xs
xsm
sm
md
lg

ทั้งเสี่ยงทั้งแพง!? ผ่าด้านมืดเทคโนโลยียานยนต์ ตรวจแถวฟีเจอร์ล้ำที่คนขับทั่วโลกเริ่ม "ใจเสีย" ที่ใช้งาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ทุกวันนี้ชาวโลกถูกชวนให้เชื่อว่ารถยนต์สมัยใหม่คือสุดยอดนวัตกรรม มีตั้งแต่ระบบควบคุมความเร็วแบบปรับได้ (Adaptive Cruise Control) ไปจนถึงระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (Lane Assist) ฟังดูน่าทึ่งและช่วยให้ชีวิตทุกคนสบายขึ้น

แต่กระแสบนโลกออนไลน์กลับไม่เห็นด้วย และเริ่มมีการเปิดเผยความจริงที่ซ่อนอยู่ หลายเสียงเชื่อว่าฟีเจอร์ที่ล้ำสมัยเหล่านี้กำลังกลายเป็นมุมมืด ที่ทำให้ผู้ขับขี่จำนวนมากเริ่มเสียใจ และใจเสียที่ได้ใช้งาน

ข้อหาหลักคือเทคโนโลยีเหล่านี้กำลังทำให้กระเป๋าสตางค์รั่ว แถมยังเสี่ยงต่อความปลอดภัย และทำลายประสบการณ์การขับขี่ของทุกคน

***ไม่ส่วนตัว = ไม่ปลอดภัย?

เรื่องใหญ่ที่สุดที่ชาวโลกต้องตระหนัก คือรถยนต์สมัยใหม่มีความเสี่ยงเปลี่ยนสภาพเป็นเครื่องมือสอดแนมเคลื่อนที่ เช่นฟีเจอร์อย่าง "ระบบกล้องตรวจจับผู้ขับขี่ภายในรถ" หรือ Interior Driver Monitoring Cameras

รถยนต์ใหม่บางรุ่นมีกล้องที่หันเข้าด้านในเพื่อตรวจจับว่าผู้ขับกำลังง่วงนอนหรือเสียสมาธิหรือไม่ แม้จะถูกนำเสนอว่าเป็นคุณสมบัติด้านความปลอดภัย แต่หลายข้อมูลชี้ว่านี่คือจุดใหญ่ที่น่ากังวลด้านความเป็นส่วนตัว เนื่องจากกล้องเหล่านี้สามารถติดตามว่าผู้ขับมองไปที่ใด กะพริบตาบ่อยแค่ไหน หรือแม้กระทั่งการแสดงออกทางสีหน้าของผู้ขับ


ในขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์ไม่เปิดเผยเชิงลึกว่าข้อมูลชุดนี้จะถูกนำไปจัดการอย่างไร แต่มีการคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้ที่บริษัทประกันจะใช้ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลในการเกิดอุบัติเหตุ ที่แย่กว่านั้นคือ เทคโนโลยีนี้อาจตีความผิดว่าท่าทางการขับขี่ปกติของผู้ขับเป็นการเสียสมาธิ และส่งการแจ้งเตือนที่ผิดพลาดออกมาได้

ส่วนหน้าจออินโฟเทนเมนต์ขนาดยักษ์ (Infotainment Screens) หรือจอยักษ์บนแผงหน้าปัดอาจให้อารมณ์นวัตกรรมอนาคต แต่อาจเป็นฝันร้ายสำหรับความปลอดภัยก็ได้ ต่างจากปุ่มหรือตัวบิดที่ผู้ขับเคยปรับได้ด้วยความรู้สึก แต่หน้าจอสัมผัสต้องใช้สายตาในการมอง มีโอกาสเพิ่มการเสียสมาธิได้

มีรายงานว่าการปรับเครื่องปรับอากาศ เพลง หรือระบบนำทางบนจอสัมผัส อาจทำให้ผู้ขับละสายตาจากถนนนานถึง 5 วินาทีหรือมากกว่านั้น และหากหน้าจอเหล่านี้เสีย ฟังก์ชันพื้นฐานของรถ เช่น การไล่ฝ้าหรือการใช้วิทยุ อาจไม่ทำงานด้วย

*** กับดักค่าบำรุงรักษา

ฟีเจอร์ที่ดูเหมือนจะช่วยประหยัด อาจกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าของรถต้องควักเงินในกระเป๋าเพิ่ม เช่น ระบบสตาร์ท/ดับเครื่องยนต์อัตโนมัติ (Auto Start Stop Systems)

ระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อประหยัดน้ำมันโดยการดับเครื่องยนต์ทุกครั้งที่รถหยุดนิ่ง แต่การสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดการสึกหรอเพิ่มขึ้นกับมอเตอร์สตาร์ท แบตเตอรี่ และแม้กระทั่งแท่นยึดเครื่องยนต์

ช่างยนต์หลายคนรายงานว่ารถที่มีเทคโนโลยีนี้จำเป็นต้องเปลี่ยนมอเตอร์สตาร์ทเร็วขึ้นถึง 30% หมายความว่าการประหยัดน้ำมันเพียงเล็กน้อย กลับมาพร้อมกับภาระค่าบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังอาจทำให้การตอบสนองของคันเร่งล่าช้า เมื่อผู้ขับต้องการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเพื่อรวมเข้ากับช่องจราจรหรือหลีกเลี่ยงอันตราย


ส่วนหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ (Panoramic Sunroofs) ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ให้ความรู้สึกหรูหรา แต่มาพร้อมข้อเสียคือการดักจับความร้อน ทำให้ห้องโดยสารร้อนขึ้นอย่างมากในฤดูร้อน ขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มที่จะรั่วซึม และหากมอเตอร์ที่ใช้ในการเปิดปิดเสีย ค่าซ่อมอาจเกิน 1,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 35,000 บาท ซึ่งบางรายงานยังพบว่าซันรูฟแตกโดยไม่มีสาเหตุเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของแรงดันหรืออุณหภูมิ

*** ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ADAS ดาบสองคม?

หันมาดูเทคโนโลยีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ที่ได้กลายเป็นคุณสมบัติมาตรฐานในรถยนต์หลายรุ่น เช่น ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (Lane assist) หรือระบบเบรกฉุกเฉิน (emergency braking) ล่าสุดมีรายงานว่าผู้ขับขี่แคนาดาพบเหตุการณ์ระบบทำงานผิดพลาด ชนรถคู่กรณี และทางการแคนาดากำลังเร่งออกกฎหมายกำกับดูแลฟีเจอร์นี้

ทั้งที่ระบบเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อชดเชยความประมาทหรือความผิดพลาดของผู้ขับ และระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking) จะเป็นคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมและมีหลักฐานยืนยันถึงการลดอุบัติเหตุชนท้ายอย่างชัดเจน แต่ความปลอดภัยของระบบช่วยจัดกึ่งกลางเลน นั้นยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่

ระบบช่วยจัดกึ่งกลางเลนจะใช้กล้องและเซ็นเซอร์ในการตรวจจับเส้นแบ่งเลน และทำการปรับพวงมาลัยเพื่อรักษารถให้อยู่กึ่งกลางเลนอยู่เสมอ ระบบนี้ช่วยในการบังคับเลี้ยวและอาจช่วยให้ผู้ขับขี่ผ่อนคลายลงเล็กน้อยในการขับขี่ระยะยาว แม้ว่าผู้ขับขี่จะยังต้องวางมือบนพวงมาลัยก็ตาม

แต่กรณีของ Tobias Marzal ชาวรัฐควิเบก กลับพบประสบการณ์ที่ระบบช่วยเหลือการขับขี่ในรถ Subaru Crosstrek ปี 2021 เกิดทำงานชดเชยมากเกินไป (overcompensated) และบังคับให้รถเบี่ยงจนชนเข้ากับรถคันอื่น

ขณะที่ Marzal กำลังขับรถบนทางหลวงหมายเลข 30 ในแคนาดา จึงสังเกตว่าพวงมาลัยเริ่มดึงไปทางซ้ายเล็กน้อย ทันใดนั้น เมื่อรถเข้าโค้ง พวงมาลัยก็กระตุกไปทางขวาอย่างรุนแรงและทันที ทำให้รถชนเข้ากับรถยนต์ที่อยู่ด้านขวามือ

แม้ว่าผู้ขับขี่รถทั้งสองคันจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ Marzal ต้องรับผิดชอบความเสียหายรวมมูลค่าประมาณ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับทั้งรถของตัวเองและคู่กรณี แน่นอนว่า Marzal ไม่ใช่กรณีแรก เพราะตั้งแต่ปี 2020 องค์กรขนส่งแคนาดาหรือ Transport Canada ได้รับข้อร้องเรียน 6 ครั้งที่เกี่ยวข้องกับฟังก์ชัน Lane assist หรือ Lane departure ในรถยนต์หลายยี่ห้อและหลายรุ่น ข้อร้องเรียนมีตั้งแต่การแสดงข้อความผิดพลาด, ประสิทธิภาพที่ไม่ดีในสภาพที่มีน้ำแข็งหรือหิมะ, ไปจนถึงการแก้ไขพวงมาลัยอย่างกะทันหัน


ฝั่งผู้เชี่ยวชาญนั้นระบุว่าระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนแต่ละระบบมีการตั้งโปรแกรมที่แตกต่างกันไป บางระบบทำงานได้อย่างนุ่มนวล แต่บางระบบอาจก่อให้เกิดความสับสนได้หากผู้ขับขี่ไม่คุ้นเคย ปัญหานี้อาจเกิดขึ้นได้ง่ายเมื่อรถกำลังแซงรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ขับชิดเส้นกึ่งกลางเลน สัญชาตญาณของผู้ขับขี่คือการเบี่ยงให้ห่างจากรถบรรทุก แต่ระบบถูกตั้งโปรแกรมให้พยายามรักษารถให้อยู่กึ่งกลางเลนเสมอ

ในอีกด้าน ผู้เชี่ยวชาญยังตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นไปได้ที่กล้องภายในรถของ Marzal ตีความสิ่งที่เห็นผิดพลาด ซึ่งหลังเกิดอุบัติเหตุ Marzal ได้โพสต์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกลุ่ม Facebook ของ Subaru ซึ่งได้รับความเห็นมากกว่า 300 รายการ และความเห็นหนึ่งระบุถึงอุบัติเหตุที่คล้ายคลึงกันอย่างมาก และหลายคนกล่าวว่าได้ตัดใจปิดฟีเจอร์ไปแล้ว

***กุญแจรีโมท-ปุ่มสตาร์ท ขโมยง่าย


ระบบกุญแจรีโมทแสนสะดวกสบายถูกมองเป็นขุมทรัพย์สำหรับโจรขโมยรถ เพราะอาชญากรสามารถใช้เครื่องขยายสัญญาณรีเลย์ ขโมยรถของใครก็ได้ภายในเวลาไม่ถึง 60 วินาที แม้ว่ากุญแจจะอยู่ภายในบ้าน และปัญหานี้เริ่มร้ายแรงมากขึ้นจนบริษัทประกันบางแห่งกำลังขึ้นเบี้ยประกัน หรือปฏิเสธที่จะคุ้มครองรถยนต์ที่มีระบบกุญแจรีโมทที่มีช่องโหว่

อีกสิ่งที่น่าอันตรายที่สุดคือการอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ Over-The-Air (OTA Updates) แม้ค่ายรถเอ่ยปากสัญญาว่าจะปรับปรุงรถ แต่ OTA ก็อาจนำมาซึ่งข้อบกพร่องใหม่ ประสิทธิภาพที่ช้าลง หรือทำให้รถหยุดทำงานชั่วคราว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ผู้ผลิตรถยนต์บางรายกำลังหาทางล็อกฟีเจอร์หลักไว้ เพื่อรอให้ลูกค้าจ่ายค่าซอฟต์แวร์ เช่นคุณสมบัติอย่างเบาะนั่งอุ่น อาจต้องมีการสมัครสมาชิก เพื่อให้รถกลายเป็นอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ต้องเสียค่าบริการรายเดือน

สรุปแล้ว ไม่ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะมีด้านสว่างหรือด้านมืดอย่างไร ผู้ขับขี่ก็ควรทำความคุ้นเคยกับทุกคุณสมบัติบนรถตั้งแต่เริ่มซื้อ ซึ่งเมื่ออยู่บนถนนแล้ว ก็ควรให้ความสนใจและมีสายตาที่เฉียบคมตลอดเวลา เพื่อการขับขี่ที่มีสติ และไม่ต้องรู้สึกเสียใจที่เปิดใช้งานฟีเจอร์ใหม่บนรถของเรา.
กำลังโหลดความคิดเห็น