อินโฟบล็อกซ์ (Infoblox) กระตุ้นองค์กรไทยขยับจากแพกเกจมาตรฐาน หันมาเพิ่มบริการกลุ่ม “DNS Security” ที่สามารถจับความเสี่ยงถูกแฮกได้ตั้งแต่เริ่มคลิกลิงก์ใดๆ วางจุดขายปกป้องครบทุกคลาวด์ตอบโจทย์ยุคไฮบริดเวิร์ก มั่นใจตลาดไทยโตก้าวกระโดดเพราะเป็นฐานการผลิตสำคัญ
นายอภิชาติ เจิมประไพ ผู้จัดการประจำประเทศไทยและอินโดจีน บริษัท อินโฟบล็อกซ์ กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อินโฟบล็อกซ์สามารถส่งมอบบริการให้ลูกค้าในประเทศไทยค่อนข้างมาก ทำให้ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายด้านในประเทศ โดยเฉพาะจากการเวิร์กฟอร์มโฮมในช่วงแรก สู่การกลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้อินโฟบล็อกซ์เพิ่มบริการใหม่ขึ้นมาอุดช่องโหว่ที่ครอบคลุมระบบคลาวด์ ซึ่งคาดว่าจะมีความต้องการในตลาดสูงมากขึ้นอีกในช่วง 2 ปีนับจากนี้ หลังจากการสำรวจของไอดีซีพบว่าองค์กรกว่า 85% จะทำงานบนคลาวด์เป็นหลักในปี 2025
"วันนี้องค์กรส่วนใหญ่ใช้บริการ DDI มาตรฐานของอินโฟบล็อกซ์อยู่แล้ว เราอยากเพิ่มส่วนของ DNS Security เข้าไป รวมถึงเพิ่มการรองรับคลาวด์ เพื่อให้ DNS Server สามารถช่วยปกป้อง end point ได้"
DDI ที่อภิชาติพูดถึงคือโซลูชัน DNS, DHCP และ IPAM ซึ่งเป็นพื้นฐานในการให้บริการโดเมนเนมเซิร์ฟเวอร์และเครือข่ายกับลูกค้ากลุ่มธนาคาร เฮลท์แคร์ มหาวิทยาลัย หน่วยงานสาธารณูปโภคและองค์กรภาครัฐ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและบริษัทโทรคมนาคม รวมถึงกลุ่มรีเทล โดยโซลูชัน DDI จะช่วยจัดการ จดจำ และตรวจสอบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ในระบบเครือข่ายอย่างรวดเร็วและไม่มีข้อผิดพลาด เพื่อให้ทุกส่วนสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้แบบไม่สะดุด ซึ่งที่ผ่านมา อินโฟบล็อกซ์สามารถกวาดส่วนแบ่งตลาดโซลูชัน DDI มากกว่า 54% มีลูกค้า 8,000-10,000 รายทั่วโลก ลูกค้าองค์กรแต่ละรายมีผู้ใช้มากกว่า 300-10,000 ราย ส่วนแบ่งตลาดนี้นำหน้า 5 คู่แข่งผู้ให้บริการโซลูชัน DDI ที่ปักหลักให้บริการในตลาดเดียวกัน
นอกจากโซลูชัน DDI อินโฟบล็อกซ์ต้องการตอบโจทย์การรักษาความปลอดภัยที่ยิ่งสร้างความเสียหายมากขึ้นในยุคดิจิทัล เบื้องต้นการสำรวจพบว่าภัยไซเบอร์ซิเคียวริตีมีการใช้ DNS เป็นช่องทางโจมตีกว่า 95% ซึ่งนอกจากการพัฒนาระบบ DNS ที่เน้นความปลอดภัย อินโฟบล็อกซ์ยังวางนโยบายปกป้องที่ผู้ใช้ปลายทาง (Edge) ให้ครอบคลุมทั้งระบบออนพริมิสที่จัดตั้งในพื้นที่ขององค์กรและบนคลาวด์ คาดว่าโซลูชัน DNS Security จะมีความต้องการมากขึ้นสุดขัดในปี 2025 ที่การ์ทเนอร์ชี้ว่าองค์กร 85% จะย้ายระบบขึ้นไปบนคลาวด์
"เราไม่ได้มาเปลี่ยนอุปกรณ์ แต่จะมีระบบที่สามารถให้ข้อมูลบนระบบไฟร์วอลล์ที่ลูกค้ามี แผนทำตลาดในไทยนับจากนี้คือการมุ่งพัฒนาพาร์ตเนอร์ธุรกิจ จะมีการอบรมและให้ใบรับรองตามระดับ จะมีการจัดอบรมผู้ใช้โดยตรง ทำคอร์สที่เปิดกว้างให้ผู้สนใจที่ไม่ใช่ลูกค้า สามารถเข้ามาเรียนรู้ DDI ได้"
นายพอล วิลค็อกซ์ รองประธานฝ่ายขาย ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น บริษัท อินโฟบล็อกซ์ เปิดเผยว่า การเชื่อมต่อที่มากขึ้นในช่วงหลังโควิด-19 นำไปสู่การโจมตีที่มากขึ้น ความนิยมในการทำงานแบบไฮบริดเวิร์ก ที่พนักงานสามารถทำงานได้จากบ้านนั้นทำให้เป็นเรื่องยากที่จะทำให้ปลอดภัยในเครือข่าย เมื่อโซลูชันเดิมที่ใช้อยู่ไม่ซับซ้อนตามภัยที่อาจเกิดขึ้น ทั้งเน็กซ์เจนไฟร์วอลล์ที่อาจควบคุมการใช้อุปกรณ์ที่บ้านไม่ได้ รวมถึงการไม่มี VPN รองรับครบทุกอุปกรณ์ ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่แสดงถึงแนวโน้มความต้องการในตลาด DNS Security ที่มากขึ้น โดยเฉพาะในระบบ IoT (เครื่องใช้ไฟฟ้าที่สามารถรับส่งข้อมูลขึ้นออนไลน์ได้) และ OT (ระบบสำหรับการปฏิบัติงาน) ที่จะสร้างความเสียหายให้องค์กรหากเกิดการหยุดชะงัก
“OT และ IoT เป็นพื้นที่สำคัญที่สุด เพราะไทยเป็นประเทศแถวหน้าด้านการผลิต อุตสาหกรรมรถยนต์ และเฮลท์แคร์ ถ้าเกิดปัญหาที่ DNS สายการผลิตอาจหยุดชะงัก อินเทอร์เน็ตใช้งานไม่ได้ เครื่องอุปกรณ์ช่วยชีวิตอาจหยุดการทำงาน ทั้งหมดนี้ขอเพียงรักษาให้ DNS ชี้ไปที่ปลอดภัย ระบบเครือข่ายก็จะปลอดภัยแล้ว เชื่อว่า 92% ของมัลแวร์จะถูกกำจัดไปได้” พอลระบุ
ในภาพรวม อินโฟบล็อกซ์เน้นย้ำถึงการรวมทีมด้านเครือข่ายและการรักษาความปลอดภัยให้เป็นทีมเดียวกัน โดยเชื่อว่าอินโฟบล็อกซ์เป็นบริษัทเดียวที่สามารถให้ศักยภาพการมองเห็นได้แบบเรียลไทม์และควบคุมได้ถึงผู้ใช้งานและอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อผ่านเครือข่ายประเภทต่างๆ และสภาพแวดล้อมแบบมัลติคลาวด์ทั้งหลายได้เพื่อช่วยให้ลูกค้าสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและยืดหยุ่นมากขึ้น ด้วยการนำทีม NetOps และ SecOps มารวมกันจะสามารถสร้างการมองเห็น การแบ่งปันข้อมูล การทำงานของระบบที่เป็นอัตโนมัติและให้อำนาจในการควบคุมร่วมกันได้
ที่สำคัญ อินโฟบล็อกซ์เชื่อว่าบริการใหม่ของบริษัทจะช่วยลดปัญหาความปลอดภัยขององค์กรได้ โดยรายงาน Infoblox’s 2023 Global State of Cybersecurity ของอินโฟบล็อกซ์พบว่า 60% ขององค์กรประสบกับการละเมิดข้อมูลอย่างน้อยหนึ่งครั้งในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และมีการสูญเสียเฉลี่ย 2 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเหตุการณ์อันเป็นผลมาจากการละเมิดเหล่านี้ นอกจากนี้ 81% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าอีเมล/ฟิชชิงเป็นการโจมตีอันดับต้นๆ
หนึ่งในบริการใหม่ที่น่าสนใจของอินโฟบล็อกซ์ คือ Lookalike Domain Monitoring ระบบจะสามารถระบุโดเมนเว็บไซต์ต่างๆ ที่พยายามปลอมแปลงเป็นแบรนด์ของบริษัทซึ่งเป็นวิธีการหลอกลวงคู่ค้าและลูกค้ามากมายผสมการทำงานกับภัยฟิชชิง มัลแวร์โฆษณาและการโจมตีที่คล้ายกัน หลังจากที่อินโฟบล็อกซ์ได้เปิดตัวฟีดข่าวกรองภัยคุกคามใหม่นี้ไม่นาน ก็สามารถบ่งชี้เจตนาร้ายและช่วยหยุดการโจมตีก่อนที่จะเกิดขึ้นได้ โดยอินโฟบล็อกซ์จะวิเคราะห์ DNS มากกว่า 70,000 ล้านรายการต่อวัน ซึ่งอินโฟบล็อกซ์พบว่านักแฮกผู้ประสงค์ร้ายยังคงลวงโดยการใช้โดเมนที่มีลักษณะคล้ายกันอยู่ และยิ่งเห็นการพัฒนาก้าวล้ำมากขึ้นในปีที่ผ่านมา โดยได้กำหนดเหยื่อเป้าหมายไปที่ทุกภาคอุตสาหกรรม และร่วมโจมตีกับภัยไซเบอร์อื่นๆ ในรูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้น