การแข่งขันในตลาดฟูดเดลิเวอรี มูลค่ากว่า 1.4 แสนล้านบาท จากการสำรวจของ ‘โมเมนตัม เวิร์ก’ ในปี 2024 และแกร็บ (Grab) มีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 46% โดยมูลค่านี้เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 12% สะท้อนถึงการเติบโตของบริการเรียกรถผ่านแอป และส่งอาหารในไทย
ในปี 2024 ยังเป็นปีแรกที่ธุรกิจของ ‘แกร็บ’ เข้าสู่ขาขึ้นของการสร้างรายได้ หลังผ่านจุดคุ้มทุนในช่วงปลายปี 2023 และเริ่มเห็นถึงกลยุทธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของทั้งตลาด ที่ไม่ได้ทุ่มเงินลงทุนเพื่อสร้างให้เกิดความต้องการในการใช้งาน เพราะบริการฟูดเดลิเวอรีได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคแล้ว
ความน่าสนใจของ ‘แกร็บ’ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ เริ่มเห็นความสนุกที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี ภายใต้การส่งไม้ต่อในการบริหารจาก ‘วรฉัตร ลักขณาโรจน์’ มาเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่อย่าง จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม ที่เข้ามาเป็น กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย ซึ่งจะเริ่มหน้าที่นี้อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 เม.ย. หลังเข้าร่วมงานกับแกร็บ ตั้งแต่ปี 2018
ภายใต้กลยุทธ์ S.M.A.R.T ที่เน้นความยั่งยืน การขยายตลาด การมอบความคุ้มค่า การรักษาผู้ใช้ และการพัฒนาเทคโนโลยี ที่จะช่วยให้แบรนด์ของแกร็บได้รับความไว้ใจอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับรักษาความเป็นผู้นำในบริการเรียกรถผ่านแอป และบริการสั่งอาหาร ที่ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“ต้องยอมรับว่าแกร็บ อยู่ในธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเรียกรถ หรือฟูดเดลิเวอรี เพียงแต่ในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดทำให้ดีมานด์ของบริการสั่งอาหารผ่านแอปเติบโตพุ่งสูงขึ้นมาก แต่ทางแกร็บมองว่าธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากนี้คือบริการเรียกรถ”
เพราะถึงแม้ว่าสภาพเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา ต่อเนื่องมาถึงต้นปีนี้ที่ยังทรงๆ แต่ปริมาณการใช้งานบริการต่างๆ ในธุรกิจนี้ยังมีแนวโน้มที่เติบโตมากๆ อยู่ดี ซึ่งไม่ใช่แค่ในไทย แต่เป็นทั้งภาพรวมของภูมิภาคอาเซียน
ประกอบกับการแข่งขันในตลาดฟูดเดลิเวอรีที่มีคู่แข่งที่แข็งแรง ยิ่งทำให้สนุกมากขึ้น เพราะมาช่วยส่งเสริมให้การใช้งานของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะการชูประเด็นในเรื่องของความคุ้มค่า ที่กลายเป็นรูปแบบใหม่ในการให้บริการสำหรับลูกค้าที่ไม่ได้มีความเร่งด่วนในการใช้บริการ ช่วยลดต้นทุน และประหยัดค่าใช้จ่ายให้ผู้ใช้งานด้วย
“แกร็บ มีการเน้น 2 แนวทางหลักๆ คือสร้างในเรื่องของความคุ้มค่า และสานนโยบายของภาครัฐ อย่างที่เห็นในปีที่ผ่านมาแกร็บทำงานร่วมกับ ททท. เพื่อส่งเสริมกิจกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และยังต่อเนื่องมาในปีนี้ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลต่างๆ ซึ่งการมีแกร็บจะช่วยในเรื่องการเดินทางของนักท่องเที่ยวให้สะดวกมากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม อีกปัจจัยที่คิดว่าสำคัญ คือเรื่องของความปลอดภัย ซึ่งที่ผ่านมาแกร็บมีการคิดค้นฟีเจอร์ที่มาช่วยให้ผู้ใช้รับรู้ถึงความปลอดภัยในการใช้งาน อย่างการเพิ่มระบบอัดเสียงขณะโดยสารที่สามารถใช้เป็นหลักฐานกรณีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หรือการแชร์การเดินทาง ให้มีการแจ้งเตือนเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง
นอกจากนี้ ยังมีในเรื่องของการเป็นแบรนด์ผู้นำ อย่างการออกแคมเปญมากระตุ้นต่างๆ ที่ทำก่อนใคร มีการนำเทคโนโลยีมาช่วยให้ผู้ใช้งานประหยัดค่าใช้จ่าย เพิ่มบริการที่จะมาตอบโจทย์ผู้ที่ใช้งานเป็นประจำ ให้ประสบกาณณ์ที่พิเศษมากขึ้น เพื่อที่จะเป็นผู้นำที่มีนวัตกรรมตลอดเวลา
ทั้งนี้ กยุทธ์ S.M.A.R.T ของแกร็บที่จะขับเคลื่อนธุรกิจในปีนี้ ประกอบไปด้วย 1.Sustainability (ความยั่งยืน) ที่มีตั้งแต่การส่งเสริมการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า และจักรยานไฟฟ้า ที่มีความร่วมมือกับทาง BYD ทำแคมเปญส่วนลดราคาพิเศษ มีการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ขับสามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น
โดยในปีที่ผ่านมามีรถยนต์ที่เป็น Grab EV เข้าสู่ระบบแล้วกว่า 10,000 คัน และคาดว่าจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากโควตาที่ได้ราคาพิเศษจากทาง BYD ทั้งภูมิภาคนี้ 50,000 คัน ที่ต้องรอดูว่าจะจัดสรรเข้ามาในประเทศไทยทั้งหมดกี่คันในอนาคต
ไม่นับรวมกับการส่งเสริมการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีตัวเลือกการไม่รับช้อนส้อมพลาสติกที่ปัจจุบันผู้ใช้กว่า 90% ตอบรับในการใส่ใจสิ่งแวดล้อม และในอนาคตจะมีการเพิ่มโปรโมชันให้ร้านค้าลดเศษขยะเหลือทิ้ง ในการมีช่วงเวลาอาหารราคาพิเศษก่อนปิดร้านเป็นตัวเลือกเพิ่มเติม
2.Market Expansion (การขยายตลาด) ที่เริ่มมีการนำศิลปิน-ดารา มาช่วยขยายฐานผู้ใช้ไปสู่กลุ่ม Gen Z และ Alpha มากขึ้น โดยเฉพาะการมีฟีเจอร์อย่าง Family Account ให้ผู้ใช้งานได้เรียกรถให้ผู้สูงอายุ (Baby Boomer) หรือบุตรหลาน (Gen Alpha) รวมกับการเข้าไปสนับสนุนอีเวนต์ระดับโลก
3.Affordability (ความคุ้มค่า) ที่จะขยายบริการ Grab Saver ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ประหยัดค่าใช้จ่าย ใช้ระยะเวลาในการรอรถ หรือรออาหารที่นานขึ้นเล็กน้อย แต่ประหยัดค่าส่ง หรือค่าโดยสารต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาผู้ใช้งาน GrabCar Saver เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า GrabBike Saver เพิ่มขึ้น 4 เท่า Delivery Saver เพิ่มขึ้น 3 เท่า คิดเป็นมูลค่าส่วนลดกว่า 2,000 ล้านบาท
4.Retention (การรักษาผู้ใช้) การมีแพกเกจอย่าง GrabUnlimited แสดงให้เห็นแล้วว่าคนที่สมัครมีการสั่งอาหารที่ถี่กว่าถึง 3 เท่า และในปีนี้จะมีการเพิ่มสิทธิพิเศษอย่าง Grab VIP สำหรับลูกค้าที่มียอดใช้งาน 30,000 บาทต่อไตรมาสให้ลูกค้าได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนแพลตฟอร์มอย่างคูปองเรียกรถ-ส่งอาหารเร็ว
5.Tech and Innovation (เทคโนโลยีและนวัตกรรม) ที่มีการนำ AI มาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ มีการเพิ่มบริการจองรถล่วงหน้าเพื่อให้มารับที่สนามบินโดยสามารถระบุไฟลต์และเวลาเดินทางเพื่อเป็นข้อมูลให้คนขับได้ ไปจนถึงบริการจองร้านอาหารที่ร่วมกับแพลตฟอร์ม Chope และการพัฒนา QR Payment เป็นทางเลือกชำระเงินเพิ่มเติม