xs
xsm
sm
md
lg

ถอดบทเรียนเจ้าสาวญี่ปุ่นแต่งงานกับ ChatGPT "หมอเสาวภาฯ" ห่วงเด็กหลง AI น่ารักกว่าคน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เป็นข่าวที่กำลังสร้างกระแสร้อนแรงมากในโซเชียลมีเดีย เมื่อเจ้าสาวชาวญี่ปุ่นวัย 32 ปี ตัดสินใจเข้าพิธีแต่งงานกับ "เจ้าบ่าว AI" ที่สร้างขึ้นจากตัวละครในเกมของตัวเอง โดยใช้เทคโนโลยี ChatGPT ในการปรับแต่งบุคลิกภาพ

หลายคนอาจมองว่านี่เป็นเรื่องแปลก เป็นเรื่องส่วนตัว หรือแม้แต่โรแมนติก

แต่ยังมีอีกมุมมองที่น่าสนใจมากจาก "หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวก" จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นชื่อดัง ที่ออกมาวิเคราะห์เรื่องนี้ในแง่มุมที่ไม่ใช่เรื่องศีลธรรม แต่เป็นเรื่องของ "พัฒนาการเด็กในยุคดิจิทัล"

ก่อนอื่น สถานการณ์ที่เราควรทำความเข้าใจ คือสื่อต่างชาติมองว่าปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่กรณีแปลกประหลาดเฉพาะบุคคล แต่สะท้อนเทรนด์ "Fictoromantic" หรือการหลงรักตัวละครสมมติที่กำลังเติบโตในญี่ปุ่น



ผลสำรวจเผยว่า เด็กสาวมัธยมต้นกว่าร้อยละ 22 เริ่มมีความรู้สึกรักใคร่ต่อตัวละครเสมือนจริง และตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็น "สัญญาณของยุค" ที่ไม่ควรมองข้าม นี่เองคือจุดที่หมอเสาวภาฯ ต้องการให้พ่อแม่ยุคใหม่หยุดคิด

Yurina Noguchi สาวญี่ปุ่นสวมแว่น AR ในงานแต่งงานของเธอกับคู่ใจ AI ของเธอ Lune Klaus Verdure อวตาร์ที่เธอสร้างด้วย ChatGPT

ภาพในแว่น AR ซึ่งสาวญี่ปุ่นจะได้เห็นขณะแลกแหวนกับหนุ่ม AI
หมอบอกว่าประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องแต่งงาน แต่คือเรื่องของความสัมพันธ์กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ และข้อกังวลของหมอไม่ได้อยู่ที่ศีลธรรม แต่อยู่ที่ผลกระทบต่อพัฒนาการเด็ก เนื่องจากเด็กรุ่นปัจจุบัน กำลังเติบโตในโลกที่ความผูกพันทางอารมณ์ อาจไม่จำเป็นต้องเกิดกับมนุษย์จริงๆ อีกต่อไป

*** อันตรายที่มองไม่เห็น

หมอเสาวภาฯ ชี้ให้เห็นสิ่งที่หมอเรียกว่า "อันตรายแบบเงียบๆ" จาก AI ที่มอบ 5 สิ่งที่มนุษย์ตัวจริงให้ไม่ได้ คือ 1.ไม่เคยขัดใจ 2.ไม่หายหน้าไป 3.ไม่ทำให้ผิดหวัง 4.ตอบสนองได้ตลอดเวลา และ 5. ทำให้รู้สึกถูกรับฟัง 100%

ฟังดูดีใช่ไหม? แต่หมอบอกว่าสำหรับสมองมนุษย์ โดยเฉพาะสมองของเด็ก นี่คือความสัมพันธ์ที่ง่ายเกินไป และปัญหาอยู่ตรงที่ชีวิตจริงไม่เคยง่ายแบบนี้

 สาวญี่ปุ่นเตรียมแลกแหวนกับหนุ่ม AI
หมอเตือนว่าถ้าเด็กเติบโตโดยเห็นผู้ใหญ่ทำให้ความสัมพันธ์แบบนี้เป็นเรื่องปกติ สิ่งที่เด็กอาจเรียนรู้โดยไม่รู้ตัวคือความสัมพันธ์ไม่ต้องมีความอดทน

เด็กอาจจะรู้สึกว่าไม่ต้องรับมือกับความไม่พอใจ ไม่ต้องอ่านใจอีกฝ่าย และไม่ต้องจัดการอารมณ์ตัวเอง

หมอบอกว่า นี่ตรงข้ามกับสิ่งที่สมองส่วน Executive Function, Social Brain และ Emotional Regulation ต้องการพัฒนาพอดี และถ้าขาดการฝึกฝนทักษะเหล่านี้ เด็กจะ "ลำบากมาก" ในความสัมพันธ์จริงทั้งกับเพื่อน ครู คู่รัก หรือแม้แต่พ่อแม่

*** AI ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบสองทาง

อีกมุมที่หมอชี้ให้เห็นก็คือ AI ไม่ใช่ "reciprocal relationship" หรือความสัมพันธ์แบบสองทาง เพราะ AI ไม่มีความต้องการจริง ไม่มีความเปราะบาง และไม่มีเสรีภาพในการเลือก

เด็กที่คุ้นเคยกับความสัมพันธ์แบบ"ฉันเป็นศูนย์กลาง"แบบนี้ จะเจอปัญหาหนักในโลกความจริง ที่ความสัมพันธ์ทุกแบบต้องการการให้และรับ การเข้าใจและปรับตัว



คำถามสำคัญที่หมอเสาวภา ฯ ตั้งคำถามตรงๆ คือถ้าเด็กคนหนึ่งบอกว่า "คุยกับ AI แล้วสบายใจกว่าคุยกับคน" เราจะเรียกว่านั่นคือทักษะชีวิต หรือคือสัญญาณเตือน?

คำตอบของหมอคือสัญญาณเตือน ไม่ใช่เพราะ AI ผิด แต่เพราะเด็กกำลังหลีกเลี่ยงพื้นที่ฝึกทักษะความเป็นมนุษย์

*** พ่อแม่ควรทำอย่างไร?


จุดยืนที่หมอเสาวภาแนะนำสำหรับพ่อแม่ทุกท่านคือ AI เป็นเครื่องมือ (Tool) ไม่ใช่ความสัมพันธ์ ดังนั้นสามารถใช้ได้ เรียนรู้ได้ พึ่งพาได้บางส่วน แต่ห้ามแทนที่พื้นที่การฝึกเจ็บ ฝึกง้อ และฝึกเข้าใจคนอื่น


หมอแนะนำว่า พ่อแม่ควรระวัง มากกว่าห้าม ไม่ใช่การห้ามลูกใช้ AI แต่คืออย่าปล่อยให้ AI กลายเป็นที่พึ่งทางอารมณ์หลัก เพราะเด็กต้องเรียนรู้สมการว่า ความสัมพันธ์ที่ดี = มีทั้งความสุข + ความอึดอัด + การปรับตัว + การซ่อมแซม

ในขณะที่ AI ให้แค่ "ความสุข" อย่างเดียว

วันนี้ บรรดาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft และ OpenAI เองก็เริ่มมีมาตรการป้องกันการใช้ AI เพื่อสร้างความสัมพันธ์เชิงชู้สาวที่มากเกินไป เนื่องจากกังวลเรื่องการครอบงำทางจิตใจในกลุ่มผู้ที่มีสภาวะเปราะบาง

ดังนั้น สิ่งที่เราต้องใส่ใจให้มากขึ้น จากเคสที่เจ้าสาวญี่ปุ่นเลือกแต่งงานกับ AI นั้นไม่ควรถูกแชร์ในมุมโรแมนติก แต่ควรถูกใช้เป็นบทสนทนาใหญ่ของสังคม เพื่อให้เราสอนเด็กให้"เป็นมนุษย์" ได้ในโลกที่สิ่งไม่ใช่มนุษย์ นั้นน่ารักกว่า เข้าใจเรามากกว่า และไม่ทำให้เกิดอารมณ์เจ็บช้ำ

หมอบอกว่านี่คือโจทย์จริงของพ่อแม่ยุคนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของอนาคต แต่เป็นเรื่องของตอนนี้ เวลานี้แล้ว.


กำลังโหลดความคิดเห็น