ตลาดแรงงานไทยกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ เมื่อผลสำรวจล่าสุดจาก วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIC) เผยว่า 90% ของนายจ้างต้องการพนักงานที่มีความเข้าใจและใช้งาน AI ได้ ขณะที่ 93% ให้ความสำคัญสูงสุดกับทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ สะท้อนชัดว่าทักษะด้านเทคโนโลยีและภาษาเป็นทักษะหลักที่ขาดไม่ได้ในทุกสายอาชีพ
ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงจุฬธิดา โฉมฉาย คณบดี MUIC กล่าวถึงข้อค้นพบที่สำคัญจากการสำรวจ ว่าทักษะ AI และเครื่องมือดิจิทัลไม่ได้จำกัดอยู่แค่สายเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่กลายเป็นทักษะพื้นฐานของทุกสายอาชีพ ตั้งแต่การตลาด ธุรกิจ ไปจนถึงการบริการ
"ผลสำรวจชี้ชัดว่า 90% ของนายจ้างคาดหวังให้พนักงานมีความเข้าใจและสามารถใช้เครื่องมือ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลและระบบการทำงานแบบดิจิทัลได้อย่างคล่องแคล่ว" ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงจุฬธิดา กล่าว
จากรายงาน Annual Graduate Employer Survey 2025 ที่รวบรวมข้อมูลจากองค์กรชั้นนำ 63 แห่ง ครอบคลุมทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรระหว่างประเทศ พร้อมความคิดเห็นจากบัณฑิตจบใหม่ 412 คน เผยให้เห็นภาพชัดเจนของความต้องการตลาดแรงงานที่กำลังเปลี่ยนไป โดยการสำรวจชี้ชัดว่านายจ้างในประเทศไทยให้ความสำคัญกับ 3 ทักษะหลักที่เป็นหัวใจของความพร้อมในการทำงาน
***3 ทักษะหลัก ตลาดงานต้องการ
1 ใน 3 ทักษะหลักที่แรงงานต้องการคือทักษะการสื่อสารในระดับนานาชาติ โดย 93% ของนายจ้างระบุว่าความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษและภาษาที่สองเป็นทักษะสำคัญที่สุด โดยเฉพาะองค์กรที่ทำธุรกิจในระดับภูมิภาคและนานาชาติต้องการบุคลากรที่เข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสื่อสารได้อย่างมืออาชีพ
ทักษะที่ 2 คือความรู้ด้าน AI และดิจิทัล เนื่องจากนายจ้าง 90% คาดหวังให้พนักงานใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลและระบบดิจิทัลได้คล่องแคล่ว สะท้อนว่า AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในทุกวัน
ทักษะที่ 3 คือความพร้อมในการทำงานจริง โดยมากกว่า 75% ของนายจ้างระบุว่าความสามารถในการปรับตัวและลงมือทำงานได้จริงในปีแรกสำคัญกว่าผลการเรียนหรือวุฒิการศึกษา
*** จุดอ่อนใหม่ จัดการอารมณ์
สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้นายจ้างส่วนใหญ่จะพึงพอใจกับคุณธรรมและการทำงานเป็นทีมของบัณฑิต แต่กว่า 60% พบว่าผู้จบการศึกษาใหม่ยังขาดความมั่นใจในการสื่อสารและการจัดการอารมณ์ในสถานการณ์กดดัน
นายจ้างมองว่าทักษะด้านจิตใจและอารมณ์เป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานในยุคที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยให้เหตุผลว่า "ทักษะทางเทคนิคทำให้ได้งาน แต่ความฉลาดทางอารมณ์คือสิ่งที่ทำให้คนเติบโตในงาน"
*** "ดิจิทัล" อาชีพดาวรุ่งแห่งอนาคต
จากการวิเคราะห์ข้อมูล MUIC ระบุ 5 กลุ่มสายอาชีพที่จะเติบโตสูงใน 5 ปีข้างหน้า ได้แก่ 1. ดิจิทัล-ข้อมูล-AI เช่น นักวิเคราะห์ข้อมูล, วิศวกรข้อมูล, ผู้เชี่ยวชาญด้าน Prompt/Automation 2. ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เช่น นักวิเคราะห์ความปลอดภัยไซเบอร์, ผู้เชี่ยวชาญ GRC/Privacy
3. การท่องเที่ยว-บริการเชิงคุณภาพแบบดิจิทัล เช่น การตลาดดิจิทัลในธุรกิจโรงแรม, การออกแบบประสบการณ์ 4. Healthcare and Wellness การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมโดยใช้ AI และเครื่องมือดิจิทัล และ 5. Green Transformation เช่น นักวิเคราะห์ ESG, การจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน
จากผลสำรวจนี้ MUIC เสนอ 7 แนวทางที่สถาบันการศึกษาไทยควรปรับตัวทันที คือ 1. ฝังทักษะ AI และ Data Analysis ในทุกหลักสูตร ไม่จำกัดแค่สายไอที 2. ผนวกการฝึกงานและเคสจริงจากองค์กรเพื่อลดช่องว่าง "เรียนจบแต่ทำงานไม่เป็น" 3. เน้นฝึกฝนการสื่อสารด้วย "ภาษางาน" ที่ใช้ทำงานจริง เช่น การนำเสนอ การเจรจา การเขียนอีเมลธุรกิจ
4. จัดเวิร์กช็อปแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบเพื่อลดปัญหา "คิดไม่เป็น ตัดสินใจไม่ชัด" 5. ฝึกการทำงานภายใต้แรงกดดันและความเป็นมืออาชีพ 6. ออกแบบเส้นทางทักษะและใบรับรองทักษะเฉพาะทางที่นายจ้างเข้าใจได้ และ 7. ปรับวิชาภาษาให้เป็น "วิชาทักษะทำงาน" ไม่ใช่เพื่อสอบเท่านั้น
เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน MUIC ได้นำร่องปรับหลักสูตรใหม่ 17 สาขา ครอบคลุมทั้งสายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี บริหารธุรกิจ และศิลปศาสตร์ โดยบูรณาการทักษะจำเป็นแห่งยุค AI และดิจิทัลเข้าไปในหลักสูตร พร้อมส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านระบบ I-Design Elective
"เรามั่นใจว่าบัณฑิตที่จบจากหลักสูตรใหม่นี้จะตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานแห่งอนาคต" ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงจุฬธิดา กล่าวทิ้งท้าย.


