วงการขุดบิทคอยน์ร้อนฉ่า! ต้นทุนขุด 1 BTC ทะลุ 70,000 ดอลลาร์ (ราว 2.4 ล้านบาท) ในไตรมาส 2 ปี 2568 หลังพลังงานพุ่งและแฮชเรตพีคสุดขีด บริษัทขุดยักษ์ใหญ่เร่งอัพเกรดเครื่องมือสู้ศึก แต่กำไรเริ่มหด ส่งสัญญาณว่าขุดบิทคอยน์จะยิ่งยาก
ขุดบิทคอยน์ แพงขึ้น ยากขึ้น!
วงการขุดบิทคอยน์กำลังเผชิญพายุครั้งใหญ่! รายงานล่าสุดจาก TheMinerMag บริษัทวิจัยด้านการขุดบิทคอยน์ เผยว่าในไตรมาส 2 ปี 2568 (เมษายน-มิถุนายน) ต้นทุนเฉลี่ยในการขุดบิทคอยน์ 1 เหรียญพุ่งทะลุ 70,000 ดอลลาร์ (ราว 2.4 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นกว่า 9% จากไตรมาสแรกที่อยู่ที่ 64,000 ดอลลาร์ และพุ่งจาก 52,000 ดอลลาร์ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 ตัวการสำคัญมาจากการที่ราคาพลังงานที่พุ่งสูง และ แฮชเรตเครือข่าย (hashrate) ที่แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทำไมต้นทุนเหมืองขุดถึงพุ่งสูงขึ้น?
การขุดบิทคอยน์เปรียบเสมือนการแข่งขันสุดโหดที่ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาลเพื่อแก้สมการคณิตศาสตร์และยืนยันธุรกรรมบนบล็อกเชน แต่เมื่อแฮชเรตใช้ซึ่งวัดพลังประมวลผลรวมของเครือข่ายบิทคอยน์ พุ่งถึง 943 EH/s (exa hashes per second)
ตามข้อมูลจาก Blockchain.com เปิดเผยข้อมูลว่าในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ความยากในการขุด (mining difficulty) ก็ทะยานสู่ระดับสูงสุดที่ 126.9 ล้านล้าน เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ก่อนลดลงเล็กน้อยเหลือ 126.4 ล้านล้านในวันที่ 14 มิถุนายน
อย่างไรก็ตามยิ่งแฮชเรตสูง ความยากก็ยิ่งเพิ่ม นักขุดต้องใช้เครื่องจักรที่ทรงพลังและกินไฟมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ต้นทุนพลังงานที่พุ่งกระฉูด รายงานระบุว่าในไตรมาสแรกปี 2568 ค่าไฟเฉลี่ยของนักขุดเพิ่มเป็น 0.081 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) จาก 0.041 ดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2567 โดยเฉพาะบริษัทอย่าง Terawulf และ Bitdeer ที่ต้นทุนขุดพุ่งเกิน 25% จากไตรมาสก่อน
นักขุดยักษ์ใหญ่ อาจต้องปรับตัวก่อนปิดกิจการ
ท่ามกลางต้นทุนที่พุ่งสูง บริษัทขุดบิทคอยน์จดทะเบียนในสหรัฐฯ เช่น MARA Holdings, CleanSpark, Riot Platforms และ IREN กำลังเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอด โดยเพิ่มแฮชเรตส่วนตัว ซึ่งทาง MARA รายงานว่าแฮชเรตของบริษัทเพิ่มขึ้น 30% ในเดือนพฤษภาคม ขณะที่ CleanSpark เพิ่มแฮชเรต 7.5% เป็น 45.6 EH/s และผลิตบิทคอยน์ได้ 694 เหรียญ เพิ่มจากเดือนเมษายน 9%
การอัพเกรดเครื่องขุด นักขุดหันมาใช้เครื่อง ASIC รุ่นใหม่ เช่น Bitmain Antminer S21 Pro ที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 15 จูลต่อเทราแฮช (J/TH) ช่วยประหยัดพลังงานและเพิ่มกำไร
ขณะที่กระจายความเสี่ยง โดยบริษัทอย่าง Core Scientific และ Hut 8 เริ่มผันตัวไปให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยใช้ศูนย์ข้อมูลและพลังงานที่มีอยู่ เพื่อชดเชยรายได้ที่หดจากบิทคอยน์
นอกจากนี้อัตราการใช้พลังงานหมุนเวียนโดยรายงานจาก Bitcoin Mining Council ปี 2567 ชี้ว่า 59% ของการขุดทั่วโลกใช้พลังงานยั่งยืน เช่น ไฟฟ้าพลังน้ำและพลังงานแสงอาทิตย์ในควิเบกและไอซ์แลนด์ เพื่อลดต้นทุนและแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อม
ฝันร้ายของนักขุดเหมืองรายย่อยหรือโอกาสรวย?
ขณะที่ยักษ์ใหญ่ปรับตัวได้ นักขุดรายย่อยที่ใช้เครื่อง ASIC รุ่นเก่าหรืออยู่ในพื้นที่ค่าไฟแพงกำลังเจอฝันร้ายความยากที่เพิ่มขึ้นและรางวัลบล็อกที่ลดลงจาก Bitcoin Halving ปี 2567 (จาก 6.25 BTC เหลือ 3.125 BTC ต่อบล็อก) ทำให้กำไรหดหาย บางรายต้องย้ายไปใช้คลาวด์ไมนิง หรือเข้าร่วมพูลขุดเพื่อเอาตัวรอด
อย่างไรก็ตาม ราคาบิทคอยน์ที่ยังคงสูงกว่า 100,000 ดอลลาร์ (ราว 3.4 ล้านบาท) ณ เดือนมิถุนายน 2568 ยังเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์สำหรับนักขุดที่บริหารต้นทุนได้ดี
สหรัฐฯ ครองแฮชเรตโลก
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาตามปริมาณการขุด สหรัฐฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางการขุดบิทคอยน์โดยครองสัดส่วนแฮชเรตโลกเกือบ 40% ด้วยพลังงานราคาถูกในรัฐเท็กซัสและไวโอมิง
รายงานจาก JPMorgan ระบุว่าแฮชเรตของบริษัทขุดในสหรัฐฯ ที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้น 99% ในรอบปี เทียบกับแฮชเรตเครือข่ายโลกที่เพิ่ม 55% นอกจากนี้ ประเทศอย่างปากีสถานก็เริ่มผงาด โดยวางแผนจัดสรรไฟฟ้า 2,000 เมกะวัตต์ให้การขุดบิทคอยน์และศูนย์ข้อมูล AI
อนาคตการขุดบิทคอยน์จะรุ่งหรือร่วง?
การพุ่งของต้นทุนขุดบิทคอยน์สะท้อนถึงการเติบโตของเครือข่ายที่แข็งแกร่งและความเชื่อมั่นในมูลค่าระยะยาวของบิทคอยน์ แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่า อุตสาหกรรมนี้กำลังเข้าสู่ยุคแห่งประสิทธิภาพ ซึ่งนักขุดที่ไม่ปรับตัวอาจถูกคัดออก ขณะที่ยักษ์ใหญ่ที่มีเงินทุนและเทคโนโลยีจะครองตลาด
ด้านนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าการที่แฮชเรตพุ่งถึง 1.046 ZH/s (zetahash per second) ในเดือนมิถุนายน 2568 อาจเป็นสัญญาณว่าราคาบิทคอยน์จะพุ่งต่อเพราะแฮชเรตที่สูงมักนำหน้าขาขึ้นของราคา อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอย่างราคาพลังงานโลกและนโยบายดอกเบี้ยของ Fed ที่อาจไม่ลดลงในเร็ว ๆ นี้ อาจเพิ่มแรงกดดันให้ต้นทุนขุดสูงขึ้นไปอีก
นักลงทุนเตรียมตัวอย่างไร?
สำหรับนักลงทุนคริปโตและหุ้นบริษัทขุด การพุ่งของต้นทุนขุดอาจส่งผลกระทบทั้งในแง่ดีและร้าย โดยโอกาสดีคือบริษัทขุดที่บริหารต้นทุนได้ดี เช่น MARA และ CleanSpark อาจได้เปรียบ และหุ้นของบริษัทเหล่านี้อาจน่าสนใจหากราคาบิทคอยน์ยังพุ่งต่อ
ขณะที่ความเสี่ยง หากต้นทุนขุดยังสูงขึ้นและราคาบิทคอยน์ปรับฐาน บริษัทที่มีหนี้สินหรือประสิทธิภาพต่ำอาจเจอปัญหาการเงิน
ขณะที่ส่วนของพลังงานและสิ่งแวดล้อมนักลงทุนควรมองหาบริษัทที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดความเสี่ยงจากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น
สงครามเหมืองขุดขุดบิทคอยน์ กลายเป็นสนามรบแห่งอนาคต
จากต้นทุนที่พุ่งเกิน 2.4 ล้านบาทต่อบิทคอยน์ สู่แฮชเรตที่ทำลายทุกสถิติ วงการขุดบิทคอยน์ในปี 2568 คือสนามรบที่โหดหินแต่เต็มไปด้วยโอกาส นักขุดที่ปรับตัวได้จะรุ่ง ส่วนที่ล้าหลังอาจร่วง สำหรับนักลงทุน นี่คือช่วงเวลาที่ต้องจับตาทั้งราคาบิทคอยน์และกลยุทธ์ของบริษัทขุดอย่างใกล้ชิด