xs
xsm
sm
md
lg

CEO ทั่วโลกยก AI อิมแพกต์มากสุด แซงพิษเศรษฐกิจ-เงินเฟ้อ-พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กลุ่มผู้บริหารระดับซีอีโอยก AI คือเทคโนโลยีที่สร้างผลกระทบสูงสุดต่อภาคอุตสาหกรรม การ์ทเนอร์พบครึ่งหนึ่งของซีอีโอทั่วโลกเผยว่า “การเติบโต (Growth)” เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีความสำคัญเป็นอันดับแรก ชี้ส่วนใหญ่เชื่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและถดถอยจะเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ และส่งผลกระทบไม่ลึก ยอมรับปัญหาเงินเฟ้อและความอ่อนไหวด้านราคากำลังทำให้พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุด
 
มาร์ค ราสกิโน รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า Generative AI จะส่งผลกระทบอย่างสูงต่อธุรกิจและรูปแบบการดำเนินงานต่างๆ อย่างไรก็ตาม ความกลัวที่จะตกเทรนด์หรือพลาดโอกาสทางธุรกิจกลับเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของตลาดเทคโนโลยี

"AI กำลังเข้าไปสู่จุดที่ผู้บริหารที่ยังไม่ลงทุนในเทคโนโลยีนี้เริ่มกังวลว่าพวกเขาอาจพลาดบางสิ่งที่สำคัญในการแข่งขัน"


ผลสำรวจของซีอีโอและผู้บริหารระดับสูงของการ์ทเนอร์ พบว่า 21% ระบุว่าปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่สุดและเชื่อว่าจะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมไปในอีก 3 ปีข้างหน้านี้ ชื่อเต็มของรายงานคือ The 2023 Gartner CEO and Senior Business Executive Survey เป็นรายงานประจำปี ที่จัดทำขึ้นเพื่อสำรวจมุมมองของบรรดาผู้บริหารธุรกิจอาวุโสกว่า 400 ราย ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีรายได้และขนาดองค์กรแตกต่างกัน จากทั้งภูมิภาคอเมริกาเหนือ (North America) ยุโรป เอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาใต้


คริสติน โมเยอร์ รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า เมื่อต้องจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ซีอีโอรู้สึกลังเลแต่ยังเดินหน้าไปต่อ โดยซีอีโอเกินครึ่งเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและถดถอยในปีนี้จะกินเวลาช่วงสั้นๆ โดยผลสำรวจยังเผยให้เห็นว่ากระแสเงินสด เงินทุน และการระดมทุนมีการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

“เป็นเรื่องน่ากังวลที่ซีอีโอดูเหมือนจะไม่ให้ความสำคัญกับประสิทธิผลมากเท่าที่ควรในช่วงภาวะเงินเฟ้อ หรืออาจเป็นเพราะพวกเขามองว่าปัญหาเงินเฟ้อจะไม่กลายเป็นปัจจัยถาวรของภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ ผู้นำและซีอีโอต้องนำระบบอัตโนมัติมาปรับใช้เพื่อออกแบบวิธีการทำงาน สร้างกระบวนการและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้มีประสิทธิภาพ แทนที่การผลักภาระต้นทุนไปให้ลูกค้า” โมเยอร์ กล่าว

โมเยอร์อธิบายว่า แม้องค์กรจะเผชิญกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ถาโถมเข้ามา แต่ครึ่งหนึ่งของผู้บริหารระดับสูงระบุว่าการเติบโต (Growth) เป็นความสำคัญเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจอันดับแรกในอีก 2 ปีข้างหน้านี้ โดยยังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีอยู่ในอันดับต้นๆ รองลงมา คือ ประเด็นด้านแรงงาน 

ในช่วงหลัง 3 ปีแห่งความผันผวน การจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินธุรกิจของซีอีโอเริ่มมั่นคง โดยผู้นำในระดับผู้บริหารกำลังมองทะลุผ่านช่วงเวลาวิกฤตรอบด้านไปสู่ช่วงเวลาแห่งการขับเคลื่อนการแข่งขันในยุคถัดไปที่ยึดพนักงานที่มีความสามารถ (Talent) ความยั่งยืน (Sustainability) และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) เป็นปัจจัยขับเคลื่อนและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยมีการกล่าวถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น 25% จากการสำรวจเมื่อปีก่อน นับเป็นครั้งแรกที่ความยั่งยืนติด 10 อันดับแรกของความสำคัญเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจ และการ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2569 ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมจะมีความสำคัญสูงกว่าหมวดเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง


ในอีกด้าน ซีอีโอ 22% ระบุว่าเงินเฟ้อ (Inflation) เป็นความเสี่ยงที่สร้างความเสียหายต่อธุรกิจมากที่สุด และเกือบหนึ่งในสี่ของบรรดาซีอีโอคาดการณ์ว่าในปีนี้ความอ่อนไหวด้านราคา (Price Sensitivity) ที่สูงขึ้นสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สุดต่อความคาดหวังของลูกค้า อย่างไรก็ตาม การเพิ่มราคาสินค้าและบริการยังเป็นแนวทางรับมือกับปัญหาเงินเฟ้อที่มีความสำคัญที่สุด (44%) ตามด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุน (36%) และการเพิ่มประสิทธิผล รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพและการใช้ระบบอัตโนมัติ (21%)

เมื่อถามถึงผลกระทบของความเสี่ยงต่างๆ ที่มีต่อธุรกิจ ซีอีโอ 26% ระบุว่าการขาดแคลนบุคลากรเป็นความเสี่ยงที่สร้างความเสียหายให้องค์กรมากที่สุด ดังนั้นการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถจึงเป็นสิ่งที่ผู้บริหารควรให้ความสำคัญสูงสุด โดยความกังวลเกี่ยวกับค่าตอบแทนคือการเปลี่ยนแปลงใหญ่สุดของพนักงานและพฤติกรรมของพนักงานในอนาคต รองลงมาคือ ความต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้น และการทำงานระยะไกลหรือไฮบริด

“ท่ามกลางสภาวะเงินเฟ้อจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ค่าจ้างมีความสำคัญมาก แต่ในวงจรเศรษฐกิจก่อนหน้านี้ ปัญหาการว่างงานมักจะบ่อนทำลายอำนาจของตลาดแรงงาน” มาร์ค ราสกิโน กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น