ถึงแม้ว่าอุตสาหกรรมคริปโตกำลังเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนในช่วงตลาดกระทิง แต่ในขณะเดียวกัน ก็ได้เห็นพัฒนาการสำคัญของ Bitcoin , DeFi , Stablecoins และ NFT ซึ่งสะท้อนแนวโน้มเชิงบวกของระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัล โดย Binance Research ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเชิงลึก พร้อมด้วยความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อเผยแพร่เป็นรายงานที่จะฉายทิศทางภูมิทัศน์ของโลกคริปโตในปี 2567 นี้
เจี่ยซวน ชัว ผู้เชี่ยวชาญจากทีม Binance Research ได้แสดงความคิดเห็นว่า “จากการที่เราทำการสังเกตการพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมคริปโตในปี 2566ที่ผ่านมา เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2567 ทั้งในเรื่องของ Bitcoin halving การเปลี่ยนแปลงของอุปทานเหรียญ stablecoin หรือการฟื้นตัวของ On-chain metrics โดยสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของปัจจัยที่จะมากำหนดความเป็นไปของอุตสาหกรรมในปีนี้ ซึ่งการที่สถาบันทางการเงิน นักลงทุน และผู้ใช้สามารถตามทันแนวโน้มและทิศทางต่างๆ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถคว้าโอกาสในการเติบโตไว้ได้”
เทรนด์คริปโตปี 2567 และ การฟื้นตัวของ Bitcoin
ในปี 2566 การฟื้นตัวของ Bitcoin เริ่มต้นขึ้นด้วยการมาถึงของ Ordinals protocol ของเคซีย์ โรดาร์มอร์ (Casey Rodarmor) นักพัฒนาซอฟท์แวร์ผู้เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์ ที่สามารถดึงดูดความสนใจทั้งจากกลุ่มคนที่ชื่นชอบคริปโต และนักลงทุนการเงินแบบดั้งเดิม ตามมาด้วย Bitcoin NFT และความคาดหวังของการอนุมัติ U.S. bitcoin ETF ที่จะมาช่วยผลักดันมูลค่าตลาดของ Bitcoin และสถานะของ Bitcoin ในระบบนิเวศทางการเงินให้แข็งแกร่งขึ้น
ขณะที่การตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับคำขอ BTC ETF จำนวน 13 รายการ มีกำหนดจะเกิดขึ้นในปี 2567 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของกระบวนทัศน์ภาพรวมด้านกฎระเบียบที่อาจเกิดขึ้นในปีหน้า ทั้งนี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา ศาลสหรัฐฯ มีคำตัดสินอย่างเด็ดขาดให้กับ Grayscale ในกรณีข้อพิพาทกับ ก.ล.ต. เกี่ยวกับการแปลง Grayscale Bitcoin Trust (GBTC) ให้เป็นสปอต BTC ETF ซึ่งการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้กลายเป็นตัวเร่งให้ผู้เล่นรายใหญ่ เช่น BlackRock Fidelity และ Invesco ยื่นใบสมัคร BTC ETF ในเดือนต่อมา
ทั้งนี้ การมาถึงของ Bitcoin halving หรือการลดจำนวนลงครึ่งหนึ่งของ Bitcoin ในทุกๆ สี่ปี ที่จะเกิดขึ้นในเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2567 นี้ ได้กลายเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่จะทำให้สถานะของ Bitcoin ในฐานะ "ทองคำดิจิทัล" และสินทรัพย์ที่ปลอดภัยแข็งแกร่งขึ้น โดยเมื่อพิจารณาถึงอุปทานสูงสุดคงที่ของ BTC ที่ 21,000,000 เหรียญ การลดลงครึ่งหนึ่งทำให้เกิดอุปทานที่จำกัดซึ่งจะทำให้เหรียญมีราคาเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป โดยมีการคาดการณ์ว่าหลังจากการเกิด Bitcoin halving ในครั้งนี้ รางวัลจะลดลงจาก 6.25 BTC ต่อบล็อกเป็น 3.125 BTC ต่อบล็อก ซึ่งจะยิ่งช่วยเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัลนี้
นอกจากนี้ Ordinals protocol ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปี 2566 โดยใช้ "ทฤษฎีลำดับ" เพื่อระบุหมายเลข satoshi แต่ละตัวทั้ง 100,000,000 sats ในแต่ละ BTC โดยไม่ซ้ำกัน ซึ่งนวัตกรรมนี้ทำให้เกิดการสร้าง "Bitcoin NFT" ที่ถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของ Bitcoin โดย Ordinals protocol ยังได้จุดประกายให้เกิดโทเคนมาตรฐานใหม่ BRC-20 ในเดือนมีนาคม 2566 ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักพัฒนาให้สามารถสร้างและโอนโทเคนดิจิทัลชนิดที่ทุกเหรียญสามารถแลกเปลี่ยนและใช้งานทดแทนกันได้ (Fungible token) ได้บน Bitcoin เป็นครั้งแรก โดยการปรากฏตัว Ordinals protocol นั้น นับเป็นการมาช่วยเพิ่มสีสันและเติมเต็มนวัตกรรมให้กับระบบนิเวศของ Bitcoin เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2567 ได้เป็นอย่างดี
อุปทานของ Stablecoin
อุปทานของ Stablecoin หรือสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความมั่นคงสูง ทำหน้าที่เป็นมาตรวัดเงินทุนที่มีอยู่สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์คริปโต ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มอุปสงค์ของคริปโต (Potential buying pressure) ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดก็ตาม โดยในไตรมาสที่ 4/2566 การเปลี่ยนแปลงสุทธิรายไตรมาสในอุปทานของ Stablecoin ห้าอันดับแรกตามมูลค่าตลาดมีทิศทางไปในเชิงบวก ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 1/2565 ซึ่งการติดตามตัวชี้วัดนี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งในอนาคต เพื่อเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว หรือเป็นแนวโน้มขาขึ้นที่ยั่งยืน
ปริมาณการซื้อขาย NFT
ปริมาณการซื้อขาย NFT ได้แตะระดับต่ำสุดในรอบปีอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – กันยายน 2566 แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีแนวโน้มการกลับตัวเกิดขึ้นในเดือนตุลาคมก่อนที่จะเพิ่มขึ้นอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน โดย NFT ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ Bitcoin NFT ด้วยปริมาณการซื้อขายมากกว่า 375 ล้านดอลลาร์ แซงหน้าแม้กระทั่ง Ethereum ซึ่งนี่ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของ Bitcoin ที่หลายคนต่างกล่าวว่าไม่เหมาะกับ NFT และแอปพลิเคชันอื่นๆ นอกเหนือจากธุรกรรมแบบ peer-to-peer (P2P) โดยตัวเลขของ NFT ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงยังถือเป็นการส่งสัญญาณการฟื้นตัวหลังจากที่ราคา NFT ลดลงเป็นเวลาหลายเดือน โดยการติดตามแนวโน้มเหล่านี้ในปี 2567 อาจเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญในการประเมินความยั่งยืนของตลาดด้วยเช่นกัน
ค่าธรรมเนียมการดำเนินงาน
เมื่ออุตสาหกรรมคริปโตเติบโตเต็มที่และโปรโตคอลต่างๆ ก้าวไปสู่ยุคของการสร้างรายได้ ค่าธรรมเนียมที่สร้างโดยโครงการคริปโตชั้นนำได้ถูกรวมเข้ามาเป็นหนึ่งในเกณฑ์ชี้วัดด้วยเช่นกัน โดยในปี 2566 โครงการ 20 อันดับแรกมีค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นถึง 88% นับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน นำโดย Ethereum ที่มีค่าธรรมเนียมสูงเป็นสองเท่าของโปรโตคอลอื่นๆ ตามมาด้วย Lido และ Uniswap ที่มีค่าธรรมเนียมมากเป็นอันดับสองในโลก DeFi นอกจากนี้ OpenSea ยังได้รับค่าธรรมเนียม NFT สูงกว่า Manifold เกือบสองเท่า รวมถึงยังมากกว่า Blur ถึงสองเท่า โดยการที่ค่าธรรมเนียมเติบโตขึ้นอย่างยั่งยืนนั้นได้ตอกย้ำให้เห็นถึงความเป็นไปได้เชิงโมเดลทางธุรกิจ รวมถึงยังกระตุ้นให้เกิดการติดตามเพื่อเสาะหาอัตราค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมที่สุดในปีหน้าอีกด้วย
Layer 1s
Ethereum ยังคงครองอันดับหนึ่งของแพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะ (Smart contract) โดยมีโซลูชันทางเลือกอื่นๆ ในเลเยอร์ 1 ที่กำลังก้าวเข้ามาท้าทายตำแหน่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น Solana ที่มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นถึง 56% หรือ Toncoin ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งด้วยการจับมือกับ Telegram นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาที่สำคัญอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในแพลตฟอร์มเลเยอร์ 1 ทั้งการที่ Ethereum ได้ถอน ETH ที่ฝากไว้ค้ำประกัน (stake) ในการเปิดตัว opBNB ของ BNB Chain (BNB Chain’s opBNB) ซึ่งเรากำลังตั้งตารอการพัฒนาใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2567 ซึ่งจะกำหนดภูมิทัศน์ของคริปโตต่อไป
การมาถึงของ SocialFi
การคาดหวังถึงศักยภาพทางสังคมของแอปพลิเคชันบล็อกเชนได้เกิดขึ้นให้เห็นมานานแล้ว ซึ่งสิ่งนี้ได้ส่งผลให้เกิดการบรรจบกันของ DeFi และโซเชียลมีเดีย จนกลายเป็น SocialFi หรือ Social Finance ที่แปลว่า “การเงินเพื่อสังคม” โดยในเดือนพฤศจิกายน 2566 friend.tech ได้รับค่าธรรมเนียมโปรโตคอลมากถึง 25 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งยังได้รับความสนใจจากเหล่าอินฟลูเอนเซอร์นอกวงการคริปโตอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของแอปโซเชียล Web3 ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ยังมีโครงการ SocialFi อื่นๆ อีกมากมายที่มีความน่าสนใจ อย่าง Farcaster Lens Protocol และ Binance Square ทั้งนี้ ในปี 2567 SocialFi จะยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้น พร้อมทั้งจะยังเป็นตัวกำหนดรูปแบบการโต้ตอบทางโซเชียลบน Web3 ในอนาคตอีกด้วย
ความคาดหวังในปี 2567
เมื่อเราก้าวเข้าสู่รุ่งอรุณของปี 2567 มุมมองเชิงบวกได้กระจายไปทั่วอุตสาหกรรมคริปโต ด้วยบรรยากาศแห่งความตื่นเต้นและนักลงทุนหน้าใหม่ที่มาเข้าร่วมเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย โดยการที่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมคอยติดตามเกณฑ์ชี้วัดและเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจากนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้สามารถกำหนดทิศทางภูมิทัศน์ของโลกคริปโตในปี 2567 ต่อไป