไม่เคยมีรายงานจากซีไอเอว่า ชาวอิรักเป็นผู้สนับสนุนในการโจมตีต่อต้านผลประโยชน์ของคนอเมริกันตั้งแต่ปี 2534 ผลที่ตามมาทำให้สหรัฐอเมริกาต้องใช้จ่ายด้านงบประมาณอย่างมหาศาลทางด้านการทหาร การสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ และยังแลกมาด้วยการทำให้ทาหรอเมริกันถูกฆ่าเสียชีวิตไปมากกว่า 800 นาย และทำให้มีทหารอเมริกันบาดเจ็บอีกประมาณ 4,700 นาย โดยมีผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน การค้าอาวุธ และการก่อสร้าง คนอเมริกันเกิดความหวาดกลัวและวิตกจริตเพื่อใช้เป็นจุดขายทางด้านการเมืองและการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ดีเนื้อหาสาระในภาพยนตร์และหนังสือเรื่องนี้ยังไม่ได้ครอบคลุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา อันได้แก่ การที่นาวิกโยธินของสหรัฐอเมริกา จับกุมและล่วงละเมิดทางเพศ ตลอดจนทรมานทำให้นักโทษชาวอิรักบางส่วนต้องเสียชีวิต เป็นเรื่องที่สร้างเสื่อมเสียให้กับสหรัฐอเมริกาและเป็นการสร้างความโกธรแค้นต่อประชาชนชาวมุสลิมเกือบทั้งโลก
ภายหลังจากที่สารคดีดังกล่าวได้เผยแพร่ออกไปสู่สาธารณชนเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างครอบครัวบินลาดินและครอบครัวบุช อย่างแนบแน่นแล้ว ทำให้นักวิเคราะห์หลายฝ่ายได้สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวที่มีความแปลกประหลาดในระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งล่าสุดนั้น ปรากฏว่ามีการเผยแพร่ภาพออกอากาศคำขู่ของการนายโอซา มา บินลาดิน ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเพียง 5 วัน ซึ่งหากสังเกตผลสำรวจของประชาชนชาวอเมริกันที่มีมาอย่างต่อเนื่องได้แสดงให้เห็นว่าจุดขายของนายจอร์จ ดับเบิลยู บุช คือ ด้านความมั่นคงที่มีคะแนนนำ นายจอห์น แคร์รี่ย์ โดยตลอด ดังนั้นการที่มีภาพออกอากาศคำขู่ของนายโอซามา บินลาดิน จึงทำให้น้ำหนักด้านความมั่นคงมีผลต่อการตัดสินใจเพิ่มมากขึ้น และทำให้ นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุชกลับมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริการอบที่สองในที่สุด
ภายหลังจากภาพยนตร์สารคดีและหนังสือเรื่อง ฟาเรนไฮต์ 9/11 ได้เผยแพร่ไปยังสาธารณชน ได้มีความพยายามจากหลายฝ่ายที่จะกีดกันไม่ให้มีการเผยแพร่ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ในบางประเทศอย่างซาอุดิอาระเบียได้สั่งห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวในประเทศซาอุดิอาระเบียโดยเด็ดขาด
หากข้อมูลจากสารคดีดังกล่าวเป็นความจริง ก็จะทำให้เกิดภาพเชื่อมโยงอย่างต่อเนื่องในส่วนความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างครอบครัวบินลาดินและพระบรมวงศานุวงศ์ของซาอุดิอาระเบียที่มีต่อครอบครัวของบุช และอาจทำให้สถานการณ์ความไม่สงบทางจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยนั้นมีอีกทฤษฎีหนึ่งในความเชื่อมโยงกับเนื้อหาจากสารคดีนี้ได้อย่างน่าสนใจ
เป็นทราบกันดีว่าศาสนาอิสลามมีความขัดแย้งกันอยู่ในโลกนี้ ก็คือ นิกายซุนหนี่ นิกายซีอะห์ และนิกายวะฮาบีย์ และนิกายวาฮะบีย์ถือเป็นนิกายที่เริ่มต้นมาจากประเทศซาอุดิอาระเบียในช่วงศตวรรษที่ 17 และจากนิตยสารต่างประเทศ ไทมส์ ได้เคยอธิบายเรื่องของมุสลิมในโลกว่า นิกาย ดังกล่าวนั้นได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากชาติตะวันตกซึ่งรวมถึงประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งนิกายดังกล่าวหากจะอธิบายให้เกิดความเข้าใจอย่างง่ายก็คือนิกายที่เรียกกลุ่มตัวเองว่า “อิสลามบริสุทธิ์” มีความเชื่อทางความเป็นอิสลามที่บริสุทธิ์ และตัดความเชื่ออื่น ๆ ออกไปซึ่งรวมถึงการต่อต้านด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวในความเชื่อประเพณีและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศและแต่ละท้องถิ่น
นิกายวะฮาบีย์ นอกจากประชากรส่วนใหญ่ในซาอุดิอาระเบียนับถือกันอย่างกว้างขวางแล้ว ยังรวมไปถึงนายโอซามา บินลาดิน กลุ่มอัลกออิดะห์และกลุ่มตาลีบันอีกด้วย นอกจากนี้ยังได้มีการเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางไปในหลายประเทศด้วยการสนับสนุนทางด้านงบประมาณด้านการศึกษาจากประเทศซาอุดิอาระเบียอย่างมหาศาล และจากการให้งบประมาณทางด้านการศึกษาจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ก็ได้ทำให้มีการเผยแพร่ไปในประเทศที่ชาวมุสลิมมีความยากจนและขาดโอกาสทางการศึกษา อันได้แก่ กลุ่มประเทศในทวีปแอฟริกา และยังรวมถึงชาวมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยด้วย ซึ่งในปัจจุบันได้มีการเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง จนมีความเชื่อว่าในปัจจุบันมีการศึกษาทางศาสนาอิสลามนิกายวะฮาบีย์ในประเทศไทยเผยแพร่และทำให้มีจำนวนที่นับถือนิกายวะฮาบีย์ในปัจจุบันใกล้เคียงกับนิกายซุนหนี่แล้ว แต่อาจจะไม่เรียกตัวเองว่า นับถือนิกายวะฮาบีย์ แต่อาจจะเรียกกลุ่มตัวเองว่า สะลาฟียะฮ หรือ สะลีฟียูน หรือมุวะหิดูน ซึ่งก็คือผู้นับถือนิกายวะฮาบีย์ จนเมื่อครั้งหนึ่ง อายะตุลลอฮ โคไมนี่แห่งอิหร่าน ได้เคยมีคำวินิจฉัยว่า “อเมริกันอิสลาม” วะฮาบีย์ได้ขยายตัวในวงการศึกษาของประเทศไทยอย่างกว้างขวาง
ภายหลังจากที่ซาอุดิอาระเบียได้สั่งห้ามเผยแพร่สารคดีเรื่อง ฟาเรนไฮต์ 9/11 ซึ่งเป็นการสั่นคลอนต่อภาพพจน์ของกษัตริย์ฟาฮัดแห่งซาอุดิอาระเบียต่อประเทศมุสลิมจำนวนมาก กษัตริย์ฟาฮัดซึ่งเดิมอุปถัมภ์ค้ำจุนวะฮาบีย์และได้มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นกับครอบครัวบุชทรงประชวรลง จึงได้ทรงแต่งตั้งให้มกุฎราชกุมารอับดุลเลาะห์มีอำนาจมากขึ้น มกุฎราชกุมารอับดุลเลาะห์ได้คุมกำลังทางการทหารและด้านความมั่นคงตั้งแต่ปี 2546 ทรงเห็นว่าต้องการที่จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเรื่องของผลประโยชน์ของซาอุดิอาระเบีย จึงได้เปลี่ยนท่าทีใหม่โดยทรงเลิกจ้างผู้สอนศาสนาจากนิกายวะฮาบีย์จนถึงปัจจุบันกว่า 7,000 คน และทำให้เกิดเป็นที่มาของการก่อการร้ายในซาอุดิอาระเบียตามมา และหันไปจับมือดำเนินนโยบายต่างประเทศร่วมกับอิหร่าน อิยิปต์ คูเวต และบาห์เรน นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ที่ประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามที่มีความต่างนิกายระหว่างซีอะห์กับนิกายซุนหนี่ได้แสดงความร่วมมือกันอย่างมีเอกภาพเป็นครั้งแรก
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2547 สถานีโทรทัศน์อาราบิยาของซาอุดิอาระเบียได้เสนอข่าวว่า สถานการณ์ที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาสที่ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับวะฮาบีย์เหมือนกับที่ซาอุดิอาระเบียกำลังเผชิญหน้าอยู่ มกุฎราชกุมารอับดุลเลาะห์ได้ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดองค์กรที่มีชื่อว่าสันนิบาตมุสลิมโลก หรือรอบิเฎาะห์ ซึ่งเดิมเป็นองค์กรภายใต้ผู้นำศาสนาอิสลาม นิกาย วะฮาบีย์ ได้มีการเปลี่ยนท่าทีครั้งสำคัญโดยการมีมติว่าประเทศมุสลิมทั่วโลกจะต้องไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวหรือแทรกแซงกรณีเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย พร้อมทั้งจะให้ความร่วมมือในการให้การศึกษาทางศาสนาที่ถูกต้องและไม่ให้มีความบิดเบือนและถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำให้เกิดความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย
สารคดีดังกล่าวในส่วนของเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายนั้นเมื่อรวมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย มีความน่าสนใจและเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่อาจจะสามารถนำมาใช้ในการพิจารณาสถานการณ์การก่อการร้ายสากลได้และขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ดีข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาควรจะต้องทำเรื่องเหล่านี้ให้กระจ่ายชัดต่อชาวโลกมิใช่เพิกเฉยโดยไม่ให้คำตอบใด ๆ แต่ถ้าหากข้อมูลบางส่วนนั้นมีความสอดคล้องกันจริง บางทีสังคมทั้งโลกอาจจะต้องหาคำนิยามใหม่ของคำว่า “ผู้ก่อการร้าย” นั้นควรจะหมายถึงใคร?