xs
xsm
sm
md
lg

Nutanix ชี้ "AI ที่ Edge" ฮอตแรง จับตาตลาด APJ โต 2 เท่า ปี 2028

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นูทานิคซ์ (Nutanix) ภูมิใจยกระดับการใช้ Generative AI สร้างแอปพลิเคชันได้ง่ายและรวดเร็วในเวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมง คาดตลาดเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (APJ) ลุยลงทุนกว่า 110,000 ล้านดอลลาร์ ปั้นโครงสร้างพื้นฐาน ซอฟต์แวร์ และบริการเพื่อรองรับแอปพลิเคชัน AI ที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในปี 2028 เผย "AI ที่ Edge" เป็น 1 ใน 3 เทรนด์แรงทั่ว APJ มั่นใจบริษัทกำลังก้าวจากวงการโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวอร์จ (HCI) ไปสู่การเป็นบริษัทแพลตฟอร์มมอบความสามารถใหม่ที่กำลังมีอิทธิพลและขยายตัววงกว้างอย่างรวดเร็ว

นูทานิคซ์ย้ำว่าลูกค้าสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องราคาและฟีเจอร์ของ VMware ที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการเข้าซื้อกิจการของ Broadcom โดยการย้ายไปยังแพลตฟอร์ม Nutanix NC2 บน AWS ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมทั้งในด้านต้นทุน ความเร็ว และคุณค่า ยืนยันนูทานิคซ์เป็นผู้ช่วยให้องค์กร IT ที่มีงบประมาณจำกัดสามารถ "ทำได้มากขึ้นด้วยทรัพยากรที่น้อยลง" ลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ และส่งเสริมนวัตกรรม

นูทานิคซ์ยังอัปเดทตัวเลขล่าสุด ว่าได้เพิ่มลูกค้าใหม่มากกว่า 2,700 รายในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดในรอบกว่า 4 ปี ทำให้มีลูกค้าทั่วโลกรวมเกือบ 30,000 ราย สะท้อนถึงความต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นในตลาดโลก

***เกิดข้อมูลที่ไหน AI ควรทำงานที่นั่น

นายเจย์ ทูเซธ (Jay Tuseth) รองประธานและผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (APJ) ของนูทานิคซ์ กล่าวว่า “การประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ที่ AI ปลายขอบเครือข่าย” หรือ AI at Edge คือ 1 ใน 3 เทรนด์หลักที่กำลังเกิดขึ้นทั่วภูมิภาค สะท้อนความจำเป็นในการมีโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น และผลักดันให้นูทานิคซ์พัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นมาตอบสนองความต้องการในภูมิภาค APJ ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

“การสร้างข้อมูลกำลังเปลี่ยนจากศูนย์ข้อมูลแบบดั้งเดิมไปสู่ Edge มากขึ้น ทำให้เกิดความต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความตื่นเต้นอย่างมากเกี่ยวกับ AI โดยเฉพาะ AI แบบ Generative แต่ก็มีข้อกังวลเกี่ยวกับ ธรรมาภิบาลข้อมูล (governance), ความปลอดภัย และอธิปไตยของข้อมูล (data sovereignty) องค์กรต่างๆ ต้องการนำ AI มาใช้อย่างปลอดภัยและมีนโยบายที่ถูกต้อง”

เจย์ ทูเซธ (Jay Tuseth) รองประธานและผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (APJ) ของนูทานิคซ์
เจย์ชี้ว่าการขยายตัวของเทรนด์ AI ที่ Edge ส่งผลถึงธุรกิจของนูทานิคซ์อย่างมีนัยสำคัญ โดยเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ การวางตำแหน่งในตลาด และโอกาสในการเติบโต โดยเฉพาะในภูมิภาค APJ (เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น) ไม่ต่ำกว่า 3 ด้าน ได้แก่ 1. การเปลี่ยนผ่านจากผู้ให้บริการ HCI สู่บริษัทแพลตฟอร์ม โดยเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว นูทานิคซ์ถูกมองว่าเป็นผู้จำหน่ายโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวอร์จ (HCI) ที่ไม่ยึดติดกับไฮเปอร์ไวเซอร์ใดๆ อย่างไรก็ตาม การมาถึงของ AI ได้เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ การเป็นบริษัทแพลตฟอร์ม ซึ่งมาพร้อมกับความสามารถใหม่ๆ ที่กำลังถูกสร้างขึ้นและเร่งขยายตัวมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้สอดคล้องกับความต้องการในการจัดการสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและกระจายตัวมากขึ้น ซึ่งรวมถึง AI ที่ Edge ด้วย

ด้านที่ 2 คือการตอบสนองต่อความต้องการ เจย์อธิบายว่าเมื่อการสร้างข้อมูลวันนี้ได้เปลี่ยนจากการอยู่ในศูนย์ข้อมูลแบบดั้งเดิมไปสู่ Edge มากขึ้น ทำให้มีความต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถประมวลผลข้อมูลได้ใกล้แหล่งกำเนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Generative AI และ Agentic AI ซึ่งต้องการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ซับซ้อนมากขึ้น เพราะต้องใช้ความสำคัญกับการกำกับดูแลข้อมูล ความปลอดภัย และอธิปไตยของข้อมูล

“องค์กรต่างๆ ต้องการนำ AI มาใช้อย่างปลอดภัยและมีนโยบายที่เหมาะสม นูทานิคซ์กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาความสามารถที่ช่วยให้สามารถจัดการแอปพลิเคชัน AI หลายตัวพร้อมกันได้อย่าง เรียบง่าย โดยทำงานร่วมกับพันธมิตรในตลาด เช่น Nvidia และ Hugging Face และยังคงรักษาแนวคิดแพลตฟอร์มแบบเปิด ที่ผ่านมา แพลตฟอร์มของนูทานิคซ์ทำให้การสร้างแอปพลิเคชัน AI แบบ Generative ทำได้ง่ายและรวดเร็ว โดยใช้แนวคิด "คลิกแทนการโค้ด" และสามารถสร้างแอปพลิเคชันได้ในเวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมง นอกจากนี้ โซลูชันยังมีระบบกำกับดูแลสำหรับแอปพลิเคชัน AI ที่ฝังอยู่ภายใน”

ด้านที่ 3 คือโอกาสในการเติบโต นูทานิคซ์ยอมรับว่าเห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วในการนำ AI ที่ Edge มาใช้ในตลาด APJ โดยองค์กรแรกที่ซื้อความสามารถ AI นี้ในระดับโลกคือที่สิงคโปร์ จุดนี้บริษัทวิจัย IDC คาดการณ์ว่าการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซอฟต์แวร์ และบริการเพื่อรองรับแอปพลิเคชัน AI ในภูมิภาค APJ จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเป็น 110 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 และนูทานิคซ์กำลังเร่งเข้าสู่ตลาดนี้

***3 เทรนด์แรง APJ

นอกจากการขยายตัวของเทรนด์ AI ที่ Edge นูทานิคซ์พบว่าอีก 2 เทรนด์ที่เป็นแนวโน้มสำคัญในตลาดวันนี้คือโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องยืดหยุ่นรองรับยุคแห่งความผันผวน และการป้องกัน-ลดช่องว่างด้านการปกป้องข้อมูลในโลกของคลาวด์ (Cloud-Native)


เจย์อธิบายว่าสภาพแวดล้อม Cloud-Native มีความซับซ้อนมากกว่าศูนย์ข้อมูลแบบดั้งเดิม โดยข้อมูลและแอปพลิเคชันกระจายตัวอยู่ทั้งใน Core, Edge และ Public Cloud การปกป้องข้อมูลและแอปพลิเคชันอย่างราบรื่นตลอดทั้งระบบจึงกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก โดยเฉพาะสำหรับทีม IT ที่มีงบประมาณจำกัด

“สิ่งที่จำเป็นคือแนวทางร่วมในการจัดการแอปพลิเคชันและข้อมูล ไม่ว่าจะทำงานบน Edge, Core หรือ Cloud และไม่ว่าจะใช้สภาพแวดล้อมแบบ Bare metal, Virtualization หรือ Containerization และ Microservices แน่นอนว่า Kubernetes เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ แต่ไม่สมบูรณ์ในแง่ของบริการข้อมูลแบบดั้งเดิม นูทานิคซ์เข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ด้วยการนำเสนอการสนับสนุนระดับองค์กรพร้อมความสามารถที่ฝังอยู่ภายในระบบ ทำให้เครื่องมือใช้ง่ายขึ้น และช่วยให้องค์กรทำสิ่งต่างๆได้มากขึ้นด้วยทรัพยากรที่น้อยลง"

ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นเพื่อรองรับยุคแห่งความผันผวน เจย์อธิบายว่าองค์กรต่างๆ กำลังเผชิญกับความท้าทายระดับประเทศที่อยู่นอกเหนือการควบคุม เช่น ค่าใช้จ่าย Cloud ที่คาดการณ์ไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ และการตัดสินใจของแบรนด์ผู้ขาย

เจย์ยกตัวอย่างการเข้าซื้อกิจการ VMware โดย Broadcom เป็นเคสสำคัญที่สะท้อนความไม่แน่นอนและความไม่สบายใจในตลาด ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและราคา ทำให้ลูกค้าจำนวนมากมองหาทางเลือกอื่น ดังนั้นสิ่งที่ลูกค้าต้องการคือ ความสามารถในการย้ายแอปพลิเคชัน และ ความเป็นอิสระในการตัดสินใจเพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นนูทานิคซ์จึงมุ่งมั่นใน แพลตฟอร์มแบบเปิด ซึ่งช่วยให้การย้ายแอปพลิเคชันระหว่าง On-premise และ Public Cloud ทำได้ง่าย เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มเดียวกัน นอกจากนี้ นูทานิกซ์ยังรองรับ Kubernetes ที่เป็นไปตามมาตรฐาน CNCF และมีเครื่องมือย้ายข้อมูล ช่วยให้ลูกค้าสามารถย้ายแอปพลิเคชันจาก VMware ไปยังแพลตฟอร์มของนูทานิคซ์ได้อย่างราบรื่น

ปัจจุบัน นูทานิคซ์เป็นองค์กรที่ดำเนินงานผ่าน ช่องทางพันธมิตร 100% โดยได้รับเลือกให้เป็นผู้นำด้านการจัดการโครงสร้างพื้นฐาน Hybrid Cloud และในปีที่ผ่านมามีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 2,700 ราย ทำให้มีลูกค้าทั่วโลกรวมเกือบ 30,000 ราย.


กำลังโหลดความคิดเห็น