โซเด็กซ์โซ่ บริษัทผู้นำระดับโลกด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการบริการบริหารอาคารแบบครบวงจรจากประเทศฝรั่งเศส ครองตำแหน่งอันทรงเกียรติในฐานะ “ผู้สนับสนุน” กลุ่ม LGBTQI+ ติดต่อกัน 3 ปีซ้อน หลังได้รับคะแนนสูงสุดกว่า 90% จากการสำรวจประจำปี 2565 ของ The Workplace Pride Global Benchmark นับเป็นการปูทางไปสู่การรวมความหลากหลายทางเพศ และเพิ่มศักยภาพในสถานที่ทำงาน รวมทั้งในสังคมโดยรวม
คุณอาร์โนด์ เบียเลคกิ กรรมการผู้จัดการ โซเด็กซ์โซ่ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “การส่งเสริมให้สมาชิกในทีมได้สามารถแสดงตัวตนที่แท้จริงในการทำงาน เปิดโอกาสให้เป็นส่วนหนึ่งของทีม ทำหน้าที่อย่างมีเป้าหมาย และเติบโตในแบบของตนเอง ถือเป็นพันธกิจหนึ่งที่เราต้องการบรรลุในเป้าหมายในโครงการ “Better Tomorrow 2025” ที่เรามุ่งมั่นจะยกระดับให้พนักงานทุกคนของเราสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสมดุลทางเพศ และตรวจสอบให้มั่นใจว่าพนักงานกลุ่ม LGBTQI+ ของเราไม่ถูกแบ่งแยก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเท่าเทียม สิทธิเสรีภาพและเสริมสร้างในสถานที่ที่เราให้บริการได้เป็นอย่างดี
ตลอดเวลาในการบริหารจัดการเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในสายงานต่างๆ โซเด็กซ์โซ่ได้เปิดโอกาสให้พนักงานกลุ่ม LGBTQI+ ในทุกระดับแสดงศักยภาพในการทำงานได้อย่างเต็มที่ สามารถแสดงความคิดสร้างสรรค์และมีส่วนร่วมเพื่อช่วยปรับแนวทางการทำงานร่วมกัน จนได้รับการยอมรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และวันนี้ โซเด็กซ์โซ่ยังคงมุ่งมั่นปฏิบัติตามค่านิยมและนโยบายนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นหนึ่งในองค์กรที่น่าอยู่และปลอดภัย พร้อมกับเป็นชุมชนที่เป็นธรรมและเท่าเทียมสำหรับพนักงานทุกคน”
จากคำปรามาส “กะเทยทำไม่ได้” ผันตัวเองสู่โลกแห่งอาชีพที่มั่นคงและท้าทาย
นายจรุวัฒน์ มีเพียร (หมุย) BELQ Camp Boss ประจำหน่วยงานแท่นผลิตก๊าซธรรมชาติ Benchamas LQ อายุ 43 ปี กล่าวว่า “ผมมีหน้าที่ควบคุมดูแลงานด้านอำนวยความสะดวกสบายให้แก่พนักงานเชฟรอนและลูกค้าบริษัทอื่นๆ ที่ทำงานร่วมกันในไซต์งานแห่งนี้ประมาณ 140-150 คน ในด้านอาหารการกิน ที่พักผ่อน และด้านสุขอนามัย ตลอดเส้นทางการทำงานมากว่า 15 ปีของผมนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ผมเริ่มต้นจากตำแหน่ง Mess Boy ทำงานในครัว แต่ด้วยความที่ผมชอบและตั้งใจเรียนรู้ในงานด้านอาหารไทยจึงได้มีโอกาสรับหน้าที่เป็นกุ๊กอาหารไทย 5-6 ปี แต่ในระหว่างนั้นก็เจออุปสรรคมากมาย เพราะลูกค้าแต่ละคนชอบอาหารในรสชาติที่ไม่เหมือนกัน แต่ด้วยความพยายามและการใส่ใจเรียนรู้จึงได้รับโอกาสเพื่อพัฒนาตัวเองในตำแหน่ง Junior Camp Boss จนกระทั่งได้พิสูจน์ให้ผู้บริหารเห็นถึงความตั้งใจและความสามารถจึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็น Camp Boss ในปัจจุบัน แต่ตำแหน่งใหม่ก็เจอกับอุปสรรคใหม่ซึ่งไม่ใช่เรื่องงาน แต่เป็นเรื่องเพศสภาพของผมนั้นที่อาจจะยังไม่เป็นที่ยอมรับจากลูกค้าบางราย ซึ่งผมมักจะได้ยินคำพูดเหล่านี้มาตลอด เช่น ‘เอากะเทยมาแล้วจะทำได้หรือ ไม่น่ารอดเพราะคงห่วงแค่สวย เป็นกะเทยพูดเสียงดัง กะเทยบ้าผู้ชาย’ เป็นต้น ซึ่งผมก็ได้พิสูจน์ให้คนเหล่านั้นเห็นและยอมรับแล้วว่าถึงจะเป็นเพศที่สามแต่ก็มีความสามารถ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ต่างกับเพศอื่นๆ ซึ่งต้องขอบคุณ โซเด็กซ์โซ่ ที่ให้โอกาสผมและกลุ่ม LGBTQI+ ได้ร่วมงาน ให้คำปรึกษา ช่วยแนะนำในการทำงานร่วมกัน ตลอดจนสนับสนุนให้สถานที่ทำงานเป็นที่ที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน และขอบคุณลูกค้า เชฟรอน ที่ให้โอกาสผมและกลุ่ม LGBTQI+ ได้แสดงความสามารถในการทำงาน รวมทั้งปฏิบัติต่อเราอย่างเท่าเทียมครับ”
นางสาวอุไรวรรณ ยามาดะ (อุ๊) Camp Boss ประจำหน่วยงานแท่นขุดเจาะ Crest Apollo อายุ 41 ปี กล่าวว่า “ตลอดเวลากว่า 11 ปีในการทำงานกับโซเด็กซ์โซ่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก เพราะที่นี่ได้เปิดโอกาสให้ดิฉันและพนักงานทุกระดับสามารถเปิดเผยความเป็นตัวตน แสดงความสามารถ และรับฟังไอเดียต่างๆ ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดเลย พวกเราถือว่าโซเด็กซ์โซ่ เป็นเซฟโซนของพนักงานทุกคน ปัจจุบันประจำการในตำแหน่ง Camp Boss ที่ดิฉันเป็นผู้บริหารหญิงคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบและดูแลความเป็นอยู่ของทุกคนที่เป็นผู้ชายบนไซต์งานนี้ทั้งหมดประมาณ 100 คน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ที่พัก ความสะอาด งานซ่อมบำรุง ตลอดจนรับผิดชอบและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นรายวัน โดยในแต่ละวันดิฉันจะเริ่มงานด้วยการประชุมและวางแผนกับทีมงานต่างๆ ก่อนลงมือปฏิบัติการให้บริการ เพื่อทบทวนและเตรียมพร้อมกับความท้าทายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อีกหนึ่งความรับผิดชอบที่ดิฉันรู้สึกว่าจะต้องทำให้ดีที่สุดคือการจัดสั่งวัตถุดิบเพื่อนำมาประกอบอาหารในแต่ละสัปดาห์ เพราะจะต้องนำมาบริหารจัดการเมนูตามของที่มีอยู่ให้พร้อมเสิร์ฟทุกคนด้วยความอิ่มอร่อยและสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าในแต่ละมื้อ เพราะดิฉันถือว่าความสัมพันธ์กับลูกค้าที่ให้บริการเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะนอกจากทุกคนจะทำงานอย่างปลอดภัย ได้กินอิ่ม นอนหลับ อยู่อย่างสะดวกสบายแล้ว ดิฉันถือว่าทุกคนบนแท่นสำรวจนี้เป็นครอบครัวเดียวกัน ดิฉันรู้สึกภูมิใจที่ได้มาถึงจุดแห่งความสำเร็จนี้โดยมีบริษัทและทีมงานเป็นแรงสนับสนุน หากใครคิดว่ายังไม่พร้อมหรือกังวลที่จะแสดงออกในเรื่องเพศที่แตกต่าง ดิฉันขอแนะนำว่าเราควรกล้าที่จะเปิดเผยตัวตนให้กับชุมชนที่อยู่ เพื่อให้สามารถสร้างสรรค์ชีวิตตามที่ต้องการค่ะ”