ไทยคมรายงานผลประกอบการปี 2565 รายได้ 2,927 ล้านบาท ลดลง 11.4% จาก 3,303 ล้านบาท กำไรสุทธิใน 42 ล้านบาท วางงบลงทุนดาวเทียม 3 ดวง ใน 3 ปี ซึ่งชุดข่ายงานดาวเทียมวงโคจร 119.5 องศาตะวันออก มีความเร่งด่วนเพื่อแทนที่ไทยคม 4 ในกรอบเงินลงทุน 15,203 ล้านบาท
เบื้องต้น ไทยคมมีรายได้จากการขายและการให้บริการในปี 2565 จำนวน 2,927 ล้านบาท ลดลง 11.4% จาก 3,303 ล้านบาทในปี 2564 จากการลดลงของรายได้จากการให้บริการลูกค้าบรอดคาสต์ในประเทศ รวมถึงการลดลงของรายได้จากการให้บริการลูกค้าบรอดแบนด์ต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ต้นทุนขายและการให้บริการในปี 2565 มีจำนวน 1,500 ล้านบาท ลดลง 36.1% จาก 2,349 ล้านบาทในปี 2564 จากการสิ้นสุดลงของสัมปทานดาวเทียมซึ่งทำให้ต้นทุนค่าเสื่อมราคาดาวเทียม และต้นทุนค่าสัมปทานลดลง
ขณะที่ผลกำไรสุทธิในปี 2565 เป็นจำนวน 42 ล้านบาท คิดเป็นผลกำไรต่อหุ้น 0.04 บาท ลดลง 70.7% เมื่อเทียบกับผลกำไรสุทธิในปี 2564 จำนวน 144 ล้านบาท สาเหตุหลักจาก 1.การบันทึกการด้อยค่าของดาวเทียมเป็นจำนวน 259 ล้านบาทในไตรมาสที่ 3/2565 2.กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ จำนวน 120 ล้านบาท ลดลง 67.6% จาก 369 ล้านบาทในปี 2564
และ 3.ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทย่อยและการร่วมค้า จำนวน 306 ล้านบาท จากการอ่อนค่าของสกุลเงินกีบเมื่อเทียบกับสกุลดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เกิดผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการปรับปรุงมูลค่าหนี้สินสกุลดอลลาร์สหรัฐ โดยอัตราการอ่อนค่าของสกุลเงินกีบเมื่อเทียบกับสกุลดอลลาร์สหรัฐมีความผันผวนขึ้นมากในปี 2565 แต่เริ่มมีแนวโน้มที่ทรงตัวขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม 2565 ต่อเนื่องถึงเดือนมกราคม 2566
สำหรับในปีนี้ ไทยคมอนุมัติให้บริษัท สเปซ เทค อินโนเวชั่น จำกัด (STI) ลงทุนในดาวเทียมของชุดข่ายงานดาวเทียมวงโคจร 119.5 องศาตะวันออก โดยมีกรอบวงเงินการลงทุนสูงสุดไม่เกิน 15,203 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ประกอบด้วย 1.ค่าธรรมเนียมชุดข่ายงานดาวเทียมวงโคจร 119.5 องศาตะวันออก และ 120 องศาตะวันออก และค่าธรรมเนียมชุดข่ายงานดาวเทียมวงโคจร 78.5 องศาตะวันออก จำนวนเงินประมาณ 797 ล้านบาท และ 2.การก่อสร้างดาวเทียมของชุดข่ายงานดาวเทียมวงโคจร 119.5 องศาตะวันออก จำนวน 3 ดวง และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในวงเงินประมาณ 433.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 14,405 ล้านบาท
ทั้งนี้ การสร้างดาวเทียมเฉพาะของชุดข่ายงานดาวเทียมวงโคจร 119.5 องศาตะวันออก มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการให้ทันก่อนที่ดาวเทียมไทยคม 4 จะหมดอายุลง เพื่อให้บริษัทสามารถให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนวงโคจร 78.5 องศาตะวันออก ต้องมีดาวเทียมรักษาสิทธิในระยะเวลา 3 ปี ทำให้ยังมีระยะเวลาในการพิจารณาการลงทุนโครงการดาวเทียมวงโคจร 78.5 องศาตะวันออก
การลงทุนในโครงการดาวเทียมในครั้งนี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ทำให้การดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทมีความต่อเนื่องในการให้บริการลูกค้า สร้างความเชื่อมั่นต่อลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเป็นการรักษาฐานลูกค้าเดิม นอกจากนี้ ยังสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ลงทุนและนำมาซึ่งการสร้างมูลค่าเพิ่มและผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทในระยะยาว
ในส่วนของกลุ่มบริษัทในเครือ บริษัท ลาว เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (แอลทีซี) ในประเทศลาว มีจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ ณ สิ้นปี 2565 รวมทั้งสิ้น 2.33 ล้านราย เพิ่มขึ้นจาก 2.01 ล้านราย ณ สิ้นปี 2564 และยังคงมีส่วนแบ่งในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นอันดับหนึ่ง โดยแอลทีซี มีการฟื้นตัวที่ดีเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มีการเติบโตของกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นจากการเปิดตัวแบรนด์ T-PLUS และมีกำไรจากการดำเนินงานปกติอย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ ได้อนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นเงินประมาณ 548 ล้านบาท เนื่องจากมีกำไรจากการดำเนินงาน 527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 995.3% เมื่อเทียบกับปี 2564 จำนวน 48 ล้านบาท