ซีอีโอ "NTT ประเทศไทย" ประกาศเดินหน้าขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทยหลังการลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลที่ชลบุรี 3 พันล้านบาท มั่นใจบริการที่หลากหลาย โซลูชันที่ยั่งยืน และโซลูชันความปลอดภัยทางไซเบอร์ของ NTT จะสนับสนุนเป้าหมายที่ประเทศไทยตั้งไว้ในการเป็นประเทศที่มีรายได้สูง หรือ high-income nation ภายในปี 2580
NTT ประเทศไทยนั้นเป็นบริษัทในเครือ NTT Ltd. Asia Pacific บทบาทสำคัญหนึ่งของ NTT ในเส้นทางการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทย คือ เสริมแกร่งความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับธุรกิจไทยด้วย Managed Security Services ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน แพลตฟอร์ม และแอปพลิเคชัน ทั้งหมดจะต่อยอดจากการที่บริษัทได้ลงทุน 3 พันล้านบาทในการพัฒนาศูนย์ข้อมูลใหม่และใหญ่ที่สุด ซึ่งก็คือ Bangkok 3 Data Center (BKK3) ที่จะเปิดให้บริการในช่วงครึ่งหลังของปี 2567
ในขณะที่ BKK3 ถูกวางตัวเป็นขุมพลังในการมอบแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย NTT ยังมุ่งรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการจัดเก็บข้อมูล โดยได้ร่วมมือกับ Japan Network Access Point (JPNAP) และ Bangkok Neutral Internet exchange (BKNIX) ทำให้ศูนย์ข้อมูล Bangkok 2 เป็นศูนย์กลางสำหรับการแลกเปลี่ยนเครือข่ายระหว่างประเทศ โดยตอบสนองความต้องการของตลาดเกิดใหม่ด้วย
***ปกป้ององค์กรไทย ท่ามกลางภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงไป
นายสุทัศน์ คงดำรงเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นทีที (ประเทศไทย) จำกัด ผู้รับผิดชอบการดำเนินธุรกิจในกัมพูชา พม่า ลาว และไทย มองว่าเมื่อภัยคุกคามความปลอดภัยทางไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น NTT จึงมุ่งช่วยเหลือธุรกิจไทยในการปรับปรุงท่าทางการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ผ่านบริการรักษาความปลอดภัยที่มีการจัดการ หรือ Managed Security Services ทั้งโซลูชันด้าน Secure Hybrid Workplace, Identity and Access Management, Secure Access Service Edge (SASE), Endpoint Detection and Response (EDR) และการรักษาความปลอดภัยเว็บและอีเมล
"ความเชี่ยวชาญของ NTT ในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ จะมอบความสามารถด้านความปลอดภัยที่แข็งแกร่งแก่ลูกค้าในประเทศไทย ด้วยการใช้ประโยชน์จากโซลูชันเหล่านี้ องค์กรต่างๆ สามารถสร้างสถานที่ทำงานแบบไฮบริดที่ปลอดภัย ปกป้องสภาพแวดล้อมระบบคลาวด์ และรับรองแอปพลิเคชันและข้อมูลทางธุรกิจที่ปลอดภัย"
สำหรับเป้าหมายนับจากนี้ NTT จะมุ่งสร้างมาตรฐานใหม่ในบริการคลาวด์และดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทย โดยจะเน้นให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่ปรับขนาดได้ การเชื่อมต่อโครงข่าย และความยั่งยืน เห็นได้ชัดจากศูนย์ข้อมูลของบริษัท โดยเฉพาะศูนย์ข้อมูล Bangkok 3 ที่กำลังจะเริ่มให้บริการนั้นได้รับการออกแบบเพื่อรองรับการใช้งานวงกว้างระดับไฮเปอร์สเกล สามารถจัดหาแพลตฟอร์มการเชื่อมต่อระหว่างกันแบบมัลติคลาวด์ ขณะที่สถานที่ตั้งของศูนย์ข้อมูลของ NTT ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำซึ่งไม่เสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ ช่วยให้องค์กรมั่นใจในความปลอดภัยและความต่อเนื่องในการดำเนินงาน
นอกจากนี้ NTT ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2573 และสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593
ในภาพรวม NTT สามารถสร้างความแตกต่างจากผู้เล่นรายอื่นในตลาดไทยช่วงหลังการระบาดใหญ่ ที่ผ่านมา NTT ได้เร่งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในประเทศไทยโดยนำเสนอบริการต่างๆ เช่น โซลูชัน 5G ส่วนตัว (Private 5G) และบริการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงระบบคลาวด์ โซลูชัน 5G ส่วนตัวของบริษัทช่วยให้สามารถตัดสินใจได้แบบเรียลไทม์ที่เอดจ์ ในขณะที่บริการการแปลงระบบคลาวด์ช่วยให้การนำเทคโนโลยีไปใช้เป็นไปอย่างราบรื่น และทำให้ธุรกิจมีความคล่องตัวและการจัดการความปลอดภัยที่แข็งแกร่งขึ้น
ที่สุดแล้ว สุทัศน์ทิ้งท้ายว่า NTT มีฐานที่แข็งแกร่งในประเทศไทยและดำเนินกิจการในประเทศมานานหลายปี ตลาดในประเทศไทยมีวิวัฒนาการ และ NTT ได้พัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถสำหรับอุตสาหกรรมไอทีผ่านความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำ นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นพันธมิตรกับ AWS เพื่อเสนอหลักสูตรที่ให้ผู้สำเร็จการศึกษามีโอกาสทำงานกับ NTT ทันทีหลังจากสำเร็จการศึกษา ทั้งหมดสะท้อนโอกาสของ NTT ในตลาดไทย ที่ขึ้นอยู่กับความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและโซลูชันการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ในขณะที่ไทยยังมีความท้าทายด้านการขาดแคลนผู้มีความสามารถด้านไอทีอยู่