เร้ดแฮท (Red Hat) ประกาศ OpenShift AI พร้อมขายตลาดไทยเพื่อดันองค์กรเข้าถึงโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ในยุคเอไอ ระบุเป็น 1 ใน 4 เรือธงหลักสำหรับขับเคลื่อนลูกค้าปี 2024 วางกลยุทธ์ไม่แข่งเซกเมนต์เครื่องมือสร้าง AI แต่มุ่งเป็นพันธมิตรให้บริการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรันแอปพลิเคชัน AI ที่ลูกค้าพัฒนาขึ้นเอง มั่นใจตลาด AI ไทยสดใสเพราะรัฐบาลไทยให้ความสำคัญเรื่องการยกระดับประเทศเป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาค ด้าน AIS เผยกำลังศึกษา OpenShift AI ขณะที่ N Health ระบุว่าสนใจทำยูสเคสในอนาคต
น.ส.สุพรรณี อำนาจมงคล ผู้จัดการประจำประเทศไทย เร้ดแฮท กล่าวในงาน TechTalks Solutions Symposium 2024 ว่าเร้ดแฮทวางโฟกัสล่าสุดที่โอเพ่นไฮบริดคลาวด์ในยุค AI ซึ่งเป็นการใช้ระบบคลาวด์หลายรูปแบบพร้อมกันบนมาตรฐานเปิดที่ไม่ได้มีจุดขายเรื่องความสามารถ “รันอะไรก็ได้” เท่านั้น แต่จะสามารถรองรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่กำลังมีบทบาทในทุกด้านของสังคม ทั้งการศึกษา การทำงาน และชีวิตประจำวัน
“ถ้ามอง AI กับประเทศไทยจะพบแรงผลักดันสำคัญจากรัฐบาล วันนี้รัฐบาลไทยให้ความสำคัญมากและต้องการยกระดับประเทศไทยให้เป็นฮับ AI ของภูมิภาคภายในปี 2027 เชื่อว่ากลยุทธ์นี้จะนำไปสู่การสร้างเม็ดเงิน 48,000 ล้านบาท ขณะที่หลายกระทรวงยังวางแผนนำ AI มาพัฒนาเมืองไทย” สุพรรณีกล่าว “AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราแล้ว เร้ดเฮทเชื่อว่า AI จะเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่จะมาขับเคลื่อนตรงนี้ เชื่อว่าทุกองค์กรมีแนวคิด “ทำงานมากขึ้น แต่ใช้ทรัพยากรน้อยลง” ซึ่งการทำได้จะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้งานง่าย ต้องพัฒนาแอปพลิเคชันได้รวดเร็ว และต้องรองรับปัญญาประดิษฐ์และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (AI ML) ที่สำคัญคือต้องให้ทีมงานทำงานอย่างอัตโนมัติได้ โดยใช้คนน้อยลง และแม่นยำมากขึ้น”
หลักคิดนี้ทำให้เร้ดแฮทวาง 4 เทคโนโลยีใหม่เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนลูกค้าสำหรับปีนี้ เทคโนโลยีแรกคือสินค้าหลักอย่าง OpenShift ที่จะเป็นเรือธง และฟีเจอร์ใหม่ที่รองรับการทำเวอร์ชวลไลซ์ในอนาคต ต่อมาคือ Trusted Software Supply Chain ซึ่งจะโฟกัสเรื่องความท้าทายที่เห็นชัดอย่างดาต้า เพราะองค์กรมีข้อมูลที่อ่อนไหว จึงจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานให้ข้อมูลปลอดภัยและทำ AI ได้ สำหรับเทคโนโลยีที่ 3 บริษัทเตรียมไว้เพื่อการทำ AI ซึ่งใช้ทรัพยากรมาก จึงเปิดตัว OpenShift AI ที่รองรับการทำงานของปัญญาประดิษฐ์บนไฮบริดคลาวด์โดยเฉพาะ และสุดท้ายคือ Ansible LightSpeed & Event-Driven Ansible ตัวช่วยในการทำงานอัตโนมัติที่ยืดหยุ่น
“OpenShift AI พร้อมขายตั้งแต่ต้นปี เรือธงของปีนี้คือทั้ง 4 ตัว แต่ AI เป็นสิ่งที่เราพูดถึงและเชื่อว่าจะมีการใช้งานมากในอนาคต ซึ่งยังต้องทำงานร่วมกับลูกค้า เพื่อสร้างทักษะบุคลากร” สุพรรณีกล่าว “ทั้ง 4 โซลูชันมีแค่เครื่องมือ แต่เรื่องคนเป็นสิ่งที่จะต้องอบรม ปีนี้เราไม่ได้มุ่งแข่งขันกับผู้ผลิตเครื่องมือ AI รายอื่น แต่เราจะเป็นพันธมิตรในการให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรันแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ลูกค้าไปซื้อมา หรือพัฒนาขึ้นเอง“
ในมุมการแข่งขันบนสมรภูมิ AI เร้ดแฮทมั่นใจว่าการที่ผู้ให้บริการรายหลักในตลาดมีให้บริการโครงสร้างพื้นฐานอยู่แล้วไม่ใช่ปัญหา เนื่องจากเร้ดแฮทสามารถเป็นทางเลือก และแต่ละเครื่องมือล้วนมียูสเคสที่เหมาะสมต่างกัน “เร้ดแฮทมียูสเคสบางอย่างที่เหมาะกับการใช้งานตรงนั้น ขึ้นอยู่กับยูสเคสและโจทย์ลูกค้าแต่ละที่ เพื่อให้สามารถใช้เครื่องมือต่างกันบนสกิลเซ็ตเดียวกัน และบริหารจัดการได้ง่าย” สุพรรณีระบุ “สำหรับเป้าหมายปีนี้ เร้ดแฮทมองที่กลยุทธ์โอเพ่นไฮบริดคลาวด์ เราต้องการให้ลูกค้ารองรับได้ ทั้งเวิร์กโหลดบนระบบที่พัฒนาขึ้นเองภายในบริษัท หรืออาจเป็นแอปพลิเคชันจาก ISV ต่างๆ และสิ่งที่เรามองจะโฟกัสปีนี้คือเวิร์กโหลด AI / ML”
ในขณะที่เร้ดแฮทเชื่อว่าลูกค้าจะต่อยอดจากการใช้ OpenShift ปัจจุบัน มาเป็น OpenShift AI ที่มุ่งตอบโจทย์กระแส AI ซึ่งน่าจะเข้ามามีบทบาทสูง แต่ด้วยความที่ AI เป็นสิ่งใหม่ องค์กรไทยจึงยังอยู่ในช่วงการศึกษา โดยเฉพาะองค์กรด้านโทรคมนาคมและเฮลท์แคร์ที่ตื่นตัวกับการพัฒนา AI บนโอเพ่นไฮบริดคลาวด์
นายศุภชัย พานิชายุนนท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจพัฒนาโซลูชั่นส์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ยอมรับว่ากำลังอยู่ระหว่างศึกษาเรื่อง OpenShift AI ของเร้ดแฮท โดยที่ผ่านมา แนวทางพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของ AIS นอกเหนือจากการออกแบบโปรโมชันที่เหมาะกับลูกค้า คือการรวบรวมข้อมูลให้คอลเซ็นเตอร์ตอบลูกค้าได้โดยไม่ต้องเปิดหลายหน้าจอ โดยสามารถประมวลผลและสรุปข้อมูลลูกค้าได้ครบบนหน้าจอเดียว
ปัจจุบัน AIS มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการเป็น "Cognitive Tech-Co" หรือองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ ดำเนินการธุรกิจหลักคือ ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ ธุรกิจอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร และดิจิทัลเซอร์วิส ที่ผ่านมา AIS เป็นลูกค้า OpenShift Container Platform เพื่อสร้างโอเพ่นไฮบริดคลาวด์ที่ช่วยเพิ่มความคล่องตัวและส่งมอบบริการสู่ตลาดได้รวดเร็วมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็เป็นลูกค้า Red Hat Enterprise Linux, JBoss, OpenShift และ Red Hat’s Consulting Services โดยมีการใช้งาน AI บนผลิตภัณฑ์ของเจ้าอื่น
นายธวัชชัย เสรีวัฒนพงษ์ General Manager, Digital Efficiency บริษัท เนชั่นแนล เฮลท์แคร์ ซิสเท็มส์ จำกัด หรือ N Health กล่าวในทิศทางเดียวกันว่ายังต้องมีการศึกษาและรับข้อมูลเพิ่มเติมของ OpenShift AI เพื่อให้บริการด้านสุขภาพ โดย N Health มีความสนใจทำยูสเคสร่วมกันกับเร้ดแฮท เนื่องจากสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคือการใช้ AI มาเกี่ยวเนื่องกับเครื่องมือแพทย์ ซึ่งจะต่อยอดจากปัจจุบันที่มีการนำคลาวด์มาใช้งานจนลดเวลาการพัฒนาแอปพลิเคชันได้หลายเท่าเมื่อเทียบกับกระบวนการดั้งเดิม
N Health ถือเป็นบริษัทในเครือ BDMS ที่ให้บริการด้านการสนับสนุนทางการแพทย์ และธุรกิจโรงพยาบาลให้แก่โรงพยาบาลชั้นนำ ครอบคลุมการให้บริการมากกว่า 80 สาขา ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ นอกจากการใช้งาน OpenShift ปีนี้บริษัทได้ขยายแผนงานในการทำไฮบริดคลาวด์กับกลุ่มแอปพลิเคชันใหม่เพื่อรองรับการทำงานและเวิร์กโหลดที่ยืดหยุ่นบนพื้นฐานการลงทุนที่เหมาะสม ที่ผ่านมา N Health ใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น Red Hat Enterprise Linux และ OpenShift เพื่อให้แอปพลิเคชันทำงานอย่างไม่สะดุดบนสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ ทั้งระบบที่ติดตั้งภายในองค์กร และบนคลาวด์